Trash of the Count’s family - ตอนที่ 142.1
บทที่ 142 ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดาย 1 (1)
“เฮ้อ…”
คาร์ลถอนหายใจยาวในขณะที่ทูนก้าก็รีบปลอบใจคาร์ลทันทีเช่นกัน
[“เจ้าอย่ากังวลกับมันมากไปเลยน่า..เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นใคร?.. ข้าคือทูนก้าไงล่ะ!..ข้าจะต้องหาทางออกในเรื่องนี้ให้ได้!”]
“บอกพิกัดมาเดี๋ยวนี้!”
[“อะไรนะ?”]
‘เขาพูดถึงพิกัดอะไร?’
สีหน้าของคาร์ลที่ทูนก้ามองเห็นในตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดซับซ้อนจนทูนก้าไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ คาร์ลพูดย้ำอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด
“บอกพิกัดที่เจ้าอยู่ในตอนนี้มา..ข้าจะรีบไปที่นั่นทันที”
[“ทำไมล่ะ?”]
‘แล้วจะถามกลับทำไม?’
คาร์ลรู้สึกรำคาญทูนก้ายิ่งนักเมื่อเขาย้อนถามกลับมา
‘จะว่าไปหมอนี่ก็ถามถูกแล้วล่ะ..แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าตัวเองต้องไปที่นั่นทำไม?แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปที่นั่นไม่ได้นี่นา?’
อาณาจักรวิปเปอร์จำเป็นต้องยึดครองปราสาทแห่งนี้ให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นเพื่อลดอำนาจของจักรวรรดิลงให้ได้
‘…แม้ว่าตอนนี้ฉันจะยังไม่รู้ว่าจักรวรรดิคิดจะทำอะไรก็ตาม’
คาร์ลไม่แน่ใจว่าอะไรคือสาเหตุที่จักรวรรดิเลือกสละปราสาทแห่งนี้? จักรวรรดิอาจทำเช่นนี้เพื่อมุ่งเน้นการป้องกันไปยังปราสาทอีกสองแห่งที่อาณาจักรวิปเปอร์หมายมั่นเอาไว้ พวกเขาอาจเลือกวิธีนี้เพื่อจะได้ซุ่มโจมตีกองกำลังของทูนก้าได้ง่ายหากฝ่ายอาณาจักรวิปเปอร์ต้องทุ่มความสนใจไปที่การดับไฟ
เขาจะสามารถหาคำตอบเรื่องนี้ได้หากเขาเดินทางไปที่นั่น คาร์ลจ้องใบหน้าของทูนก้าที่กำลังกระพริบปริบๆด้วยความสับสน
“ทำไมนะรึ?..ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการนักบวชและคนที่สามารถดับไฟได้หรือไง?”
[“…เจ้าจะลงมือเองเลยรึ?”]
ทูนก้าเอ่ยถามก่อนจะเงียบเสียงลง ไม่มีทางที่คนเช่นคาร์ล เฮนิตัสจะพูดล้อเล่น คนที่มองเขาด้วยสายตาจริงจังแบบนี้ไม่มีทางหยิบเรื่องนี้มาพูดเล่นแน่ๆ
[“..ถ้าเป็นเจ้าแล้วล่ะก็?..ข้าเชื่ออย่างยิ่งว่าจะไม่มีทางพูดเล่นหากไม่คิดที่จะทำมันจริงๆ”]
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบแจ้งพิกัดที่เจ้าอยู่มาโดยเร็ว..ข้าจะเตรียมตัวเดินทางไปที่นั่นทันที”
‘ฉันจะเดินทางไปถึงให้ไวที่สุดแล้วจะรีบกลับทันทีหากดับไฟเสร็จแล้ว’
นั่นคือสิ่งที่คาร์ลคิดเอาไว้
ทูนก้ามองตามหลังคาร์ลที่เดินไปหยิบปากกาและกระดาษมาเตรียมจดพิกัดที่เขาอยู่ในตอนนี้ เขารู้สึกแปลกๆแม้ว่าคาร์ลจะมีนักบวชอยู่ในกลุ่มของเขาและรู้วิธีในการดับไฟ แต่มันก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง สงครามยังไม่จบและยังไม่มีใครยอมแพ้ในสงครามครั้งนี้ มันแค่กำลังหยุดชะงักการทำศึกเท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่ทำให้สนามรบแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยอันตรายแล้วทำไมคาร์ลจึงมั่นใจในการเดินทางมาถึงที่นี่ขนาดนั้น?
