Trash of the Count’s family - ตอนที่ 149.2
บทที่ 149 มุ่งร้าย 4 (2)
สมาชิกคนหนึ่งของอาร์มทรุดกายลงกองกับพื้นและปล่อยเสียงครางออกมาเพียงสั้นๆก่อนจะขาดใจตาย เขาเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญในการลอบฆ่าซึ่งอยู่ในการดูแลของเกรย์เทล เขาเป็นคนที่สองที่ถูกส่งตัวไปสำรวจพื้นที่โดยรอบ
ศพถูกลากไปไว้มุมหนึ่งบนพื้นหญ้าอย่างระมัดระวัง
รอนมองดูศพเงียบๆก่อนจะควักผ้าเช็ดหน้าที่บารอคมอบให้เช็ดทำความสะอาดเลือดที่ติดอยู่บนดาบสั้นประจำกาย
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกไปเมื่อเขาเริ่มลงมือ สิ่งที่ได้ยินมีเพียงเสียงธรรมชาติเท่านั้น
เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง
เสียงของสายฝน
เสียงฟ้าร้อง
รอนเริ่มยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงอื่นดังแทรกเข้ามา
มันเป็นเสียงฝีเท้ามนุษย์ที่เริ่มเคลื่อนไหวไปมา
รอนเป็นทายาทผู้สืบทอดของหนึ่งในสามตระกูลที่เข้าควบคุมโลกมืดของทวีปตะวันออก เขาขยับตัวอย่างช้าๆหลังจากได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของคนกลุ่มหนึ่ง
พวกเขาเป็นกลุ่มใหม่ล่าสุดที่ถูกส่งเข้าไปตรวจสอบหลังจากที่กลุ่มก่อนหน้านี้ไม่ได้ส่งข่าวใดๆกลับไป
นั่นคือวิธีที่รอนเลือกกำจัดลูกน้องของเกรย์เทลไปทีละคนๆ
รอนเป็นนักฆ่าที่มีประสบการณ์มานานกว่า 60 ปี นอกเหนือไปจากการล้างแค้นให้กับตระกูลแล้วเขายังมีความสามารถในการสอนเด็กๆให้รู้จักนิยามของความหวาดกลัวอีกด้วย
ฟรู่!!!!!
เสียงพงหญ้าสูงต้องไปกับสายลม รอนจึงเริ่มเคลื่อนย้ายไปยังจุดอื่นด้วยฝีเท้าอันเงียบกริบ
อีกเกาะหนึ่งเป็นการต่อสู้ที่ทวีความรุนแรงมากกว่าการหลบซ่อนตัวเพื่อลอบฆ่า
นี่คือเกาะที่มีภูมิประเทศราบเรียบที่สุด
ปั้ง!!!
โขดหินโขดใหญ่แตกกระจายออก
“ให้ตายเถอะ!”
โอปิทตะโกนออกมาพร้อมกับหายใจด้วยความเหนื่อยหอบ อย่างไรก็ตามเขาไม่มีเวลาพักเมื่อความเย็นแล่นไปตามหลังของเขา
ปั้ง!!!
เสียงของพื้นดินระเบิดขึ้น เขาไม่สามารถแม้แต่จะหันไปมองด้านหลังได้ เขาไม่มีเวลาคิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับลูกน้องของเขา
‘นังบ้า!..’
เธอเป็นหญิงเลวที่เสียสติไปแล้ว เธอมันบ้าชัดๆ!
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วป่า มันเป็นเสียงของนักดาบหญิงฮันนาห์ผู้ใช้ออร่าสีทอง เธอหัวเราะลั่นพร้อมกับทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
โอปิทเป็นผู้นำของกองพลทะลวงฟันซึ่งเป็นทัพแรกในการเข้าทำศึกกับศัตรู เมื่อมันเป็นเพียงทัพแรกที่อาร์มส่งไปหยั่งเชิงศัตรู กองพลของเขาจึงไม่ได้แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกองพลอื่นๆของอาร์ม อย่างไรก็ตามพวกเขารู้วิธีใช้ความสามารถพิเศษของแต่ละบุคคลในการทำศึกอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้กองพลของเขามีความแข็งแกร่งกว่าอัศวินหรือทหารองครักษ์ของอาณาจักรส่วนใหญ่
นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาสามารถวางแผนกำจัดเผ่าเสือในทวีปตะวันออกได้
เขาเลือกใช้วิธีซึ่งเป็นมาตรฐานของเขาในการรับมือกับนักดาบบ้าผู้นี้
“ห๊ะ!…มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ?!”
