Trash of the Count’s family - ตอนที่ 142.2
บทที่ 142 ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดาย 1 (2)
กลิ่นเลือดและกลิ่นเนื้อไหม้ลอยเข้าจมูกของคาร์ลจนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดเอาไว้ อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเมื่อค่อนข้างคุ้นชินกับสนามรบพอสมควร หลังจากสังเกตบริเวณรอบๆอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามุ่งตรงมาอย่างเร่งรีบ
ทูนก้ารีบมายังจุดที่ติดตั้งอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารซึ่งเป็นจุดลับสายตาจากทหารคนอื่นๆ และในตอนนี้มีกลุ่มคนที่เพิ่งเดินทางมาถึงจำนวนห้าคนยืนคอยเขาอยู่ก่อนแล้ว
ทูนก้ามองไปยังร่างชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลางก่อนเครื่องหมายคำถามจะเริ่มปรากฏเต็มใบหน้าของเขาทันที
“…อะไรกันน่ะ?”
ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ตรงกลางแต้มรอยยิ้มหยันซึ่งถือเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาพลางยกมือขึ้นจัดทรงผมของตนเบาๆ
ผมหยักศกสีขาวพลิ้วไปตามมือของเขา
คาร์ล เฮนิตัสสวมชุดนักบวชสีขาวโดยไม่มีตราสัญลักษณ์ใดๆประดับเอาไว้ ทั้งสีผมและเสื้อผ้าต่างเป็นสีขาวเหมือนกัน ผมสีขาวดูเป็นประกายอ่อนๆจนทำให้ดูเป็นสีเงินได้เช่นกัน
คาร์ลไม่สนใจท่าทางของทูนก้าและหันไปพูดกับฮาโรนแทน
“ข้าดูเป็นไงบ้าง?”
“คงไม่มีใครจำท่านได้อย่างแน่นอน”
ฮาโรนตอบกลับคาร์ลและมองไปที่หน้ากากซึ่งคาร์ลถือไว้ในมือ มันเป็นหน้ากากที่จะปกปิดเฉพาะรอบดวงตาของเขาเท่านั้น
“และถ้าหากท่านสวมหน้ากากชิ้นนั้นเข้าไปแล้วยิ่งจะไม่ใครจำท่านได้อย่างแน่นอน”
นอกจากสีผมจะถูกเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วนัยน์ตาของคาร์ลก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเช่นกัน เขาส่งยิ้มให้กับฮาโรนจนทำให้ฮาโรนถึงกับไปต่อไม่เป็น ฮาโรนอ้าปากค้างเมื่อรอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นส่งมาให้เขาโดยไม่ทันตั้งตัวก่อนจะพึมพำออกมาทันที
“ท่านดูเหมือนนักบวชยิ่งนัก”
“ถ้าเช่นนั้น..ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ”
ราอนซึ่งตามมาสมทบโดยติดตามพิกัดจากอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารมา มันกำลังกลิ้งไปมารอบๆกระโจมแห่งหนึ่งในสภาพล่องหน มันเริ่มพึมพำเข้ามาในหัวของคาร์ลหลังจากได้ยินคำชมจากฮาโรน
~ มนุษย์!..มันเป็นผลงานชิ้นเอกของข้า!..เจ้าดูเหมือนนักบวชจริงๆด้วย!~
ราอนคือผู้รับผิดชอบในการแปลงกายให้กับทุกคนในครั้งนี้
โรสลินและเชวฮันแลกเปลี่ยนสีผมและสีตาอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาให้แก่กันและกัน โรสลินในตอนนี้มีสีผมและสีตาเป็นสีดำในขณะที่เชวฮันมีเส้นผมและสีตาเป็นสีแดง เคจและแจ็คเลือกสีผมและสีตาเป็นสีน้ำตาลซึ่งเป็นเฉดสีธรรมดาทั่วๆไป ในมือของพวกเขาถือหน้ากากแบบเดียวกับคาร์ลไว้เช่นกัน
คาร์ลถามในสิ่งที่ตนต้องการกับฮาโรน
“พวกทหารที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ที่ใด?”
