Trash of the Count’s family - ตอนที่ 141.2
บทที่ 141 กลางดึก 3 (2)
คาร์ลไม่สนใจราอนเหมือนที่เคยทำมาตลอด
ทั้งองค์ชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรโรมัน ทั้งราชินีแห่งผืนป่า ทั้งว่าที่ราชินีแห่งเผ่าวาฬ ทั้งหัวหน้าคนสำคัญของอาณาจักรวิปเปอร์และองค์ชายคนโตแห่งอาณาจักรเบร็คต่างเฝ้ารอคำตอบจากบุตรชายคนโตของขุนนางเล็กๆผู้หนึ่งเท่านั้น คาร์ลเริ่มตอบคำถามของลิทาน่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบและใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องช่วยทวีปตะวันตกไว้หรือพะย่ะค่ะ?..เราไม่ควรนำสันติสุขมาสู่ประชาชนในทวีปของเราหรอกหรือพะย่ะค่ะ?”
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาปรารถนาจะเอาความสุขและความสงบมาสู่บ้านของเขา
“หม่อมฉันเชื่อยิ่งนักว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะสามารถทำมันได้”
‘โปรดทำงานให้หนักเพื่อที่ฉันจะไม่ต้องลงมือทำอะไรให้มากมาย’
นั่นคือสิ่งที่คาร์ลคิด
~มนุษย์เจ้าพูดถูก!..เจ้าเป็นคนดีจริงๆ!~
คาร์ลไม่สนใจกับคำชมของราอนเมื่อเขาหันไปมองลิทาน่า
“…มันเป็นเรื่องจริง..ท่านพูดถูกแล้วนายน้อยคาร์ล..ดูเหมือนท่านมักจะเดินไปตามเส้นทางที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรมเสมอ..ท่านช่างเป็นคนดีจริงๆ”
สายตาที่ทุกคนมองมาที่คาร์ลเต็มไปด้วยความชื่นชมจนคาร์ลสัมผัสมันได้ เขากวาดสายตาไปมองรอบๆและต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อสบตาเข้ากับอัลเบิร์ก
อัลเบิร์กมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับที่ใบหน้าแต่สายตาที่ส่งมาให้เขานั้นเหมือนจะบอกว่า ‘เจ้าบ้านี่!..จำเป็นต้องพูดอะไรไร้สาระแบบนี้ด้วยหรือ?!’
คาร์ลยิ้มตอบอัลเบิร์กเมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจหัวอกของตน
จอห์นเริ่มพูดขึ้นบ้าง
“อาณาจักรโรมัน—-”
เขาเงียบเสียงลงทั้งๆที่ยังพูดไม่จบประโยค จอห์นจำไม่ได้ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปเมื่อเห็นรอยยิ้มที่รู้ทันกันของคาร์ลและอัลเบิร์กที่ส่งให้กันเมื่อครู่นี้
อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแน่ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดต่างมีศัตรูร่วมกันทำให้เขาเลือกที่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป
ลิทาน่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส
“เราจะเสริมกำลังให้กับอาณาจักรวิปเปอร์ด้วยการมอบเสบียงให้”
ประโยคนี้มีความหมายว่าผืนป่ายินดีที่จะทำงานร่วมกับอาณาจักรวิปเปอร์และเสนอในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังเวทย์และการเล่นแร่แปรธาตุเพื่อสนับสนุนพวกเขา
รอยยิ้มของฮาโรนกว้างขึ้นเรื่อยๆเมื่อเขาเอ่ยออกมา
“เราต้องการกำจัดกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดพลังเวทย์ทั้งหมด…เราจะฆ่าพวกมันให้ได้!..พวกมันจะต้องตายอย่างทรมาน!”
