Trash of the Count’s family - ตอนที่ 141.1
บทที่ 141 กลางดึก 3 (1)
ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วพื้นที่
ฮาโรนยังคงนิ่งเงียบในขณะที่องครักษ์กระซิบริมหูขององค์ชายจอห์นเบาๆสายตาของเขายังคงจ้องเขม็งมาที่คาร์ลและเผ่าวาฬอย่างพิจารณา
ตอนนั้นเองที่วิเทียร์เริ่มพูดขึ้นมา ความมั่นใจของเธอมีเต็มเปี่ยมเมื่อจ้องไปที่ผู้นำทั้งสี่อาณาจักร เธอไม่ได้โค้งคำนับต่อพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
“ข้าชื่อวิเทียร์และมาที่นี่ในฐานะตัวแทนของชนเผ่าวาฬ..เรามาตามคำเชิญของนายน้อยคาร์ลผู้มีพระคุณของเรา..ยินดีที่ได้พบพวกท่านยิ่งนัก”
น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความให้เกียรติแต่ก็ยังคงสถานะของเธอไว้ได้เป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าเผ่าวาฬคือชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรและความยิ่งใหญ่ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อพวกเขาสามารถเอาชนะเผ่าเงือกไปได้ ในฐานะว่าที่ราชินีในอนาคตของเผ่าวาฬไม่มีเหตุผลใดที่วิเทียร์จะต้องยอมหงอหรือเกรงกลัวต่อผู้นำทั้งสี่คนนี้
นอกจากนี้พวกเขายังเป็นชนเผ่าที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความแข็งแกร่งรองมาจากมังกร กลุ่มคนทั้งหมดต่างมองไปที่แส้ขนาดใหญ่ซึ่งพันรอบแขนของวิเทียร์เอาไว้
คาร์ลมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความพอใจ เขาเป็นคนขอให้วิเทียร์ทำแบบนี้เอง
‘จงสร้างบุคลิกและน้ำเสียงให้น่าเกรงขามที่สุด’
วิเทียร์สร้างบุคลิกและน้ำเสียงได้อย่างเหมาะสมในฐานะสมาชิกของชนเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุด พาสตันและอาร์ชีต่างยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าขึงขังส่งผลให้ความน่าเกรงขามยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
นักรบแห่งผืนป่าและกลุ่มคนที่มาจากแต่ละอาณาจักรอาจมีความประทับใจในตัวเผ่าวาฬมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าความประทับใจจะถูกส่งมายังอาณาจักรโรมันด้วยเพราะพวกเขาคือคนเชิญเผ่าวาฬเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
‘ไม่เลวเลย’
คาร์ลพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงหันไปมองรอบๆอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งอย่างตกใจ
ลิทาน่าซึ่งมีอาการเป็นกังวลเมื่อก่อนหน้านี้กำลังมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
‘หืม?’
เธอกำลังส่งยิ้มให้เขาราวกับได้พบสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คาร์ลไม่สามารถทนต่อรอยยิ้มแบบนี้ได้จึงหันไปมองทางอื่นแต่ก็สบตาเข้ากับฮาโรนที่กำลังส่งยิ้มมาให้เขาเช่นกัน รอยยิ้มของฮาโรนเป็นแบบเดียวกับลิทาน่าไม่มีผิด
‘ทำไมคนพวกนี้ถึงเป็นแบบนี้ด้วยล่ะ?’
คาร์ลไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงมองตนแบบนี้ ตอนนั้นเอง
แป๊ะ!