“ท่านจะเริ่มเลยหรือ?”
คาร์ลยกหน้ากากขึ้นมาสวมและวาดแขนออกกว้างเมื่อตอบคำถามของฮาโรน
“การรีบรุดไปรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บหรือตกทุกข์ได้ยากนั่นคือความปรารถนาของผู้เป็นนักบวชอย่างแท้จริง”
ฮาโรนยิ้มให้กับการแสดงของคาร์ลก่อนจะตอบกลับด้วยความจริงใจ
“ถ้าเช่นนั้น..เราจะพาพวกท่านไปเดี๋ยวนี้เลย”
.
.
.
ทหารของอาณาจักรวิปเปอร์ต่างรู้สึกกังวลกับเสาขนาดใหญ่ที่มีไฟลุกท่วมตลอดเวลา โดยเฉพาะทหารที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าสังเกตในบริเวณนี้ยิ่งทวีความกังวลขึ้นเรื่อยๆ
ฝนตกตลอดทั้งคืนแต่ไฟกลับไม่มีทีท่าว่าจะดับแม้แต่น้อย
ความประหลาดของมันยิ่งฝังรากความกลัวให้กับพวกเขาทุกคน แค่พยายามที่จะก้าวไปใกล้เปลวเพลิงเพียงหนึ่งก้าวไอร้อนก็ปะทะเข้ากับร่างกายจนไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้อีก
ทหารนายหนึ่งหันไปมองรอบๆก่อนจะกระซิบกับเพื่อนทหารด้วยกัน
“เจ้าคิดว่าจักรวรรดิเป็นคนทำให้เกิดไฟไหม้หรือเปล่า?”
“ข้าจะไปรู้ได้ไงล่ะ?”
“หากพวกเขารู้วิธีทำให้เกิดไฟไหม้แบบนี้จริงๆล่ะก็..แล้ว..แล้วพวกเราล่ะ?..พวกเราจะไม่ถูกเผาจนตายเหมือนกับเสาพวกนี้หรือ?”
“บ้าน่า!..เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไรออกมา?”
นายทหารตะโกนด่าทอด้วยความตกใจก่อนจะหันไปมองรอบๆทันที เขาโล่งใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นคนอื่นอยู่บริเวณนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อหันไปมองเพื่อนทหารที่ชวนเขาคุยเมื่อครู่คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดทันที
ร่างของเพื่อนทหารเริ่มสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“ไม่หรอก..มันอาจฟังเป็นเรื่องไร้สาระก็จริง..แต่ข้ารู้สึกไม่ดีที่เห็นฝ่ายจักรวรรดิหลบหนีไปหลังจากทิ้งกองไฟนี้ไว้ข้างหลัง”
สงครามกำลังถูกลากให้นานขึ้นเมื่อจักรวรรดิทิ้งช่วงการสู้รบและตอนนี้เหล่าทหารจากอาณาจักรวิปเปอร์ต้องหันมาทำหน้าที่สังเกตเสาขนาดใหญ่ที่มีไฟแปลกๆลุกท่วมตลอดเวลา สำหรับทหารที่เป็นพลเมืองของอาณาจักรวิปเปอร์ซึ่งเกลียดชังพลังเวทย์เข้ากระดูกดำการที่ได้เห็นเสาไฟเหล่านี้ก็ทำให้พวกเขาอดนึกถึงพลังเวทย์ที่เหล่านักเวทย์ใช้ไปไม่ได้
“เจ้าบ้าเอ้ย!..เจ้าไม่เห็นสิ่งที่ท่านผบ.ทูนก้าทำหรอกรึ?..เขาพาพวกทหารที่บาดเจ็บกลับมาจากสนามรบด้วย…เขายังมอบยาราคาแพงๆเพื่อรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกต่างหาก!”
ทหารนายแรกเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อยหลังจากได้ยินสิ่งที่เพื่อนตนเองพูด
ในครั้งนี้ผบ.ทูนก้าไม่ได้ทิ้งเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บไว้ในสนามรบ มันแตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยทำเมื่อครั้งที่เกิดสงครามกลางเมืองในอาณาจักรวิปเปอร์
อย่างไรก็ตามร่างของเขาก็ค่อยๆสะท้านขึ้นอีกครั้งเมื่อตระหนักถึงบางอย่าง
“…แต่พวกเขาทั้งหมดกำลังจะตาย”
ยาที่ใช้ในการรักษามีไม่เพียงพอและยังมีข้อจำกัดในการรักษาจากหมอที่รักษาพวกเขาอีกด้วย บางรายก็มีอาการสาหัสเกินไปจนไม่สามารถรักษาพวกเขาให้รอดได้ การที่ได้ยินเสียงครวญครางจากทหารที่กำลังใกล้ตายและไม่มีโอกาสที่จะได้กลับบ้านอีกต่อไปทำให้เขารู้สึกหดหู่ยิ่งนัก
“ทำไมเจ้าถึงมองโลกในแง่ร้ายขนาดนี้ล่ะ?..ผบ.ทูนก้าจะต้องหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน!”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เพื่อนตอบออกมาเขาก็แต้มยิ้มขมขื่นบนใบหน้า เขาเข้าร่วมในสงครามเพราะเขาเกลียดชังพลังเวทย์ แต่เขาเริ่มเห็นความจริงบางอย่างเมื่อสถานการณ์ต่างๆถูกลากยาวออกไป เสียงที่เปี่ยมด้วยความสงสัยถูกปล่อยออกจากปากเขาอีกครั้ง
“เจ้าคิดแบบนั้นจริงๆเหรอ?..ข้าว่า—เอ๊ะ!”
เขายังไม่ทันได้เอ่ยจนจบประโยคเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับบางอย่างเสียก่อน เขาเห็นกลุ่มคนสวมชุดสีขาวอยู่ใจกลางฐานทัพ มีคนห้าคนสวมหน้ากากสีขาวและชุดนักบวชมุ่งหน้าไปยังกระโจมผู้ได้รับบาดเจ็บพร้อมกับผบ.ทูนก้า
แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ว่าคือกลุ่มของคาร์ล
คาร์ลมองไปรอบๆอย่างสังเกตในขณะที่เท้าก็สาวไปยังกระโจมรักษาอย่างเร่งรีบ บรรยากาศโดยรอบเรียกได้ว่าเข้าขั้นโคม่าเลยทีเดียว
~มนุษย์!..เจ้าเห็นเสาที่โดนไฟลุกท่วมหรือไม่?..เราจะดับมันได้หรือเปล่า?..มันจะทำลายปราสาทไปด้วยเหมือนครั้งที่แล้วหรือเปล่านะ?!~
ที่นี่คือ‘ปราสาทเมเปิ้ล’ซึ่งเป็นหนึ่งในสามปราสาทหลักที่ติดชายแดนของอาณาจักรโมโครุและอาณาจักรวิปเปอร์
‘ทำลายมันงั้นหรือ?..ทำไมฉันต้องทำลายสิ่งมีค่าอย่างนี้ด้วยล่ะ?’
คาร์ลมีแผนที่จะจัดการมันอย่างลับๆในคืนนี้ เขายังคงกวาดสายตาไปมองรอบๆจนสบตาเข้ากับทหารนายหนึ่ง ทหารนายนี้ทำหน้าที่อารักขากระโจมรักษานั่นเอง
คาร์ลแต้มยิ้มอ่อนโยนและเอ่ยถามขึ้น
“พวกเราเข้าไปข้างในได้หรือไม่?”
“เอ่อ..ขอรับ..เอ่อ??”
ทหารนายนี้เริ่มกังวลจนเห็นได้ชัดก่อนที่เสียงของทูนก้าจะดังขึ้น
“เปิดกระโจม!”
“ขอรับ!”
