Trash of the Count’s family - ตอนที่ 137.2
บทที่ 137 ด้วยกัน 5 (2)
“นายน้อยคาร์ล”
คาร์ลหันไปมองยังทิศที่มีคนเอ่ยเรียกเขา มันเป็นน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกด้วยความระมัดระวัง
“ว่าอย่างไรท่านนักบวช?”
นักบวชรู้สึกลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่?เมื่อเห็นคาร์ลถามกลับมา นักบวชหันไปมองฮันนาห์ที่นอนหลับอยู่บนเตียงและตัดสินใจเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หมอผีท่านนั้น..อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อาการของนางดีขึ้นแล้ว..ตอนนี้ทาช่ากำลังดูแลนางอยู่”
“..ข้า..ข้าดีใจ..ข้าดีใจจริงๆ”
นักบวชยกมือขึ้นมาประสานกันพลางส่งยิ้มมาให้เขาแต่หลังจากนั้นไม่นานรอยยิ้มของเขาก็เจือไปด้วยความขมขื่น
นักบวชมองไปที่ร่างของฮันนาห์ผู้เป็นน้องสาวของเขา ตอนนี้มีเพียงพวกเขาสองพี่น้องและคาร์ลเท่านั้นที่อยู่ในห้องนี้
ห้องที่ฮันนาห์ใช้พักรักษาตัวเมื่อคราวแรกทั้งรกและยุ่งเหยิงไปหมดเมื่อถูกใช้เป็นห้องรักษาเวทย์แห่งความตาย ดังนั้นฮันนาห์จึงถูกย้ายมานอนพักยังห้องข้างๆแทน นักบวชทั้งรู้สึกดีใจและรู้สึกกังวลเมื่อจ้องใบหน้าน้องสาวของเขาภายใต้แสงจากโคมไฟระย้าที่ส่องให้ความสว่างภายในห้อง
แผลเป็นที่ดูคล้ายกับใยแมงมุมสีดำปรากฏเต็มใบหน้าของฮันนาห์ หากใครพบเห็นเข้าก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นคนที่เอาชีวิตรอดจากการถูกพิษเวทย์แห่งความตาย
‘เราอาจจะต้องหลบไปอยู่ที่ไหนสักแห่งตามลำพังและมันจะต้องอยู่ห่างจากจักรวรรดิจนไม่มีใครตามหาเราเจอ’
พวกเขาตัดสินใจหนีออกจากวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันเพียงเพื่อจะมาถูกไล่ล่าจากจักรวรรดิ ถึงแม้พวกเขาจะสามารถหนีจากจักรวรรดิได้พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงจากผู้คนทั้งหมด เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงชะตากรรมของพวกเขา
“…มันคงมีปัญหาตามมาอีกมากมาย”
“เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ?”
นักบวชพยักตอบรับตามคำถามของคาร์ล อย่างไรก็ตามสีหน้าและท่าทางของเขาไม่ได้บอกว่ายอมแพ้โดยสมบูรณ์
“ใช่..ข้าคิดเช่นนั้น..ใครๆต่างก็เกลียดและกลัวคุณลักษณะความมืดและพลังเวทย์ที่ตายไปแล้วกันทั้งนั้น…แต่ตอนนี้คงเป็นตาของข้าแล้วที่จะปกป้องน้องสาวของข้า!”
หากพวกเขาจะต้องหลบซ่อนตัวให้พ้นจากสายตาอันเกลียดชังจากทุกคนบนโลก เขานี่ล่ะ!ที่จะเป็นคนปกป้องเธอและแอบซ่อนเธอไว้ ใบหน้าของนักบวชฉายแววความขมขื่นและความสุขผสมปนกันไป
“เราจะต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตในการซ่อนตัวเพราะผู้คนจะรู้โดยทันทีว่าฮันนาห์มีคุณลักษณะความมืดหลังจากเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนาง..แต่มันก็เพียงพอแล้วในตอนนี้..แค่ฮันนาห์มีชีวิตอยู่ก็เพียงพอสำหรับเราแล้ว”
“แล้วทำไมพวกเจ้าต้องซ่อนตัวด้วยล่ะ?”