ในเวลาเดียวกันทูนก้าก็เข้าใจในตัวตนของคาร์ลเช่นกัน
‘เป็นเพราะเขาเป็นคนดีเกินไป’
ทูนก้ามั่นใจในสิ่งที่เขาคิดก่อนจะเอ่ยกับคาร์ล
[“ข้าจะแจ้งแก่นักเวทย์ที่อาณาจักรโรมันส่งมาให้เพื่อให้พวกเขาเปิดสัญญาณเคลื่อนย้ายมวลสารรอเอาไว้และเราจะรีบส่งพิกัดที่แน่ชัดไปให้เจ้าโดยเร็วที่สุด”]
“ดี..เร่งมือแล้วกัน”
[ตกลง..จะว่าไปนี่ก็นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เจอเจ้า]
คาร์ลพยักหน้าตอบรับก่อนจะพูดเรื่องอื่นทันที
“อ้อ!…อีกอย่าง”
ทูนก้าอมยิ้มเมื่อกำลังคาดหวังว่าคาร์ลจะพูดเรื่องอะไร อาจเป็นเรื่องที่พวกเขากำลังจะได้เจอกันในเร็วๆนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่คาร์ลจะพูดไม่ใช่สิ่งที่ทูนก้าคิดไว้ คาร์ลไม่ต้องการเห็นรอยยิ้มของทูนก้าจึงหันไปมองทางอื่นและพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะปลอมตัว!”
[“เจ้าว่าอะไรนะ?”]
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าเพียงเท่านี้”
คลิ๊ก!!!
คาร์ลปิดอุปกรณ์เวทย์สื่อสารลงทันทีโดยไม่รอให้ทูนก้าได้โต้ตอบอะไร เขาไม่มีเรื่องที่จะคุยกับทูนก้าอีก เขาเพียงแค่รอให้ฝั่งทูนก้าส่งพิกัดเข้ามาและปล่อยให้อุปกรณ์เวทย์เคลื่อนเคลื่อนย้ายมวลสารได้ทำหน้าที่ของมันในภายหลัง เขาค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้
ราอนคลายเวทย์ล่องหนออกก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาหาคาร์ลทันที
“มนุษย์!..เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าจะปลอมตัว?”
ดวงตากลมโตของราอนเปล่งประกายขึ้นด้วยความใคร่รู้ อย่างไรก็ตามคาร์ลไม่ได้สนใจที่ตอบมันเมื่อเปิดประตูและมุ่งหน้าลงไปชั้นสี่ทันที
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หยุดลงหน้าห้องที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของชั้นสี่
ก็อก!ก็อก!ก็อก!
“เข้ามาได้!”
น้ำเสียงสดใสตะโกนออกมาจากในห้อง คาร์ลจึงเปิดประตูเข้าไปข้างใน
“…อ้าว!..นายน้อยคาร์ล?”
นักบวชแจ็คลุกขึ้นยืนเพื่อเอ่ยทักทายคาร์ล ห้องด้านในสุดและห้องที่อยู่ติดกันบนชั้นสี่ได้รับการป้องกันค่อนข้างหนาแน่นจากอุปกรณ์เวทย์เตือนภัยเกือบทุกประเภท ซึ่งทั้งสองห้องนี้เป็นห้องของแจ็คและฮันนาห์นั่นเอง
“สวัสดีนายน้อยคาร์ล”
เคจ นักบวชผู้ถูกคว่ำบาตรก็ลุกขึ้นยืนเพื่อเอ่ยทายคาร์ลเช่นกัน ท่าทางของเธอไม่ต่างจากทหารยามที่กำลังทำความเคารพผู้บังคับบัญชาเลยสักนิด คาร์ลสังเกตพวกเขาเงียบๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ท่านนักบวช..ฮันนาห์กำลังฝึกซ้อมอยู่หรือ?”
“อ้อ..ใช่แล้ว..นางกำลังฝึกวิธีควบคุมพลังความมืดจากแมรี่อยู่”
“งั้นรึ?”
“ใช่แล้ว..ข้าได้ยินมาว่าเชวฮันกับโรสลินก็อยู่กับพวกเขาด้วย”
“อืม..ข้าเข้าใจแล้ว”
เคจรู้สึกแปลกๆกับการที่คาร์ลเปิดประตูเข้ามาด้วยความรีบร้อนแต่ในขณะเดียวกันกลับดูสงบจนอ่านอาการเขาได้ยาก คาร์ลอาจรู้โดยสัญชาตญาณว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่เมื่อเขาหันขวับมามองเธอจนเธออดขนลุกไม่ได้
“ท่านเคจ”
“อ่า..มีอะไรหรือ?”
“ท่านจะพักอยู่ที่นี่ต่อหรือไม่?”
ตอนนี้เคจพักอยู่ในคฤหาสน์ใต้ดินของคาร์ลเป็นเพราะพระเจ้าแห่งความตายมักปรากฏตัวขึ้นและบ่นพึมพำในฝันของเธอในทุกๆครั้งที่เธอจะเดินทางออกไปที่ใด พระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นร่างกายแต่ได้ยินเพียงเสียงบ่นพึมพำมันย่อมเป็นเรื่องน่ารำคาญ นั่นเป็นสาเหตุที่เคจตัดสินใจติดตามคาร์ลมาที่นี่จนได้รู้จักกับนักบวชจากวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวัน แม้ว่าพวกเขาจะรับใช้พระเจ้าในฝั่งตรงข้ามกันก็ตาม
เธอตอบคาร์ลออกไป
“หากไม่เป็นการรบกวนท่านเกินไป..ข้าก็คิดว่าจะพักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อย”
แจ็คเองก็เอ่ยสนับสนุนเคจเช่นกัน
“มันเป็นเรื่องวิเศษยิ่งนักที่ข้าได้พบกับท่านเคจที่นี่..ถ้ามันไม่เป็นการรบกวนนายน้อยคาร์ลเกินไป..ข้าก็อยากจะให้ท่านเคจอยู่ต่อเช่นกัน”
การที่เคจอยู่ที่นี่ทำให้แจ็คสามารถระงับพลังชำระล้างให้บริสุทธิ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เธอทำให้เขาสามารถเข้าใกล้แมรี่และน้องสาวของเขาได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แน่นอนว่าเขายังไม่สามารถจับมือฮันนาห์ได้แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเมื่อเทียบกับการที่น้องสาวของเขายังมีชีวิตอยู่และสุขภาพแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ
คาร์ลพยักหน้าตอบรับให้พวกเขาทั้งคู่
“ข้าก็ดีใจที่ท่านอยู่ที่นี่เช่นกันท่านเคจ..นั่นคือเหตุผล…………..”