เสียงปรบมือดังขึ้นเบาๆแต่ก็สะท้อนกลบความเงียบจนหมด สายตาของทุกคนหันไปมองที่มาของเสียงที่เกิดขึ้น องค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กคือผู้ทำลายความเงียบนี้ลงก่อนจะเอ่ยขึ้นเมื่อทุกสายตาหันมามองที่เขาแล้ว
“เขาไปข้างในกันเถอะ..เราจะได้พูดคุยรายละเอียดกันสักที..ดูท่าคืนนี้จะอีกยาวนาน”
องค์ชายจอห์นก็เห็นด้วยกับอัลเบิร์กเช่นกัน
“ข้าเห็นด้วยกับท่าน..มีข้อมูลมากเกินไปที่ส่งมาให้ข้าในคราวเดียว..ตอนนี้ใจของข้าว้าวุ่นยิ่งนัก”
ตรงข้ามกับสิ่งที่จอห์นพูดออกมาเมื่อท่าทางของเขากลับดูสงบกว่าที่คิดเอาไว้ แน่นอนว่ามันแตกต่างจากสีหน้ากระวนกระวายใจของเพ็นที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาเป็นอย่างมาก
อัลเบิร์กพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่จอห์นเอ่ยก่อนจะหันไปมองลิทาน่า
“ท่านลิทาน่า…ดูเหมือนว่าเราต้องการเก้าอี้เพิ่มอีกสามตัว”
ลิทาน่าพยักหน้าตอบรับ
“เก้าอี้สำหรับเผ่าวาฬทั้งสามท่านใช่หรือไม่?”
ลิทาน่าหันไปยังทิศที่บินยืนอยู่พลางออกคำสั่ง
“บิน..ไปนำเก้าอี้มาเพิ่มอีกสี่ตัว..เอามาเผื่อนายน้อยคาร์ลด้วย”
“ท่านลิทาน่า..นายน้อยคาร์ลก็รวมอยู่ในเก้าอี้สามตัวนั่นแล้ว”
“อะไรนะ?”
ลิทาน่าหันขวับไปมองอัลเบิร์กด้วยความสับสนเมื่อได้ยินอัลเบิร์กบอกว่านับรวมคาร์ลเข้าไปในเก้าอี้สามตัวนั้นแล้ว
‘แล้ววาฬอีกสองท่านจะนั่งด้วยกันหรือไม่?’
นั่นคือสิ่งที่เธอนึกสงสัยในใจ หากจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าทุกๆคนต่างสงสัยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามเสียงรบกวนบางอย่างก็ดังขึ้นมาเพื่อแก้ความกระจ่างให้กับสิ่งที่พวกเขาสงสัย
“ห๊ะ?”
เสียงอุทานดังขึ้นเบาๆ
ครืนนนนนนนน!!!!!
อุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารส่องแสงขึ้นอีกครั้ง คนที่จะเข้ามายังจุดนี้โดยใช้เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารจะต้องรู้พิกัดที่ตั้งซึ่งถูกส่งสัญญาณจากนักเวทย์ของผืนป่าเท่านั้น นั่นเป็นสาเหตุที่เหล่านักเวทย์ของผืนป่าเริ่มกังวลไปตามๆกัน ตอนนั้นเองที่มีคนจับไปที่ไหล่ของนักเวทย์เพื่อให้หันไปมองตามแรงดึง
เป็นคาร์ล เฮนิตัสนั่นเองที่ดึงให้นักเวทย์หันไปมองเขา
“เป็นคนที่ข้าเชิญมาเอง”
“…ขอรับ?”
ครืนนนนนนนน!!! ว๊าบบบบบบ!!!!
แสงเป็นประกายจ้าขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นเงาร่างของมนุษย์พอให้เห็นรางๆ
เผ่าวาฬไม่ใช่สิ่งเดียวที่คาร์ลได้เตรียมเอาไว้ เขาเริ่มยิ้มออกมาเมื่อจ้องไปยังร่างที่เริ่มปรากฏให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ได้พบคนผู้นี้มาสักพักแล้ว เขายื่นมือออกไปด้านหน้าเมื่อผู้มาใหม่เดินมายังจุดที่เขาอยู่เป็นที่เรียบร้อย
“ท่านเคจ..ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“ใช่แล้วนายน้อยคาร์ล..เราไม่ได้เจอกันนานมากแล้วจริงๆ”
ผู้มาใหม่คือเคจอดีตนักบวชผู้ถูกคว่ำบาตร เธอเดินไปตามทิศที่คาร์ลผายมือเชิญชวน เธอสวมชุดคลุมสีดำโดยไม่ปักตราสัญลักษณ์ใดๆไว้ ชุดคลุมไหวไปกับสายลมเมื่อเธอเริ่มเอ่ยทักทายทุกคน
