Trash of the Count’s family - ตอนที่ 132-1
บทที่ 132 ไม่กลัว 3 (1)
ฮิลส์แมนหันขวับไปมองคาร์ลอย่างงุนงงที่จู่ๆคาร์ลก็เอ่ยแนะนำตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะมีคนจับไหล่เขาไว้และดึงตัวเขาให้ถอยหลังกลับ
“อยู่เฉยๆก่อน”
“อะไรนะ?..เอ่อ..ขอรับ!”
เป็นอูฮาเบ็นที่ดึงตัวฮิลส์แมนให้ถอยหลังกลับไป
ราอนเองก็อยู่ข้างๆอูฮาเบ็น
‘ทำไมมนุษย์ถึงทำท่าแปลกๆล่ะ?’
พลังจากธรรมชาติหลากรูปแบบต่างลอยวนรอบโขดหินที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา อูฮาเบ็นสังเกตเห็นสิ่งนี้จึงตัดสินใจถอยหลังออกมา
พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณจะต้องรับด้วยตัวเองเท่านั้น คนอื่นไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือได้ พวกเขาอาจช่วยป้องกันและระวังภัยโดนรอบได้แต่เขาก็ไม่คิดที่จะทำแบบนั้นเช่นกัน
“เจ้าทองคำ!..มาระวังหลังให้เขากันเถอะ!”
แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นเสมอ
อูฮาเบ็นไม่สนใจกับสิ่งที่ราอนเอ่ยก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อเห็นราอนลากฮิลส์แมนไปยืนล้อมคาร์ลเอาไว้
โขดหินยังคงเกิดรอยร้าวอย่างต่อเนื่อง
เคร้งงงงงง!!!
ก่อนที่มันจะเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจดังขึ้น
-มีมนุษย์ที่รับเอาพลังทั้งสี่อย่างไปครอบครองได้อย่างไร?-
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความตกใจและเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตามคาร์ลยังคงมุ่งความสนใจไปที่รอยร้าวที่แยกออกจนมองเห็นด้านใน
‘นี่คงเป็นทางเข้าสินะ?’
เขามองเห็นเพียงความมืดผ่านรอยแตกบนโขดหินก้อนนี้
ความมืดปรากฏเป็นเส้นทางลงสู่พื้นใต้ดิน แม้คาร์ลจะไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ก็ไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปข้างใน
-รับส่วนที่เป็นของเพื่อนข้าไป…เจ้าได้รับสิทธิ์ในการทำเช่นนั้น-
ไม่มีเหตุผลที่ต้องลังเลเมื่อเจ้าของบ้านอนุญาตให้เขาเข้าไป
คาร์ลค่อยๆสาวเท้าเข้าไปในความมืด
ราอนบ่นพึมพำขึ้นมาเมื่อเห็นคาร์ลกำลังเดินหายเข้าไปในความมืด
“เจ้าทองคำ..เราควรตามเจ้ามนุษย์เข้าไปหรือเปล่า?..มนุษย์ของเรายิ่งอ่อนแออยู่ด้วย”
“ไอกู…ข้าควรทำอย่างไรดีนะ?”
อูฮาเบ็นแสร้งถอนหายใจและกดร่างของราอนแนบไปกับพื้นดิน แน่นอนว่ามังกรน้อยไม่ยอมให้เขาทำโดยง่ายเพราะมันพยายามดิ้นออกจากเอื้อมมือของอูฮาเบ็น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!..เจ้ากล้าดียังไงมาทำกับข้าแบบนี้!”
“ไอกู..เจ้าเด็กน้อย…ข้าก็เป็นมังกรเช่นกันทำไมข้าจะทำไม่ได้ล่ะ?..จงเป็นเด็กดีและอยู่รอที่นี่เงียบๆ..เข้าใจหรือไม่?”
ราอนพยายามดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมแขนของอูฮาเบ็นมาได้ จากนั้นมันก็จ้องไปที่ปากถ้ำที่ปรากฏตัวขึ้นบนรอยแยกของโขดหิน
คาร์ลหายเข้าไปในความมืดและไม่สามารถมองเห็นบริเวณโดยรอบได้อีกต่อไป
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของคาร์ลแม้แต่น้อย
‘ใต้พิภพกำลังส่องนำทางให้กับฉัน’
มันเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจ ตัวอักษรที่เขาไม่รู้จักส่องสว่างขึ้นมาในทุกก้าวที่เข้าเดินเข้าไป สิ่งนี้ทำให้คาร์ลมองเห็นและรู้ว่าตัวเองต้องเดินไปทิศทางใด
ตึก!ตึก!ตึก!ตึก!
เสียงฝีเท้าดังขึ้นเป็นระยะๆและก้าวเข้าสู่ความมืดไกลออกไปเรื่อยๆ
‘ฉันสงสัยว่าพวกเขาทิ้งอะไรเอาไว้บ้าง?’
ของพวกนี้คือสิ่งที่หลงเหลือมาตั้งแต่สมัยโบราณ เท้าของคาร์ลเริ่มเบาขึ้นราวกับขนนกเมื่อนึกถึงสิ่งนี้
ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงเจ้าของพลังศิลาดังขึ้น
-ข้าใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก..ข้ากลายเป็นเด็กกำพร้าและอาศัยอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด..สิ่งเดียวที่ทำให้ข้ารู้สึกมีคุณค่าคือผืนดินที่ให้ความแข็งแกร่งกับข้าได้-
-อา..ข้าจำได้ว่าความฝันของข้าคือการได้กินอาหารอร่อยๆครบสามมื้อ-
คาร์ลหยุดฝีเท้าลง
-ถึงจะเป็นเช่นนั้นข้าก็ตระหนักได้ดีว่าตัวเองได้รับพรจากสวรรค์และต้องนำพลังนี้มาสร้างความดี..ข้ามักจะมองหาวิธีที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ..ข้าอยากเป็นคนที่สามารถปกป้องคนที่อ่อนแอได้เพราะนั่นมันทำให้ข้าคิดถึงชีวิตของตนเอง-
คาร์ลยกแขนขึ้นกอดอกและหยุดฟังเงียบๆ
-และข้าไม่คิดเสียใจในสิ่งที่ข้าเลือก-
ริมฝีปากของคาร์ลเริ่มเหยียดออกราวกับเยาะเย้ย
-แต่บางทีนั่นก็เป็นสิ่งที่ติดแน่นอยู่กับความเชื่อของข้าเกินไป..ข้าเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องคนอื่นๆที่อ่อนแอกว่าแม้กระทั่งจะรู้ว่าเพื่อนของตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย-
-ข้าสามารถปกป้องคนอื่นๆไว้ได้แต่เพื่อนๆของข้า..ต่างจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า-
-สิ่งของของพวกเขาเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าพอจะทำได้…ข้าตัดสินใจที่ออกไปจากโลกนี้หากข้าส่งมอบสิ่งต่างๆของเพื่อนข้าได้แล้ว-
-แต่ข้าก็ยังมีความสุขที่ตัวเองสามารถปกป้องดินแดนแห่งนี้ไว้ได้-
คาร์ลเริ่มเดินอีกครั้ง ไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ฟังเรื่องนี้อีกต่อไป เจ้าของน้ำเสียงนี้กับตัวเขานั้นแตกต่างกันอย่างมาก คาร์ลคิดว่าตัวเองและคนของเขานั้นมีความสำคัญมากกว่าคนอื่นๆ มันจำเป็นต้องสละชีวิตตัวเองจนตายเพื่อคนอื่นด้วนหรือไง? คาร์ลไม่แม้แต่วินาทีเดียวที่จะมีความคิดเช่นนั้น
‘ไม่มีทางที่เราสองคนจะคล้ายกัน’
-ข้ามีความสุขแต่ข้าก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เห็นเพื่อนๆก่อนตาย..ข้าเสียใจที่ไม่สามารถส่งต่อข้าวของพวกนี้ให้กับทายาทของพวกเขาได้..ข้าเสียใจที่ข้าต้องตายก่อนที่จะส่งมอบพลังที่ตัวเองมีให้กับผู้สืบทอดได้-
คาร์ลมองเห็นแสงจางๆที่ปรากฏขึ้นสุดปลายทางความมืด เขาเร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้นจนในที่สุดเขาก็เจอแสงสว่างอยู่ตรงหน้าเขาได้เต็มสองตา
พรึ่บ!!