มันเป็นคำตอบที่น่าขนลุกแต่ก็เหมาะสมแล้วที่มาจากปากของคนที่เกลียดชังพลังเวทย์เข้ากระดูกดำ
เมื่อเห็นว่าสมาชิกที่นั่งล้อมโต๊ะกันอยู่หันมาคุยรายละเอียดทั้งหมดอย่างเคร่งเครียดอีกครั้ง คาร์ลจึงเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ การประชุมคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วเมื่ออัลเบิร์กเป็นหัวเรือหลักในการประชุมครั้งนี้เพราะเขาคือคนที่มีข้อมูลมากที่สุด
ทั้งสามอาณาจักรตกลงที่จะส่งเงินไปช่วยอาณาจักรวิปเปอร์อย่างลับๆ นอกจากนี้หากจักรวรรดิสามารถบุกเข้าไปในดินแดนของอาณาจักรวิปเปอร์ได้ทางอาณาจักรผืนป่าจะส่งหน่วยรบเข้าไปช่วยทันที หากจักรวรรดิเริ่มใช้ระเบิดพลังเวทย์จากเวทย์แห่งความตายเมื่อไหร่?ทางอาณาจักรโรมันจะส่งรายละเอียดของขั้นตอนในการจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวและอาณาจักรที่เหลือจะส่งเงินเข้าไปเพื่อเป็นทุนรอนในการดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านั้น
พวกเขายังพูดถึงการให้ความสนับสนุนในการทำศึกของเผ่าวาฬที่จะเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวรวมไปถึงการรับมือจากพันธมิตรทางตอนเหนืออีกด้วย พวกเขาได้วางแผนสิ่งต่างๆที่จะต้องทำจนกระทั่งถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิในครั้งหน้า [1]
“เมื่อคุยรายละเอียดทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว..เราก็เริ่มสาบานแห่งความตายกันเถิด”
เคจลุกขึ้นยืนตามคำกล่าวของอัลเบิร์ก
ในที่สุดการประชุมอันยาวนานก็สิ้นสุดลงเมื่อทุกคนต่างเอ่ยคำสาบานแห่งความตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คาร์ลหันไปมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นมาเยือนในอีกไม่ช้าเมื่อกำลังมุ่งหน้าไปยังอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสาร อูฮาเบ็นก็กำลังเดินตามหลังเขามาติดๆ
คาร์ลหยุดยืนหน้าแท่นรูปทรงกลมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารพร้อมกับกลุ่มของอัลเบิร์ก เคจและกลุ่มของฮาโรน โดยกลุ่มของฮาโรนจะเป็นกลุ่มแรกที่เดินทางกลับไปก่อน
ครืนนนนนนน!!! ซ่า!!!!!!
อุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารถูกเปิดใช้งานก่อนที่ร่างของฮาโรนจะค่อยๆเลือนรางลง
คาร์ลที่ยืนรออยู่ข้างๆสบตาเข้ากับฮาโรนซึ่งกำลังฉีกยิ้มให้เขาอยู่พอดี
“นายน้อยคาร์ล..แล้วเราค่อยพบกันใหม่หลังจากเราได้รับชัยชนะ”
ร่างของฮาโรนหายวับไปทันทีโดยที่คาร์ลไม่ทันจะเอ่ยตอบอะไร ส่วนอัลเบิร์กก็หันมาแซวคาร์ลอย่างติดตลก
“เขาบอกว่าอยากเจอเจ้าอีกน่ะ?”
แน่นอนว่าอัลเบิร์กได้รับเพียงท่าทางที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดของคาร์ลดังตัวตนปกติที่คาร์ลมักเป็น เขาหัวเราะน้อยๆและย้ายไปยืนบนแท่นทรงกลมพร้อมกับคาร์ลทันที
ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เดินทางมาถึงอาณาเขตอัลบา อัลเบิร์กมีบางอย่างที่จะพูดก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไป
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ทำสิ่งใดจนกว่าจะถึงฤดูหนาว..ถ้าเช่นนั้นก็พักผ่อนเสียบ้างแล้วรอฟังข่าวดีในชัยชนะของเรา”
คาร์ลไม่มีปัญหาในการตอบกลับอัลเบิร์กเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาวางแผนเอาไว้แล้ว
“นั่นเป็นสิ่งที่หม่อมฉันคิดไว้พะย่ะค่ะ”
ถึงจะเอ่ยออกไปเช่นนั้นคาร์ลก็ยังรู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นรอยยิ้มของอัลเบิร์ก แน่นอนว่าอัลเบิร์กกำลังคิดว่าคาร์ลจะได้พักผ่อนนานเพียงใดเพราะการที่คาร์ลเอ่ยเช่นนี้มักจะมีสิ่งอื่นตามมาเสมอ เขาเอ่ยลาอีกครั้งพลางกลั้นยิ้มไปด้วย
“งั้นเหรอ?..ขอให้เป็นอย่างที่เจ้าพูดแล้วกัน…พักผ่อนให้มีความสุขล่ะ”
.