ถึงเขาจะพยายามเท่าใดก็ไม่เป็นผลเพราะนักดาบคนนี้เสียสติไปแล้ว
ตอนนี้ทั้งตัวของฮันนาห์เต็มไปด้วยใยแมงมุมสีดำและเลือดสีแดงฉาน เธอดูเหมือนจะไม่สนใจที่จะป้องกันหรือแสดงความหวาดกลัวอะไรออกมา เธอเริ่มหัวเราะมากขึ้นเมื่อเห็นเลือดและรีบวิ่งไปหาพวกเขาทันที
โอปิทและลูกน้องของเขาโจมตีเธอด้วยลูกธนูแต่แทนที่เธอจะหลบหลีกหรือแสดงความหวาดกลัวออกมา เธอกลับพุ่งตัวมาหาพวกเขาอย่างดุเดือดมากขึ้น
‘ทำไมนางจึงมาอยู่ที่นี่!’
ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้จักตัวตนของนักดาบหญิงผู้นี้ เขาคือผู้นำของกองพลทะลวงฟัน เขาย่อมรู้ความเป็นไปขององค์กรเป็นอย่างดี
หญิงสาวผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกองค์กรของพวกเขาละทิ้งไป นี่คือผู้หญิงคนนั้น เขามั่นใจว่าต้องเป็นเธอ
โอปิทตัดสินใจวิ่งกลับไปยังเรือของเขาที่จอดเทียบท่าอยู่ชายฝั่ง เขาไม่สามารถซ่อนตัวบนเกาะได้ เขาจำเป็นต้องหนีไปในมหาสมุทร จากสิ่งที่เขาตัดสินใจทำเขาไม่มีเวลาคิดและสังเกตสิ่งที่คนอื่นๆกำลังเผชิญอยู่ ฝนตกหนักและลมก็กระโชกรุนแรงเพราะเกิดพายุ แต่เขารู้สึกว่าตนได้ยินเสียงกรีดร้องดังแว่วเข้ามา
วิ้งงงงงงงง!!!!
ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินเสียงอุปกรณ์รบกวนพลังเวทย์ดังมาจากผู้หญิงที่ไล่ตามเขามา
‘ข้าต้องติดต่อกลับไปยังองค์กรโดยด่วน’
เขาต้องการหนีจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเพื่ออาศัยจังหวะติดต่อกลับไปยังองค์กร โอปิทกำมือแน่นและออกแรงวิ่งต่อไป เลือดค่อยๆไหลออกจากบาดแผลที่โดนออร่าสีทองของฮันนาห์
ทันใดนั้นเสียงเรียบเย็นของเธอก็ดังมาจากเบื้องหลังของเขา
“เจ้าคิดว่าตัวเองสามารถวิ่งหนีไปได้ไกลแค่ไหน?..เจ้าคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปงั้นรึ?ห๊ะ!?”
‘บ้าเอ้ย!’
โอปิทเริ่มขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด เขามองเห็นชายหาดที่อยู่ไม่ไกลจากสายตา แค่ออกแรงวิ่งอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว
“เลือดช่างสวยจริงๆ..เจ้าไม่คิดแบบนั้นหรือ?..มันไม่ใช่เหตุผลที่พวกเจ้าต้องการฆ่าข้าหรือไง?”