“เป็นเกียรติของหม่อมฉันยิ่งนัก..ที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ในวันนี้”
เธอยังคงวางท่าให้ดูสมเกียรติตามแบบฉบับของนักบวชที่ดีแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นความกังวลก็เริ่มฉายชัดไปยังกลุ่มคนบางกลุ่ม ยกเว้นทางฝั่งอาณาจักรเบร็คซึ่งยังคงนิ่งเป็นปกติเพราะเคยเห็นเคจมาก่อนหน้านี้แล้ว
คาร์ลเริ่มแนะนำเคจให้หลายๆคนรู้จัก
“นางชื่อเคจ..เป็นนักบวชผู้รับใช้พระเจ้าแห่งความตาย”
ทุกคนต่างคิดเป็นอย่างเดียวกันเมื่อคาร์ลเอ่ยถึงพระเจ้าแห่งความตาย
คำสาบานแห่งความตายเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้นักบวชผู้รับใช้พระเจ้าแห่งความตายปรากฏตัวขึ้นในการประชุมครั้งนี้
อัลเบิร์กเริ่มพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าคาร์ลไม่ได้พูดอะไรต่อ
“การประชุมของเราในค่ำคืนนี้..ถือเป็นข้อมูลที่เป็นความลับยิ่งนัก”
อัลเบิร์กยกยิ้มและพูดต่อทันที
“มันจะไม่เป็นการดีกว่าหรือ?หากเราเลือกใช้สิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุดมากกว่าที่จะอาศัยเพียงแค่ความเชื่อใจหรือความไว้วางใจในตัวของพวกเราเพียงเท่านั้น..แล้วอะไรกันล่ะที่ถือเป็นความน่าเชื่อถือที่สุดในชีวิต..มันไม่ใช่การสาบานหรอกหรือไง?”
อัลเบิร์กแต้มยิ้มสดใสแต่บรรยากาศโดยรอบกำลังดิ่งลงอย่างรวดเร็ว อัลเบิร์กกำลังแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาสามารถเข้าถึงนักบวชผู้รับใช้พระเจ้าแห่งความตายและเผ่าวาฬได้ง่ายดายเพียงใด แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธและต้องยอมรับการสาบานแห่งความตายในค่ำคืนนี้
“จริงๆเลย..เหลือเชื่อยิ่งนัก”
ในที่สุดก็มีคนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
ฮาโรนหันไปเอ่ยกับอัลเบิร์กและคาร์ลอย่างเหลือเชื่อก่อนจะพูดต่อ
“หากให้เดาในอาณาจักรโรมันคงมีผู้คนจำนวนมากทีเดียวที่มีความน่าสนใจเช่นนี้..มันน่าสนุกยิ่งนักหากได้ทำสิ่งต่างๆร่วมกับกลุ่มคนเหล่านี้..ดี!..มันเป็นแบบที่ข้าชอบ!”
คาร์ลสบตาเข้ากับฮาโรนซึ่งกำลังยิ้มอย่างสดใส
‘ทำไมเขามองฉันแบบนั้นล่ะ?’
ในขณะที่คาร์ลคิดสิ่งนี้อยู่ในใจ ฮาโรนก็หันไปมองอัลเบิร์กและพูดต่อทันที
“พระองค์พูดถูก!..การสาบานคือสิ่งที่น่าเชื่อถือมากที่สุด..หม่อมฉันเห็นด้วยกับวิธีนี้!”
“สำหรับข้า..ขอฟังเรื่องที่ท่านจะพูดในวันนี้ก่อนแล้วข้าจึงจะตัดสินใจอีกที”
จอห์นพูดขึ้นหลังจากฮาโรนพูดจบแล้ว ลิทาน่าเป็นคนเดียวที่ยังไม่แสดงความคิดเห็นใดๆดังนั้นทุกคนต่างจ้องไปที่เธออย่างพร้อมเพรียง
รอเพียงชั่วอึดใจ เธอก็เริ่มพูด
“ถ้าเช่นนั้นเก้าอี้สามตัวนั้น..ตัวหนึ่งคงเป็นของว่าที่ราชินีแห่งเผ่าวาฬ..อีกตัวก็เป็นของท่านเคจ..ส่วนตัวสุดท้ายคงเป็นของนายน้อยคาร์ลสินะ”
เธอหันไปออกคำสั่งกับบิน
“ไปจัดการเตรียมเก้าอี้ทั้งสามตัวเข้าไปในกระโจมให้เรียบร้อย..แล้วคอยอำนวยความสะดวกให้กับทหารและนักเวทย์ที่เดินทางมาในวันนี้ด้วย”
ท่าทางที่เธอแสดงออกมาเป็นการยอมรับกลายๆว่าเธอยอมรับเงื่อนไขทั้งหมดโดยเฉพาะการเอ่ยคำสาบานแห่งความตาย อัลเบิร์กเดินนำเข้าในกระโจมพลางเอ่ยขึ้น
“เราไปคุยรายละเอียดที่เหลือด้านในกันเถอะ”
.
.
.
หลังจากความวุ่นวายเมื่อสักครู่ผ่านพ้นไป กลุ่มคนที่ตามมาสมทบก็ถูกเพิ่มเข้าไปในที่ประชุมทันที
คาร์ลทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหม่ที่ถูกจัดให้เขาโดยเฉพาะและเริ่มคิดในใจเมื่อการประชุมกำลังดำเนินการอยู่
‘ให้ฉันยืนอยู่ด้านหลังก็พอแล้วกระมัง?’
อันที่จริงควรมีเพียงวิเทียร์เท่านั้นที่ควรนั่งประชุมกับพวกเขาด้วย แต่การที่เคจเป็นนักบวชผู้รับใช้พระเจ้าแห่งความตายพวกเขาจะปล่อยให้เธอยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่
‘แล้วทำไมฉัน..ถึงได้นั่งร่วมวงกับพวกเขาด้วยล่ะ?’
คาร์ลตั้งคำถามอยู่ในใจเมื่อลอบสังเกตบรรยากาศการประชุมอย่างฝืนๆ
วิเทียร์และอัลเบิร์กเป็นผู้เริ่มแบ่งปันข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับองค์กรลับที่ถูกเรียกว่า‘อาร์ม’รวมทั้งเหตุการณ์ร้ายต่างๆที่พวกอาร์มเป็นผู้ลงมือ
อาร์มเข้าควบคุมตลาดมืดของทวีปตะวันออก
พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ก่อการร้ายในอาณาจักรโรมันและลอบวางระเบิดพลังเวทย์ในวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวัน
พวกเขาบุกโจมตีหมู่บ้านเอลฟ์เพื่อแย่งชิงกิ่งก้านของต้นไม้โลก
พวกเขาว่าจ้างเผ่าเงือกให้ควบคุมเส้นทางเดินทะเลซึ่งเชื่อมต่อทะเลทวีปตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน
บรรยากาศภายในกระโจมค่อยๆลดลงอย่างต่อเนื่องเพราะรายละเอียดที่ถูกเจาะลึกเพิ่มมากขึ้น
“…หึ!”
จอห์นไม่สามารถแม้แต่จะเงยศีรษะขึ้นมาสบตากับใครในขณะที่มือข้างขวาก็กดขมับของตนไว้อย่างเคร่งเครียด เขาเริ่มพูดออกมาราวกับพึมพำกับตนเอง
“ท่านกำลังจะบอกว่าองค์กรลับที่เรียกว่าอาร์มกำลังร่วมมือกับพันธมิตรทางตอนเหนือและจักรวรรดิ..ซึ่งพวกเราก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาและไม่รู้ว่าพวกเขากำลังจะทำอะไรกับทวีปตะวันตกงั้นหรือ?”
จอห์นรู้สึกสับสน
‘มีองค์กรเช่นนี้ได้อย่างไร?และเราไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับพวกเขาได้อย่างไร?’
เขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้เลย อย่างไรก็ตามมันก็มีความเป็นไปได้ถ้าพันธมิตรทางตอนเหนือและจักรวรรดิจะให้การช่วยเหลือพวกอาร์มอยู่ อีกอย่างคงไม่มีทางเป็นไปได้ที่องค์กรเช่นนี้จะสามารถยึดครองตลาดมืดของทวีปตะวันออกจนอ่อนแอเช่นนี้ได้หากไม่มีใครให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ
เสียงเรียบเย็นดังขึ้น
“เป็นองค์กรที่แย่ยิ่งนัก..เราต้องหาทางกำจัดพวกเขาให้ได้ก่อนที่ระเบิดพลังเวทย์จะกระจายไปทุกหนทุกแห่ง”
นี่คือปฏิกิริยาตอบรับจากฮาโรน
คาร์ลหันไปมองสีหน้าของฮาโรนก่อนจะสะดุ้งขึ้นเมื่อเห็นสายตาของฮาโรนได้ถนัด
‘อ่า…ช่างน่ากลัวยิ่งนัก’
สำหรับคนที่เกลียดพลังเวทย์เข้ากระดูกดำเช่นฮาโรนไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกเกลียดชังการใช้ระเบิดพลังเวทย์จนอยากกำจัดมันให้หายไปจากโลกใบนี้ ทูนก้าก็คงมีปฏิกิริยาคล้ายๆกัน
‘พวกเขาจะทำหน้าที่ส่วนของพวกเขาได้ดีอย่างแน่นอน’
ถึงจะรู้สึกกลัวพวกเขาไปบ้างแต่คาร์ลก็พอใจในปฏิกิริยาของฮาโรน รอยยิ้มบางๆค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันฝืนทนของคาร์ล อย่างไรก็ตามรอยยิ้มนั้นก็หายไปทันทีเมื่อเขาสบตาเข้ากับลิทาน่า
ลิทาน่าจ้องมาที่คาร์ลด้วยท่าทางจริงจังจนคาร์ลเริ่มอึดอัด เขาจึงเอ่ยปากถามเธอโดยไม่รู้ตัว
“ท่านลินา..มีอะไรงั้นหรือ?”
“น่าทึ่งยิ่งนัก”
‘อะไรนะ?’
เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นในใจของคาร์ล นี่เธอกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่ก่อนที่ลิทาน่าจะอธิบายเพิ่มเติม
“ข้าได้ยินมาว่านายน้อยคาร์ลมีบทบาทสำคัญในการป้องกันระเบิดพลังเวทย์จากเหตุการณ์ก่อการร้ายในอาณาจักรโรมัน…แล้วท่านยังให้การช่วยเหลือเผ่าวาฬและช่วยดับไฟป่าให้เราอีกด้วย”
ลิทาน่ารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้น่าทึ่งยิ่งนัก เธอไม่สามารถเข้าใจได้ว่าคนดีเฉกเช่นคาร์ลที่นั่งหน้าเรียบเฉยอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อรู้รายละเอียดเกี่ยวกับพวกอาร์มเช่นนี้
“แล้วท่านได้ช่วยเหลือพวกเอลฟ์ด้วยหรือเปล่า?”
นายน้อยคาร์ลท่านคิดจะพักผ่อนบ้างหรือไม่? เขาต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใดในเมื่อต้องทำงานหนักเพื่อสันติภาพของโลกด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นนี้?
ลิทาน่าเดาว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้อาจนอนไม่หลับหลายคืนเพราะหัวใจที่ปรารถนาจะทำงานอย่างหนักเพื่อสันติภาพของโลก
“ไม่เพียงแค่นั้น..ท่านยังช่วยเหลือนักบวชและหญิงพรหมจาริณีผู้ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย”
เมื่อมองข้ามเรื่องมิตรภาพของพวกเขาและความจริงที่ว่าคาร์ลได้ช่วยดับไฟป่าไป ลิทาน่าก็ค่อนข้างเห็นด้วยว่าคาร์ลคือคนที่เหมาะสมที่สุดในการร่วมประชุมในครั้งนี้ นั่นคือเหตุผลที่เธอเอ่ยถามความเห็นจากคาร์ล
“นายน้อยคาร์ล..ท่านคิดว่าเราควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?”
สายตาของทุกคนย้ายไปหาคาร์ลช้าๆในขณะที่คาร์ลก็เริ่มบ่นพึมพำในใจ
‘แล้วทำไมต้องถามฉันด้วยล่ะ?..ไม่ใช่งานของพวกคุณหรือไงที่ต้องหาคำตอบในเรื่องนี้?’
แน่นอนว่าคาร์ลคิดเอาไว้แล้วว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไปแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องแจ้งให้พวกเขาทราบ เขาไม่มีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น คาร์ลหันไปมองรอบๆเมื่อเสียงของราอนลอดเข้ามาในหัว
~มนุษย์!..เราจะไปช่วยใครอีกมั้ย?…ช่วยชีวิตผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี!..ข้ายินดีที่จะช่วยเหลือผู้อื่น!~