.
.
แน่นอนว่าการพักผ่อนของคาร์ลไม่ได้เป็นอย่างที่ใจเขาคิด คาร์ลขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นใบหน้าของทูนก้าลอดผ่านอุปกรณ์เวทย์สื่อสารออกมา
“ย๊ากกกกกก!!!!!”
“ข้าต้องทำได้!!!!”
เสียงตะโกนอย่างกระฉับกระเฉงยังคงดังลอดหน้าต่างเข้ามาในห้องของคาร์ล
แม้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วแต่น้ำเสียงของพวกเขาก็ไม่มีวี่แววว่าจะเหนื่อยล้าแต่อย่างใด
คาร์ลไม่ต้องการเห็นหน้าตาอันน่าเกลียดของทูนก้าตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงย่างกรายเข้ามาเลยสักนิด
“มีอะไรงั้นหรือ?”
คาร์ลได้รับข่าวสารของอาณาจักรวิปเปอร์ผ่านทางอัลเบิร์กและสายข่าวซึ่งรอนเป็นหัวหน้าแทบจะทุกวัน อาณาจักรวิปเปอร์ทำผลงานได้เป็นอย่างดีหากเทียบกับจักรวรรดิ
จักรวรรดิไม่ได้เผยไพ่ตายทั้งหมดที่พวกเขามีออกมาเช่นการใช้ระเบิดพลังเวทย์จากเวทย์ความตาย เรื่องนี้อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังยื้อเวลาให้อาณาจักรวิปเปอร์ที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดหมดเงินทุนในการทำสงคราม พวกเขาจะหมดเงินในการจัดสรรเสบียงให้กับทหารและจะถอยทัพในที่สุด
‘แต่จักรวรรดิก็เคลื่อนไหวช้าเกินไปจนผิดปกติ’
นั่นเป็นข้อมูลชุดสุดท้ายที่คาร์ลได้รับรายงาน มันจึงทำให้เขาไม่อยากจะสนทนากับทูนก้าในตอนนี้สักเท่าไหร่
[“ข้าอยากให้เจ้ารู้เป็นคนแรก”]
ยังไม่ทันที่คาร์ลจะพูดอะไรทูนก้าก็พูดต่อทันที
[“ชัยชนะของเราดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว”]
คาร์ลชะงักไปเล็กน้อย
[“เรายึดปราสาทของพวกมันได้แล้ว!..ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”]
ทูนก้าขยับถอยหลังไปเล็กน้อย
‘เจ้าบ้านี่!’
คาร์ลสังเกตเห็นว่ามีเพียงใบหน้าของทูนก้าเท่านั้นที่สะอาดหมดจด ส่วนอื่นๆของร่างกายต่างถูกปกคลุมไปด้วยคราบเลือด เขายังมองเห็นศพกองพะเนินอยู่ด้านหลังของทูนก้าอีกด้วย
เจ้าบ้าทูนก้าสะสมซากศพของศัตรูเอาไว้เป็นกองพะเนินก่อนจะเรียกให้เขามาดูด้วยงั้นหรือ? หมอนี่ช่างโรคจิตจริงๆ
[“ข้าทำตามที่เจ้าเคยเตือนเอาไว้”]
คาร์ลรู้สึกแปลกๆเมื่อได้ยินทูนก้าเอ่ยเช่นนั้น
“ตามที่ข้าเตือนงั้นหรือ?”
[“ใช่..ข้าไม่ได้ทิ้งขว้างพวกทหารที่ได้รับบาดเจ็บ..ข้าพาพวกเขากลับมาด้วย”]
ทูนก้าคิดสิ่งนี้ด้วยตัวเองงั้นหรือ? คาร์ลตกใจกับสิ่งที่ทูนก้าบอกแก่ตน มันแปลกที่ทูนก้าทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต
ทูนก้ายังคงพูดต่อด้วยความภูมิใจในตนเอง
[“ผู้นำที่แข็งแกร่งจำเป็นต้องรู้วิธีการดูแลคนที่อ่อนแอกว่า”]
‘นี่คือทูนก้าจริงๆงั้นหรือ?’