เธอแกล้งหยอกเขา
นักดาบผู้เสียสติกำลังไล่ตามโอปิทในขณะที่ปากก็เอ่ยล้อเล่นไปด้วย โอปิทสบถออกมาเบาๆเมื่อยังออกแรงวิ่งต่อไป เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตัวเหมือนกวางวิ่งหนีนักล่าเท่านั้น
ใช้เวลาไม่นานเขาก็ถึงชายหาด
“เอ๊ะ!”
เขาเห็นเรือของตัวเองจอดเทียบท่าตรงชายฝั่ง อย่างไรก็ตามกลับมีร่างของชายผมดำยืนขวางทางเขาเอาไว้ นอกาจากนี้ยังมีเสียงของฮันนาห์ดังมาจากเบื้องหลังเขาอีก
“ว้า…ไม่สนุกเลย”
ชิ้ง!—-
โอปิทชักดาบของตนออกมา
เคร้ง!
อย่างไรก็ตามดาบของผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ระดับสูงสุดเช่นโอปิทกลับถูกทำลายอย่างรวดเร็วด้วยออร่าสีดำของนักดาบผู้มาใหม่ พร้อมทั้งออร่าสีดำที่ทะลุผ่านหน้าอกเขาไปได้อย่างง่ายดาย
ฮันนาห์มองไปที่เชวฮันด้วยความหงุดหงิด
“ข้าจะจัดการเอง”
“ข้ารู้แล้ว..ข้าแค่มาเตือนเจ้าให้ยั้งมือไว้บ้าง..อย่าออกแรงมากไปจนเกาะถล่มเสียก่อน”
ฮันนาห์หันหน้าหนีและมุ่งหน้ากลับเข้าไปในป่าโดยไม่ตอบสนองใดๆต่อสิ่งที่เชวฮันบอก เมื่อหัวหน้าของพวกมันตายแล้วก็ถึงเวลาที่เธอจะจัดการกับคนอื่นต่อ
เชวฮันหันกลับไปมองมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ พาสตันที่อยู่ในร่างวาฬหลังค่อมขนาดเล็กลดลำตัวลงก่อนที่เชวฮันจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังของเขาเพื่อมุ่งหน้าไปเกาะอื่น เชวฮันเริ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจอะไรรึ?”
เชวฮันเริ่มแบ่งปันความคิดเห็นของตนเมื่อพาสตันเอ่ยถาม นี่คือสิ่งที่เขาคิดหลังจากได้เห็นสมาชิกของอาร์มที่มีทั้งความแข็งแกร่งและเป็นทั้งองค์กรขนาดใหญ่ มันมีประสิทธิภาพมากพอที่จะโค่นกองกำลังอัศวินของอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งได้แต่พวกเขาเลือกที่จะโจมตีคนที่แข็งแกร่งแทน
“ทำไมพวกมันถึงพยายามฆ่าคนที่แข็งแกร่ง?”
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าวาฬ เผ่าเสือ นักบวชแจ็คและนักดาบหญิงฮันนาห์ ราวกับว่าพวกเขากำลังพยายามฆ่าคนที่แข่งแกร่งทั้งหมดให้หายไปจากโลกนี้ เชวฮันคิดถึงกลุ่มคนที่องค์กรลับพยายามฆ่าและนึกสงสัยในกระบวนการคิดขององค์กรลับ เขาอยากรู้ว่าหัวหน้าของพวกมันเป็นใคร?
พาสตันเอ่ยขึ้นบ้าง
“อาจเป็นเพราะการกระหายในอำนาจกระมัง…มันคงง่ายต่อการปกครองหากพวกเขาคือกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุด..ยังไงก็ตามแม้ว่าเจ้าจะรู้ว่าพวกมันคิดอะไรอยู่..แล้วเจ้าจะทำอย่างไรกับพวกมันล่ะ?”
เชวฮันพยักหน้ารับความเห็นของพาสตันซึ่งบอกเขากลายๆว่าคิดเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ มันก็จริงที่ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา มันไม่สำคัญว่าใครเป็นผู้นำขององค์กรลับและพวกมันคิดจะทำอะไร สิ่งที่เขาต้องทำคือทำลายพวกมันเพื่อไม่ให้พวกมันทำสิ่งที่วางแผนต่อไปได้ นั่นคือหน้าที่ของเขา
“พาสตัน..ไปยังเกาะที่มีเผ่าเสือประจำการอยู่..เลือกเป็นเกาะที่มีเสือพลังอ่อนแอแล้วกัน”
พวกเขาหลีกเลี่ยงวังน้ำวนเมื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่พวกเขาต้องการ
หลังจากมองสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน คาร์ลก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้เพียงแวบเดียวเมื่อสายฟ้าเริ่มอ่อนกำลังลง เขาไม่สามารถมองเห็นเลือดที่หลั่งไหลชโลมไปทั่วบริเวณได้ ตรงข้ามกับราอนที่สามารถมองเห็นได้ทุกๆอย่างเมื่อคาร์ลมองลงไป เป็นเพราะมันไม่ต้องการให้มนุษย์อ่อนแอเห็นเลือดพวกนั้น
“ราอน”
“มีอะไร!?..ข้าไม่เห็นอะไรเลยนะ!”
‘หมอนี่พูดเรื่องอะไร?’
คาร์ลมองไปที่ราอนด้วยความสับสน ราอนหลบสายตาของคาร์ลแต่ก็ยังได้ยินสิ่งที่คาร์ลเอ่ยถาม
“เจ้านำระเบิดพลังเวทย์จากเวทย์แห่งความตายติดตัวมาด้วยหรือไม่?”
“….อึ้ม..ข้าเอามันมาด้วยเพราะเจ้าสั่งเอาไว้”
ราอนหันมามองคาร์ลด้วยความใคร่รู้ คาร์ลเริ่มพูดออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“ข้าคิดที่จะทิ้งหลักฐานไว้บนเกาะที่ถูกทำลายมากที่สุด”
“หลักฐานที่ว่าคือระเบิดพลังเวทย์พวกนั้นเหรอ?”
คาร์ลมองลงไปที่มหาสมุทรด้านล่าง เขาเห็นเพียงความมืดเท่านั้น
“แม้ว่าเผ่าเสือและคนของเราบางส่วนจะมีอุปกรณ์รบกวนพลังเวทย์…”
“แต่รอนไม่มีนี่นา!”
“ใช่..รอนไม่ได้พกมันไปและนักเวทย์บางส่วนของอาร์มจะส่งสัญญาณฉุกเฉินไปยังองค์กรของพวกมันเมื่อเห็นเผ่าวาฬ”
จากที่พวกคาร์ลลอบสังเกตกองพลทะลวงฟันของอาร์มมาตลอด 5 วัน ทำให้รู้ว่าพวกมันมีนักเวทย์อยู่ในกลุ่มด้วย พวกเขาได้ส่งอีกาและสิ่งมีชีวิตในทะเลไปสำรวจจำนวนที่แน่ชัดของนักเวทย์มาด้วย
ราอนพยักหน้า
“แน่นอน..ว่าพวกมันต้องทำแบบที่เจ้าว่า”
“ถ้าอย่างนั้นพวกมันจะไม่ส่งคนเข้ามาตรวจสอบหรือ?”
“เจ้าพูดถูก!..พวกมันต้องทำแบบนั้น!”
คาร์ลรีบแจ้งสิ่งที่ราอนอยากรู้ออกไปทันที
“พวกมันจะคิดอย่างไรเมื่อเห็นร่องรอยของคนที่พยายามทำลายหลักฐานที่เหลืออยู่ของระเบิดพลังเวทย์จากเวทย์แห่งความตายซึ่งเป็นผลผลิตของจักรวรรดิ”
ราอนเริ่มหัวเราะร่า
“เฮ้!..ฟังดูสนุกดีนี่นาเจ้ามนุษย์”
คาร์ลเริ่มนึกในใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ราอนเอ่ยออกมา
‘ช่างเป็นมังกรที่น่ากลัวจริงๆ’
อย่างไรก็ตามตรงกันข้ามกับความคิดของเขา คาร์ลกลับเริ่มฉีกยิ้มเย็นออกมาเช่นกัน