เขามองเห็นสองข้างทางได้อย่างชัดจน ตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มของเจ้าของเสียงเมื่อครู่ดังขึ้นอีกครั้ง
-นี่คือสิ่งที่ข้าทิ้งเอาไว้-
ลานกว้างปรากฏอยู่ตรงหน้าคาร์ลพร้อมกับลูกไฟด้านบนก็ส่องสว่างทั่วทั้งพื้นที่ นั่นทำให้คาร์ลรู้สึกตกใจ
“….อะไรกัน?”
มันดูน่าทึ่งยิ่งนัก
-อะแฮ่ม..ข้าไม่มีตัวตนที่เป็นรูปธรรม..แต่ข้าให้ความสำคัญกับสถานที่แห่งนี้เพราะข้าไม่สามารถปล่อยให้ผู้สืบทอดของเพื่อนๆมายังสถานที่ทรุดโทรมได้-
คาร์ลมองเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งเป็นอาคารห้าชั้น มันสร้างด้วยหินอ่อน ทั้งผนัง เสาและหลังคาถูกออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่ถูกจัดวางได้อย่างลงตัวจนดูมีเสน่ห์ ขอบหน้าต่าง ประตูและสลักประตูดูเหมือนจะใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญในการแกะสลักอย่างประณีต
มันดูหรูหรากว่าคฤหาสน์เฮนิตัสหรือแม้แต่พระราชวังส่วนพระองค์ขององค์ชายรัชทายาทก็เทียบไม่ติดเลยสักนิด
มีสวนหย่อมหน้าคฤหาสน์เช่นกัน แม้จะไม่มีต้นไม้ประดับโดยรอบแต่ก็มีประติมากรรมที่สะดุดสายตาเป็นจำนวนมาก มีน้ำพุที่ทำจากหินอ่อนตั้งอยู่แม้จะไม่มีน้ำไหลผ่านก็ตาม
“ว้าว!!!”
-เอ่อ…บ้านของข้าอาจไม่ดีมากนัก-
‘ไม่ดี?..ไม่หรอกนี้มันดีมากต่างหาก..บุคคลผู้นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ’
คาร์ลยิ้มกว้างก่อนรอยยิ้มจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นบางสิ่งที่อยู่ข้างๆคฤหาสน์หลังโต
“…นั่นอะไรกัน?”
เขารู้สึกว่ามันเป็นลางไม่ดีเมื่อเห็นสิ่งนี้ มีเสาขนาดใหญ่ถูกขึงด้วยโซ่โลหะขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีผ้าอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนกับเครื่องรางของขลังติดอยู่รอบเสา ไม่เพียงแค่นั้นยังมีตราพลังเวทย์ที่ล้อมรอบเสาหินติดไว้ตรงกลางพร้อมประทับตราสีแดงเข้มเอาไว้
หากให้พูดง่ายขึ้นมันดูเหมือนเสาหินที่ปิดผนึกภูตผีหรือแม้แต่อสูรของเทพเจ้าเอาไว้
คาร์ลค่อยๆขยับออกห่างจากเสาน่ากลัวนั้นก่อนจะได้ยินเสียงเจ้าเดิมดังเข้ามาในหัว
-มีความจริงที่น่าเศร้าเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้-
แต่คาร์ลไม่อยากรู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าคาร์ลไม่สามารถขัดความต้องการของเจ้าของพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณไม่ให้พูดสิ่งนี้ได้
-เมื่อครั้งที่ข้ามีชีวิตอยู่ข้ามักจะเห็นสัตว์ประหลาดสายพันธุ์ต่างๆปรากฏตัวขึ้นที่นี่ซึ่งมันเป็นชนิดที่ไม่ควรพบเจอที่นี่ได้..พวกมันเป็นสัตว์ประหลาดจากทวีปตะวันออก-
นั่นคือสิ่งที่สามารถพบได้ในป่าแห่งความมืดตามที่คาร์ลรู้จัก มันมีทั้งสัตว์ประหลาดจากทวีปตะวันออกและสัตว์กลายพันธุ์จำนวนมาก
-ข้าสามารถพบความลับนั่นเมื่อเข้ามาในถ้ำแห่งนี้-
‘หรือว่า?’