คาร์ลกำลังเถียงกับตนเองว่านี่คือทูนก้าที่เขารู้จักจริงๆงั้นหรือ? อย่างไรก็ตามเขารีบปัดเรื่องนี้ออกไปก่อนหลังจากได้ยินสิ่งที่ทูนก้าพูดต่อเช่นเดียวกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของทูนก้า
[“แต่ข้าคิดว่า..มันยากที่รักษาพวกเขาให้รอดได้”]
คาร์ลเริ่มคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าอาณาจักรวิปเปอร์จะมีเงินทุนเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่สามารถใช้มันซื้อยาราคาแพงๆเพื่อรักษาทหารของพวกเขาทั้งหมดได้
‘พวกเขามีนักบวชไม่พออีกด้วย’
ไม่มีวิหารของพระเจ้าองค์ใดเป็นที่เคารพและศรัทธาในอาณาจักรวิปเปอร์ พวกเขาคิดว่าวิหารเป็นฝ่ายเดียวกับพลังเวทย์ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาขาดนักบวชในสงครามครั้งนี้
นอกจากนี้พลเมืองของอาณาจักรวิปเปอร์ส่วนใหญ่ต่างถูกเรียกว่าพวกป่าเถื่อนเพราะพวกเขาเชื่อในพลังของธรรมชาติแต่ไม่เชื่อในพลังของพระเจ้า สิ่งนี้ทำให้วิหารที่มีชื่อเสียงในต่างอาณาจักรไม่คิดที่จะส่งนักบวชเข้ามาเผยแผ่คำสอนในอาณาจักรวิปเปอร์แต่อย่างใด
และความจริงที่ว่าเมื่อครั้งอดีตหากอาณาจักรวิปเปอร์มีผู้ใดที่เก่งกาจในด้านการเยียวยารักษาก็จะถูกกำจัดโดยเหล่านักเวทย์ทันที
คาร์ลมองเห็นความเศร้าโศกบนใบหน้าของทูนก้า
[“เรามีหมอไม่เพียงพอ..เราไม่สามารถใช้ยารักษาพวกเขาจนหมดได้เมื่อเรายังได้รับชัยชนะเพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้นและเราก็ไม่มีนักบวชด้วย”]
มันเป็นจังหวะเดียวกับที่คาร์ลนึกถึงบุคคลสองคนขึ้นมาพอดี ทั้งสองคนนี้ไม่ได้ทำอะไรเป็นหลักแหล่งในคฤหาสน์ของเขา
คนหนึ่งเป็นนักบวชที่ถูกคว่ำบาตรส่วนอีกคนก็มีพลังการรักษาเพียงครึ่งเท่านั้น
อาจจะมีอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือเอลฟ์ที่กำลังนอนเหงาอยู่ในถ้ำมังกรทอง
“อืม..”
คาร์ลยกแขนขึ้นกอดอกเมื่อเริ่มพิจารณาสิ่งต่างๆ ใช้พวกเขาแค่หนึ่งในสามคนนั้นก็สามารถทำได้มากกว่านักบวชทั่วๆไปรวมกันหลายๆคนเสียอีก
ราอนเริ่มพูดเข้ามาในหัวของคาร์ล
~มนุษย์!..เรากำลังจะไปช่วยคนใช่มั้ย?~
มีความคาดหวังในบางอย่างที่ปะปนเข้ามาในน้ำเสียงของราอนและคาร์ลก็ทำเพียงแค่เอ่ยถามในสิ่งที่เขาคาใจกับทูนก้าเท่านั้น
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?..ที่ว่าชนะเพียงครึ่งทางเท่านั้น”
สรุปว่าเขาชนะหรือแพ้? ทำไมถึงบอกว่าตัวเองชนะเพียงแค่ครึ่งทางล่ะ?