ทหารสบตาเข้ากับคาร์ลเช่นเดียวกับทหารอีกนายที่ยืนอยู่ข้างๆก็รีบเปิดประโจมทันที กลิ่นของสมุนไพรและกลิ่นคาวเลือดเริ่มลอยคลุ้งออกมา
คาร์ลค่อยๆก้าวเข้าไปในกระโจม
ทหารซึ่งเฝ้าหน้ากระโจมเมื่อสักครู่พึมพำออกมาเบาๆเมื่อเห็นคนทั้งห้าเดินเข้าไปด้านใน
“..นักบวช..พวกเขาเป็นนักบวช”
ทหารมองตามร่างของบุคลสองคนที่เดินตามหลังนักบวชผมขาวเข้าไป คนหนึ่งมีออร่าสีดำลอยวนอยู่ในมือในขณะที่อีกคนมีออร่าสีทองในมือของเขา พวกเขาทั้งคู่ต่างมีพลังในการรักษา
กระโจมที่ลอยคลุ้งไปด้วยความตายและความเจ็บปวดเริ่มเปลี่ยนไปช้าๆ เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บต่างหันไปมองนักบวชทั้งห้า
คาร์ลเริ่มพูด
“สวัสดีทุกๆท่าน..เรามาที่นี่เพราะมติสวรรค์..เรามาเพื่อช่วยเหลือพวกท่านทุกคน”
“อ่า..”
หลายคนอ้าปากค้างซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คาร์ลยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณ
“เริ่มกันเลย!”
เคจและแจ็ครีบเดินแยกย้ายไปในทิศตรงข้ามกันทันที พวกเขาแยกกันไปทางซ้ายขวาตามลำดับโดยมีโรสลินและเชวฮันตามไปเป็นลูกมือให้กับทั้งสอง
แจ็ควางมือของเขาลงบนแขนของผู้บาดเจ็บรายหนึ่ง
ซู่!!!!!!!!!
อาการบาดเจ็บเริ่มหายไปช้าๆเมื่อแสงสีทองโอบล้อมไปยังจุดนั้น
“แขน..แขนของข้า”
ทหารซึ่งได้รับบาดเจ็บที่แขนเริ่มมีกำลังใจดีขึ้นเมื่อเห็นแขนที่ได้รับการรักษาของตน
เชวฮันและโรสลินหยิบยาออกจากกระเป๋าเวทย์เพื่อคอยเป็นลูกมือให้กับนักบวชทั้งสอง คาร์ลมองสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสบตาเข้ากับทูนก้า
ทูนก้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“เจ้ายังนำยารักษามาจำนวนมากอีกด้วย..ข้า..ข้าขอบใจเจ้ายิ่งนัก!”
คาร์ลรู้สึกถึงสายตาของทหารและหมอรักษาที่พุ่งตรงมาที่เขาจึงเริ่มวางท่าให้ดูสง่างามและน่าเลื่อมใสมากขึ้นไปอีก
อัลเบิร์กเป็นคนเตรียมยาเหล่านี้ให้แก่เขา คาร์ลยังจำบทสนทนาที่เขามีต่ออัลเบิร์กก่อนที่เขาจะมุ่งหน้ามาที่นี่ได้ดี
‘เจ้ากำลังจะดับไฟอย่างที่เจ้าเคยทำในป่างั้นหรือ?..เจ้ากำลังจะสวมรอยเป็นองค์กรลับ?..เจ้าจะสวมชุดของพวกอาร์มเมื่อดับไฟงั้นรึ?’
คาร์ล โรสลินและเชวฮันต่างสวมชุดของอาร์มซึ่งเป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดไว้ใต้ชุดนักบวช
อัลเบิร์กหัวเราะเสียงดัง
‘ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า..ข้ามั่นใจว่าทหารของจักรวรรดิอาจซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อจับตาดูกองกำลังของอาณาจักรวิปเปอร์ไว้..มันจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้จักรวรรดิและองค์กรลับเริ่มระแวงกัน..ดี!..ข้าจะคอยสนับสนุนเจ้าอยู่ห่างๆดังนั้นก็สวมบทบาทเป็นนักบวชผู้น่าเลื่อมใสให้ดีแล้วกัน’
คาร์ลมองไปรอบๆกระโจมที่เริ่มการรักษาอย่างเป็นทางการแล้ว
‘มันคงจะน่าเสียดายไปหน่อยหากฉันมาที่นี่เพื่อดับไฟเพียงอย่างเดียว’