สายตาของคาร์ลจ้องไปยังเสาหินหน้าตาอัปลักษณ์นั่นทันที
-มีเส้นทางลับในถ้ำแห่งนี้ที่เชื่อมต่อไปยังทวีปตะวันออกได้..สัตว์ประหลาดที่หลงเข้ามาในเส้นทางนี้จึงข้ามมายังทวีปตะวันตกโดยบังเอิญ..พวกมันเริ่มกลายพันธ์และแข็งแกร่งขึ้นนอกจากนี้ความดุร้ายยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ-
คาร์ลยกมือขึ้นลูบหน้าตน
-แต่เส้นทางนี้ไม่ยอมให้มนุษย์ เอลฟ์หรือแม้แต่คนแคระข้ามผ่านมาได้..มีเพียงสัตว์ประหลาดเท่านั้นที่สามรถใช้เส้นทางนี้ได้-
-ข้าและเพื่อนๆไม่สามารถหาคำตอบที่เป็นความลับของเส้นทางนี้ได้..สิ่งที่เราทำได้มีเพียงกีดขวางเส้นทางเข้าออกเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ประหลาดกลายพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมข้ามผ่านเข้ามายังฝั่งทวีปตะวันตกได้-
คาร์ลได้รับรู้สิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่อตัวเขาอีกครั้ง
-มันเป็นตราพลังเวทย์อันแข็งแกร่งซึ่งน่าจะมีอายุเกือบหนึ่งแสนปีแล้ว..มีเพียงคนในปกครองของข้าเท่านั้นที่จะสามารถถอดตรานี้ได้ก่อนถึงเวลาที่กำหนดไว้-
คิ้วของคาร์ลเลิกขึ้นสูงอย่างนึกสงสัย ไม่ใช่ว่าสมัยโบราณมีเพียงหนึ่งหมื่นปีก่อนเท่านั้นหรือ?
“อืม..”
คาร์ลตัดสินใจหันไปมองทางอื่นๆ ที่นี่มีพื้นที่กว้างขวางซึ่งอยู่ถัดไปจากคฤหาสน์และสวนหย่อมขนาดใหญ่ เขายกยิ้มจางๆเมื่อมุ่งหน้าไปทางคฤหาสน์ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะทำเช่นนั้น
อัคนีทำลายล้างต้องการให้เขาเข้าไปในคฤหาสน์ตั้งแต่ที่เขามาถึงเช่นเดียวกับที่เสียงเรียกของวายุ โล่นิรันดร์กาลและพละกำลังแห่งดวงใจให้เขาทำเช่นกัน
-เข้าไปสิ-
และเจ้าของบ้านก็เชิญให้เขาเข้าไปด้วย
เอี๊ยดดดดด!!!!!
ประตูที่คาดว่าจะมีอายุประมาณ10,000ปียังคงทำงานของมันได้อย่างดี สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไรนะ?นั่นคือสิ่งที่คาร์ลนึกสงสัยเมื่อเขาเข้าไปด้านใน
ตึก!!ตึก!!ตึก!!ตึก!!ตึก!!ตึก!!
พื้นถูกทำจากหินอ่อนทั้งหมด
คาร์ลเดินผ่านโคมระย้าอันหรูหราและงานประติมากรรมเกือบทุกประเภทก่อนจะหันไปมองรอบๆห้องโถงของชั้นหนึ่งที่ว่างเปล่า เขาเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนและเห็นบันไดที่ทอดขึ้นไปด้านบนจนถึงชั้นห้า
-อยู่ชั้นสาม-
คาร์ลก้าวขึ้นบันได มันมีฝุ่นเกาะเยอะมากแต่ก็ไม่สามารถบดบังความสวยงามเอาไว้ได้