ทูนก้าเขินเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของคาร์ล
[อะแฮ่ม..เอ่อ..ศัตรูต่างวิ่งหนีตายออกจากปราสาท”]
“งั้นเจ้าก็บุกยึดปราสาทได้แล้วสิ”
ดูเหมือนทูนก้าจะเข้ายึดปราสาทสำคัญของจักรวรรดิไว้ได้แห่งหนึ่ง
[“เรายึดมันได้..แต่เราเข้าไปในนั้นไม่ได้”]
‘อะไรกันเนี่ย?’
ทูนก้ายกมือขึ้นเกาหัวเบาๆเมื่อเห็นการตั้งคำถามของคาร์ลก่อนจะเปลี่ยนทิศของอุปกรณ์เวทย์สื่อสารไปอีกด้านหนึ่ง
คาร์ลมองเห็นประกายไฟสีแดงปรากฏผ่านอุปกรณ์เวทย์สื่อสารออกมา เขาเข้าใจในทันทีว่าทำไมทูนก้าเลือกจะติดต่อเข้ามาทั้งๆที่อยู่ท่ามกลางกองศพเป็นจำนวนมากเป็นเพราะเขาไม่สามารถเข้าไปในปราสาทแห่งนี้ได้ดังนั้นเขาจึงไปหลบมุมในจุดที่ทหารของเขาจะมองไม่เห็น เสียงของราอนลอดเข้าในหัวคาร์ลอีกครั้ง
~มนุษย์!..มันกำลังลุกไหม้!~
มันเป็นกองเพลิงที่ลุกโชนอย่างน่ากลัว มันเป็นเสาขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงจนไม่สามารถมองเห็นตัวปราสาทได้
[“เอ่อ..ไฟนี้มันลุกโชนอยู่ตลอดเวลาและเราไม่สามารถดับมันได้”]
“เจ้าดับมันไม่ได้งั้นหรือ?”
[“ใช่..ข้าเลยสั่งให้ทหารเฝ้าเสาพวกนี้เอาไว้..แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือไฟลุกไหม้แต่เสาเท่านั้นมันไม่ได้ลามไปยังตัวปราสาท..มันเหมือนกับว่าเสาพวกนี้ทำหน้าที่เป็นกำแพงป้องกันปราสาทจากเราเอาไว้”]
ทูนก้าอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหมดเปลือกโดยไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องใดๆต่อเพื่อนของเขา มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นหลังจากแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ให้คาร์ลฟัง เมื่อเทียบกับศึกต่างๆที่เขาเคยเข้าร่วมมาดูท่าศึกครั้งนี้จะมีอะไรหลายอย่างให้คิดและจัดการมากยิ่งขึ้น เสาที่ถูกเปลวเพลิงลุกโชนอยู่นี้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เขาต้องจัดการมันให้ได้
[“ข้าไม่สามารถบอกได้ว่าจักรวรรดิทำอะไรอยู่?..แต่ข้าจะต้องจัดการมันให้ได้”]
ทูนก้าหยุดพูดทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของคาร์ล นั่นทำให้เขาเอ่ยถามคาร์ลด้วยความกังวลใจซึ่งต่างจากตัวตนปกติของเขา
[“มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?”]
คาร์ลกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดและเลือกที่จะไม่สนใจในคำถามของทูนก้า เขาจ้องไปยังเปลวเพลิงที่ลุกโชนผ่านอุปกรณ์เวทย์สื่อสารออกมา
น้ำเสียงตื่นเต้นของราอนเริ่มดังเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง
~มนุษย์!..ไม่ใช่ว่าเราเคยเห็นไฟแบบนี้มาก่อนเหรอ?~
คาร์ลยังจำไฟที่ลุกไหม้ในตอนนี้ได้ดีแม้จะไม่ได้เห็นมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว มันลุกไหม้กินพื้นที่ป่าส่วนที่หนึ่งโดยไม่ลามเข้าไปส่วนอื่นๆของผืนป่า ไม่สามารถดับมันลงได้แม้ฝนจะตกหนักเพียงใดก็ตาม
‘ให้ตายเถอะ!’
คาร์ลจับไปที่สร้อยคอของเขาซึ่งบรรจุวารีสยบเพลิงเอาไว้
คิ้วของเขายิ่งขมวดเป็นปมใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
‘ดูเหมือนฉันจะต้องเป็นคนดับไฟนั่นสินะ!’