คาร์ลหยุดประโยคที่กำลังพูดกับเคจและแจ็คลงครู่หนึ่งเพื่อดึงความสนใจของพวกเขาทั้งคู่
“..ที่เราจะออกไปช่วยเหลือผู้คน”
“อะไรนะ?”
แจ็คอุทานออกมาด้วยความสับสนในขณะที่เคจเพียงเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“พวกเราจะไปที่ใดหรือ?”
คาร์ลยิ้มให้กับปฏิกิริยาของเคจก่อนจะเริ่มตอบคำถามของเธอ
“สนามรบ”
“ห๊ะ?”
คราวนี้เป็นเคจที่เริ่มสับสน อย่างไรก็ตามคาร์ลไม่คิดที่จะอธิบายเพิ่มเพียงมองไปที่พวกเขาทั้งสองและพูดในสิ่งที่เขาต้องการออกไปเท่านั้น
“และพวกท่านก็ต้องปลอมตัวด้วย”
“ท่านว่าอะไรนะ?”
“…ข้าชักไม่เข้าใจแล้วล่ะว่านายน้อยคาร์ลกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?”
ราอนที่ตามคาร์ลเข้ามาในห้องตั้งแต่แรกตะโกนถามออกมา
“พวกเขาก็จะปลอมตัวเหมือนกันเหรอ?”
คำถามของคาร์ลทำให้เคจสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามคาร์ลออกไป
“…นายน้อยคาร์ล..ท่านก็จะปลอมตัวเหมือนกันรึ?”
“ใช่..ข้าเรียกมันว่าการปลอมตัวแต่พวกเราไม่ได้ทำอะไรกับมันมากเพียงแค่เปลี่ยนสีผมหรือไม่ก็สีตาเท่านั้นเอง”
“…สีผม?..นายน้อยคาร์ลท่านก็จะเปลี่ยนสีผมงั้นหรือ?”
คาร์ลพยักหน้ารับ
“ใช่..เปลี่ยนเป็นสีที่ทำให้ข้าดูน่าเลื่อมใสยิ่งขึ้น”
“ห๊ะ?!.อะไรนะ?”
เคจจ้องไปที่คาร์ลด้วยความเหลือเชื่อแต่คาร์ลกลับหันไปสั่งราอนเสียก่อน
“ไปตามท่านโรสลินและเชวฮันมาให้ข้าที”
“สองคนนั้นก็จะปลอมตัวเหมือนกันหรือ?”
“อาจจะ..ไปตามพวกเขามาที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้ามนุษย์!”
ราอนรีบบินไปหาโรสลินอย่างตื่นเต้นจนคาร์ลต้องถอนหายใจให้กับราอนที่รีบพุ่งตัวออกไปราวกับขีปนาวุธ
คาร์ลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการปลอมตัว
ทหารของทูนก้าส่วนใหญ่ต่างก็เคยเห็นเขามาก่อนทั้งนั้น อาณาจักรวิปเปอร์กำลังทำสงครามกับอาณาจักรโมโครุหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าจักรวรรดิ แม้ว่าตอนนี้อาจไม่มีกองกำลังของจักรวรรดิอยู่ในนั้นแต่สิ่งต่างๆจะวุ่นวายมากขึ้นหากมีขุนนางจากอาณาจักรโรมันไปปรากฏตัวอยู่ในสนามรบ
“เอ่อ..นายน้อยคาร์ล”
“มีอะไรหรือ?..ท่านนักบวช”
“ข้าแนะนำสีขาวให้กับท่านได้หรือไม่?”
คาร์ลหันไปมองแจ็คซึ่งกำลังมีความสุขที่ได้ให้คำแนะนำกับคาร์ล เขากำลังรอคำตอบจากคาร์ลอย่างตั้งใจจนคาร์ลอดไม่ได้ที่จะรับปากออกไป
“…อืม..ข้าจะลองดู”
‘ไอกู..ชีวิตที่แสนลำบากของฉัน’
คาร์ลเริ่มเข้าใจหัวอกของอูฮาเบ็นที่ต้องปวดหัวอยู่บ่อยครั้งเมื่อต้องรับมือกับราอน