“…เอ่อ..ท่านว่าอะไรนะ?”
นักบวชคิดว่าตนอาจฟังสิ่งที่คาร์ลพูดผิดไป เขาละสายตาจากฮันนาห์เพื่อไปมองคาร์ล
สีหน้าของคาร์ลเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ตอนนั้นเองที่เสียงขอราอนดังเข้ามาในหัวของคาร์ล
~ มนุษย์!..ดูเหมือนนักดาบจะฟื้นแล้ว!~
คาร์ลปล่อยให้เสียงของราอนผ่านออกไปเมื่อปากของเขายังต้องการเอ่ยสิ่งที่ตนต้องการอยู่
“พลังเวทย์ที่ตายไปแล้วเป็นพิษร้ายแรงต่อมนุษย์..แต่ความจริงที่ว่านางสามารถเอาชนะมันและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ถือเป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่ว่าใครก็ยากที่จะทำมันได้”
นักบวชมองเข้าไปในตาของคาร์ล สายตาที่คาร์ลใช้มองฮันนาห์ยังเป็นเช่นเดิมไม่ได้มีร่องรอยความรังเกียจอยู่ในนั้น ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเดาความคิดของคาร์ล
‘อาจเป็นเพราะนายน้อยคาร์ลอยู่ใกล้ชิดกับหมอผีหรือเปล่านะ?’
ไม่ว่าจะดาร์กเอลฟ์ หมอผีหรือแม้กระทั่งข้ารับใช้ที่ใช้แขนเทียมจากพลังความมืด คาร์ลก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดๆที่จะใช้ชีวิตอยู่รอบๆพลังแห่งความมืดเหล่านั้น
คาร์ลยังคงพูดต่อไปเพื่อให้สิ่งที่เขาพูดเข้าไปในก้นบึ้งจิตใจของนักบวช
“ผู้คนที่อยู่บนโลกนี้ก็ล้วนแต่มีรอยตำหนิกันทั้งนั้นล่ะ..ข้าแค่คิดว่าแผลเป็นบนหน้าของนางเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่านางเอาชนะรอยตำหนิพวกนั้นได้”
“อ่า…”
นักบวชอ้าปากค้างกับสิ่งที่คาร์ลพูด
“ข้าคิดว่าสักวันหนึ่ง..ผู้คนจะรู้สึกชื่นชมและแสดงความยินดีให้กับคนที่สามารถเอาชนะภาระอันหนักอึ้งเช่นนี้ได้..แบบเดียวกับที่ข้ารู้สึกขอบคุณแมรี่ในตอนนี้”
หัวใจของนักบวชเต้นรัวขึ้น
เขาไม่ได้ลงมือชำระล้างแมรี่ให้บริสุทธิ์ตามที่สัญชาตญาณของเขาต้องการ แม้ว่าพระเจ้าแห่งแสงตะวันจะบอกให้เขาทำมันก็ตามและตอนนี้เขารู้สึกของคุณแมรี่ยิ่งนัก อาจเป็นเพราะเขารู้เรื่องราวของเธอ มาบ้าง เขารู้ว่าแมรี่ถูกพลังเวทย์แห่งความตายครอบงำร่างกายได้อย่างไรและเธอต้องดิ้นรนเพียงใดเพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอด นอกจากนี้เขายังรู้ว่าเธอเต็มใจที่จะทนทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดเพื่อช่วยเหลือคนแปลกหน้าแม้ว่าตัวเองอาจต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากก็ตาม
พระเจ้าแห่งแสงตะวันมีคำสอนให้กับเหล่าผู้ศรัทธาว่า ‘ความดีก็เป็นเหมือนแสงสว่างไม่ว่ามนุษย์จะเร่ร่อนหลงทางไปในความมืดไกลเพียงใด แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ก็สามารถช่วยชีวิตพวกเขาให้อยู่รอดต่อไปได้’
‘แจ็ค’นักบวชผู้ถูกกดขี่จากวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันมานานหลายปีเริ่มเข้าใจในคำสอน เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ
“นายน้อยคาร์ล..การที่ใครสักคนมีคุณสมบัติความมืดอยู่ในตัวก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นคนไม่ดี..ย่อมหมายความว่าคนเหล่านี้ก็มีแสงสว่างในจิตใจใช่หรือไม่?”
แจ็คให้คาร์ลตอบคำถามนี้ให้เขาฟังและแน่นอนว่าคาร์ลไม่มีปัญหาที่จะตอบกลับไป
“..สิ่งที่เจ้าพูดมันจะกลายเป็นเรื่องจริงในอีกไม่ช้า”
ราอนตะโกนเข้ามาในหัวคาร์ลอีกครั้ง
~ มนุษย์!..ดูสิ!..เปลือกตาของนักดาบกำลังสั่นด้วยล่ะ!..ข้าพูดถูก!นางตื่นแล้วจริงๆ!..ข้านี่มันเก่งจริงๆเลย!~
คาร์ลยังคงเพิกเฉยกับสิ่งที่ราอนพูดเมื่อยังคงพูดกับนักบวชต่อไป
“ข้าเชื่อว่าเราสามารถทำให้โลกที่เราต้องการกลายเป็นเรื่องจริงได้..หากเราตั้งใจทำงานอย่างหนัก”
“ท่านพูดถูก..ข้าเห็นด้วย”
แจ็คพยักหน้ารับคำ ความปรารถนาอันแรงกล้าทำให้ใจของเขาเริ่มพองโต
“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อให้โลกที่ข้าคิดไว้เป็นเรื่องจริง!..ทั้งฮันนาห์และหมอผีผู้นั้นต่างรับคุณสมบัติความมืดมาครอบครองแต่พวกนางก็ยังเป็นคนดีและเต็มใจที่จะเป็นแสงสว่างนำทางเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น…ข้าจะทำงานอย่างหนักเพื่อให้ผู้คนบนโลกตระหนักว่าพวกนางเป็นคนดีมากขนาดไหน”
คาร์ลเริ่มยิ้ม เขามองข้ามไหล่ของแจ็คเพื่อมองร่างที่นอนอยู่บนเตียง
ฮันนาห์ลืมตาขึ้นและสบเข้ากับคาร์ลพอดี คาร์ลยังคงจ้องไปที่เธอเงียบๆและพูดขึ้น
“คนที่เอาชนะความยากลำบากมาได้สมควรได้รับการยกย่อง..และคนที่รอดชีวิตมาได้ก็ควรได้รับสิทธิ์นั้นเช่นกัน”
ฮันนาห์เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าคาร์ลรู้สึกอย่างไรกับผู้คนที่รอดชีวิตมาได้ แม้ว่ามันจะทำได้ยากแต่ฮันนาห์ก็ฝืนส่งยิ้มให้กับคาร์ลแม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะไม่ได้อบอุ่นเลยสักนิด มันเป็นรอยยิ้มที่ผสานไปด้วยความสุขจากการมีชีวิตอยู่ต่อไปกับความเย็นชาเพื่อรอการแก้แค้น
“ท่านพูดถูก..นายน้อยคาร์ล..ท่านเป็นคนที่มองทุกอย่างได้ลึกซึ้งจริงๆ”
คาร์ลยกยิ้มเขินอายให้กับนักบวชที่เอ่ยชมตนเอง เขามองไปยังร่างของนักบวชและนักดาบหญิงผู้ไม่เคยลืมเป้าหมายในการแก้แค้นก่อนจะเริ่มคิดบางอย่างในใจ
‘ฉันได้เตรียมบางอย่างเพื่อสร้างความประหลาดใจให้กับจักรวรรดิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว’
การเตรียมโชว์เพื่อเขย่าขวัญจักรวรรดิใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว