The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 138
บทที่ 138 แค่เศษหิน..?
“ใช่! ฉันยอมรับว่าไม่สามารถซื้อได้ แล้วคุณสามารถซื้อได้งั้นหรือ?”
จี้เฟิงขมวดคิ้วและหันมาถามด้วยน้ําเสียงที่เย็นชา “ว่าไง? ถ้าคุณอยากจะทําเงินก้อนโต คุณก็ต้องมีความสามารถและเงินทุนที่มากพอ ตอนนี้คุณมีเงินที่จะซื้อหินก้อนนี้ได้หรือเปล่าล่ะ?”
อู๋ฉางฉันรู้สึกโกรธที่ถูกท้าทาย “ไอ้เด็กเวร แกคิดว่าฉันไม่มีเงินงั้นเหรอ?”
“หรือไม่ใช่” จี้เฟิงโต้กลับ
“เหอะ! เจ้าเด็กน้อย แกรู้รึเปล่าว่าเสื้อผ้าแต่ละชิ้นที่ฉันใส่มันราคาเท่าไหร่ คนอย่างแกต่อให้นั่งขายผักทั้งปีก็ไม่สามารถทําเงินได้มากพอที่จะซื้อเสื้อผ้าแบบนี้ด้วยซ้ํา!” อู๋ฉางฉุนพูดอย่างดูถูก “เด็กขายผักข้างถนนอย่างแกนอกจากจะใจกล้าหน้าด้านมางานแสดงสินค้านี้แล้ว ยังมีหน้ามาถามราคาหินหยาบพวกนี้ทั้งๆที่ไม่มีปัญญาจะซื้ออีก เหลือเชื่อจริงๆ!”
จี้เฟิงอ้าปากค้างในขณะที่พยายามนึกหาคําพูดมาโต้เถียง แต่หลังจากคิดได้เขาก็หุบปากลงตามเดิม
ความจริงแล้วจี้เฟิงรู้ดีว่าไม่มีหยกอยู่ในหินหยาบทั้งสองก้อนที่เขาได้ถามราคากับเถ้าแก่เจ้าของร้านไปเมื่อครู่ เขาแค่อยากตัดรําคาญจึงพูดจายั่วยุอู๋ฉางฉุนเพราะต้องการให้อู๋ฉางฉุนซื้อหินหยาบพวกนี้ไป แต่ความปากดีของอู๋ฉางฉุนทําให้จี้เฟิงโกรธมากขึ้นจนไม่อยากให้เรื่องมันจบเพียงแค่นี้
ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่คิดที่จะทําตามความคิดเดิมของเขาอีกต่อไป ในเมื่อจะชั่วแล้วก็ชั่วให้มันสุด เขาเชื่อว่าเงินเพียงแค่ไม่กี่แสนหยวนคงไม่ทําให้อู๋ฉางฉุนคนนี้เดือดร้อนมากพอ
“เหอะ! เงินก็ไม่มีแต่คิดจะจับเสือมือเปล่างั้นหรือ?” เมื่อเห็นจี้เฟิงที่เหมือนพยายามจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็เงียบไป เขาจึงคิดว่าจี้เฟิงนั้นยอมแพ้จึงได้ใจและด่าต่อทันที
“นั่นน่ะสิ เด็กยากจนแบบเธอมีเงินอยู่ในกระเป๋าบ้างหรือเปล่า? ทําไมถึงกล้ามาเล่นพนันกับหินหยกราคาสูงเหล่านี้!” พี่สาวของฮูซู่ฮุ่ยพูดเสริมอย่างดูถูก
จี้เฟิงไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป เขาเพียงแค่ยิ้มอย่างเย็นชาและหันไปหาเจ้าของร้านและพูดขึ้นว่า “40,000! ผมให้ราคานี้สําหรับหินหยาบก้อนนี้!”
“ล้อเล่นกันหรือเปล่าไอ้หนุ่ม!” เจ้าของร้านไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ราคาหินหยาบของเขาถูกกดจาก 130,000 จนเหลือแค่ 40,000 ในพริบตา มันเป็นการต่อราคาที่มากเกินไป
เขาส่ายหัวและพูดว่า “พ่อหนุ่ม ถ้าเธออยากจะได้หินก้อนนี้จริงๆฉันให้ราคาถูกสุดได้แค่ 120,000 ถ้าต่ํากว่านี้ก็เลิกพูดได้เลย!”
“โอ้ ต่อราคาได้สมกับเป็นเด็กยากจนจริงๆ!” พี่สาวของฮูซู่ฮุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆสามีอ้วนของเธอพูดพร้อมกับคว่ําบากอย่างดูถูก
จี้เฟิงไม่ตอบโต้ เขาตัดสินใจแล้วว่าเขาจะทําให้คนพวกนี้ต้องเสียใจ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่ใช่เวลาที่เขาจะต้องสนใจคําพูดดูถูกเยาะเย้ยของอู๋ฉางฉุนและภรรยาของเขา
สายตาของจี้เฟิงเลื่อนไปยังหินก้อนเล็กที่อยู่ริมสุดขอบแผง นี่คือหินหยาบขนาดเท่ากําปั้นมือพื้นผิวของมันมีเพียงแค่สีเขียวจางๆ ถ้ามองจากภายนอกหินหยาบก้อนนี้มีรอยตัดที่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงแค่เศษหิน
บางทีอาจเป็นเพราะหมอกสีเขียวจางๆนั่น เจ้าของร้านจึงนํามาวางขายไว้เผื่อโชคดีมีคนหน้ามืดตามัวมาซื้อมันไป
“เถ้าแก่ แล้วหินเล็กๆก้อนนี้ล่ะ เถ้าแก่ขายเท่าไหร่?” จี้เฟิงนั่งยองๆเพ่งมองไปที่หินหยาบก้อนนั้นเขารู้สึกตะหงิดๆอยู่ในใจเล็กน้อย จากสายตาที่มองเขาคิดว่าหินหยาบเล็กๆก้อนนี้มีคุณภาพที่ดีมาก มันน่าจะเป็นหินที่มีหยกชนิดเนื้อน้ําที่หาได้ยาก หากเนื้อหยกในหินก้อนนี้ถูกนําไปเจียระไนมันจะสามารถทําเครื่องประดับอย่างกําไล สร้อยหรือจี้หลายๆอันได้ ราคาหยกเนื้อน้ําที่มีขนาดเท่านี้น่าจะมีราคามากกว่า 2,000,000 หยวนเลยทีเดียว
เดิมทีจี้เฟิงไม่ได้วางแผนที่จะถามราคาของหินหยาบก้อนนี้โดยตรง เพราะจากภายนอกมันเป็นเพียงแค่เศษหินไม่มีค่า เขาจึงถามราคาหินหยาบก้อนอื่นก่อนที่จะแกล้งทําทีเป็นซื้อหินก้อนเล็กๆที่เขาเพ่งเล็งไว้อย่างเสียไม่ได้ จะได้ไม่ผิดสังเกตจนมากเกินไป แต่จู่ๆอู๋ฉางฉุนก็โผล่เข้ามาจึงทําให้แผนเดิมของจี้เฟิงต้องล้มเลิกไป ดังนั้นเขาเลยต้องถามราคาหินหยาบก้อนที่เขาต้องการโดยตรง
“อืม.. 3,000!” เจ้าของร้านกล่าว แม้ว่าเขาจะดูจริงจังแต่จี้เฟิงยังคงสังเกตเห็นการแสดงออกที่ดูลังเลและไม่เห็นความสําคัญของหินก้อนนี้อยู่ในแววตาของเขา
เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เจ้าของร้านนี้ไม่ได้ให้ความสนใจกับเศษหินก้อนนี้มากนัก
จี้เฟิงขมวดคิ้ว “3,000? มันแพงเกินไป เถ้าแก่ก็รู้ผมเป็นแค่คนขายผัก ผมมาที่นี่เพื่ออยากจะลองเสี่ยงโชคกับหินพวกนี้เพื่อความสนุกสนานนิดๆหน่อยๆ ผมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ เอาเป็นว่า 500 ก็แล้วกันนะเถ้าแก่!”
“โอเคๆ ห้าร้อยก็ห้าร้อย!” เจ้าของร้านโบกมือ “จะคิดซะว่าได้เพื่อนใหม่ทางธุรกิจก็แล้วกัน!”
จี้เฟิงหยิบธนบัตรใบละหนึ่งร้อยหยวนออกมาห้าใบและยื่นให้กับเจ้าของร้านทันทีจากนั้นก็รับเศษหินก้อนนั้นมา
“ว้าว!” จู่ๆพี่สาวของฮูซู่ฮุ่ยก็ลากเสียงยานเพื่อล้อเลียน “ดูสิ เด็กขายผักเด็กข้างทางคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เขาใช้เงินตั้งหลายร้อยหยวนเพื่อซื้อหินหยกหยาบเชียวนะ!”
คําพูดเช่นนี้ไม่ว่าเป็นใครก็คงจะเข้าใจดีว่าเป็นคําพูดแดกดัน คุณรู้หรือไม่ว่าหินหยกหยาบราคาหลักร้อยหยวนนั้นหาได้ยาก เพราะโดยปกติแล้วหินหยกหยาบธรรมดาๆหรือแม้แต่เศษหินจะมีราคาตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสนกันเลยทีเดียว
แล้วจี้เฟิงที่เสียเงิน 500 หยวนเพื่อซื้อเศษหินจึงต้องเจอคําพูดประชดประชันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“จุ๊ๆๆ ซู่ฉินเธออย่าพูดอย่างนั้นสิ เขาเป็นแค่คนขายผัก จากมุมมองของเขาหินก้อนนั้นมันคงมีค่ามากๆ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะซื้อเศษหินด้วยเงินทั้งหมดที่เขามี จะไปหวังให้คนแบบนี้มีวิสัยทัศน์ที่สูงส่งมันจะไม่ยากเกินไปสําหรับคนขายผักข้างถนนเหรอ?” อู๋ฉางฉุน หัวเราะเยาะเสียงดัง
จี้เฟิงเพียงแค่ยิ้มจางๆ มองไปที่พี่สาวของฮูซู่ฮุ่ย และพูดกับตัวเองในใจ “ผู้หญิงที่ดูเหมือนผู้หญิงข้างถนนคนนี้เธอชื่อฮูซู่ฉินนี่เอง น่าเสียดายชื่อดีๆแบบนี้จริงๆ”
“พี่สาว พี่เขย เราไปที่อื่นกันเถอะอย่ามัวเสียเวลากับเรื่องไร้สาระอยู่ที่นี่เลย!” ฮูซู่ฮุ่ยพูดอย่างเย็นชาและหยิ่งผยอง
“นั่นสินะ เรามาที่นี่เพื่อมาซื้อหินหยาบ เราไม่ควรมาเสียเวลากับเด็กขายผักน่าสมเพชอยู่ตรงนี้” ถึงแม้อู๋ฉางฉุนจะพูดเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเดินไปที่อื่น ในเมื่อเขามีโอกาสได้พูดจาดูถูกเหยียดหยามคนที่มันกล้าท้าทายเขาแบบนี้ เขาจะรีบจากไปทําไม?
ยิ่งไปกว่านั้น อู๋ฉางฉุนที่มีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับฮูซู่ฮุ่ยน้องสาวของภรรยาตัวเอง เมื่อเขาจําได้ว่าฮูซู่ฮุ่ยเคยรักกับจี้เฟิง มันจึงยิ่งทําให้อู๋ฉางฉุนเกลียดขี้เฟิงมากยิ่งขึ้น
“ฮูซู่ฮุ่ยคนนี้ต้องเป็นของฉัน เด็กขายผักจนๆอย่างแกไม่มีสิทธิมายุ่มย่าม!” อู๋ฉางฉุนนึกในใจอย่างละโมบพร้อมกับเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
จี้เฟิงยังคงไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป เขาเพียงแค่มองไปยังทั้งสามคนด้วยใบหน้าสงบนิ่ง แต่เขาได้ตัดสินใจที่จะจัดการคนพวกนี้ขั้นเด็ดขาดอยู่ภายในใจไปเรียบร้อยแล้ว
เขาลุกขึ้นยืนและถามเจ้าของร้านว่า “เถ้าแก่ ผมสามารถผ่าหินดูได้ที่ไหน?”
จี้เฟิงมีเงินสดอยู่ในมือเพียง 60,000 หยวนเท่านั้น หากเขาต้องการที่จะซื้อหินหยาบก้อนที่ใหญ่กว่านี้ เขาจะต้องนําหินก้อนนี้ไปเจียรหรือผ่าดูก่อนแล้วน้ําหยกข้างในไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อที่เขาจะได้มีทุนไปต่อยอดและซื้อหินหยาบก่อนอื่นๆได้มากขึ้น
เจ้าของร้านชี้ไปที่ด้านหลังของจี้เฟิง “ฉันเห็นมีเครื่องตัดหินอยู่แถวๆประตูโกดังน่ะ แต่ถ้าเธอไม่ได้ซื้อหินหยาบจากร้านของเขา เธอจะต้องจ่ายค่าใช้เครื่องนะ”
จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้มให้เจ้าของร้านเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไปทันที
“ฮ่าฮ่า! เราตามไปดูกันดีกว่าว่าไอ้เด็กขายผักมันจะได้อะไรจากเศษหินก้อนนั้นบ้าง!” อู๋ฉางฉุนหัวเราะอย่างมีความสุขและวางแขนของเขาไว้ข้างหลังฮูซู่ฉินและตบก้นของเธอด้วยมือใหญ่ๆของเขาและหัวเราะเสียงดัง
เนื่องจากงานแสดงสินค้าเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน คนอื่นๆจึงยังเดินดูและจับจ่ายกันอย่างคึกคัก จึงมีคนจํานวนน้อยมากตรงสถานที่ที่มีเครื่องผ่าหิน และเมื่อจี้เพิ่งมาถึงเขาก็จ่ายเงินและแจ้งกับเจ้าของร้านในการจะผ่าหินทันที
“ผ่าหิน!”
เจ้าของร้านตะโกนเสียงดังจากนั้นมีคนจํานวนมากทยอยเดินมารวมตัวกันที่นี่ นี่เป็นกา รผ่าหินครั้งแรกในงานแสดงสินค้านี้ และทุกคนก็อยากจะโชคดี แน่นอนว่ามีหลายคนที่รอชมอย่างสนุกสนานและยังไม่ตัดสินใจซื้อง่ายๆ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความอิจฉาเมื่อมองไปยังหินของคนอื่น
คนกลุ่มสุดท้ายที่เดินเข้ามาคือผู้ที่ทําธุรกิจหินหยกและอัญมณีที่เกี่ยวกับหยก งานแสดงสินค้าต่างๆเป็นโอกาสที่ดีสําหรับพวกเขาในการหาซื้อวัตถุดิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อหยกเจไดต์คุณภาพสูงเริ่มหาได้ยากและที่มีอยู่ในตลาดเริ่มลดน้อยลง พ่อค้าหรือเจ้าของธุรกิจอัญมณีหยกเหล่านี้เริ่มมีส่วนร่วมในงานแสดงสินค้าหินหยาบมากขึ้น กล่าวคือพวกเขาเริ่มเข้าสู่การพนันหินหยกด้วยตัวเองโดยตรง
“เอ๊ะ! นั่น. ใช่เขาหรือเปล่า?” ท่ามกลางฝูงชนมีเสียงที่ไพเราะถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เธอคือฉินซูเจี่ยเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่ที่ก่อนหน้านี้ได้เกิดความเข้าใจผิดกับจี้เฟิงบนรถประจําทาง
ข้างๆฉินซูเจี่ยคือคนขับรถหวังที่ใบหน้าของเขายังคงปราศจากรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่าบุคคลที่เตรียมจะผ่าหินหยาบกลับกลายเป็นจี้เฟิง ก็มีแววตาแห่งความประหลาดใจ อยู่ในดวงตาที่สวยงามของฉินซูเจี่ย เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะได้เจอจี้เฟิงในงานจัดแสดงสินค้าหินหยกหยาบนี้
ในช่วงเวลาสั้นๆ ผู้คนมากมายต่างมายืนรวมตัวกัน ฉินซูเจี่ยและคนขับรถหวังก็เป็นหนึ่งในคน ที่เฝ้าดูอี้เฟิงที่กําลังจะทําการผ่าหินเช่นกัน พ่อค้าหยกบางคนตัดสินใจแล้วว่าถ้าหินก้อนนี้ผ่าออกมาแล้วมีหยกพวกเขาจะซื้อมันทันที เพราะหินที่มีหยกในช่วงแรกจะยังไม่มีการแข่งขันมากนักแต่ ถ้าหากรอเวลาจนสายเกินไปเกรงว่าจะต้องจ่ายเพิ่มอีกหลายเท่าตัว!
อย่างไรก็ตามเมื่อพ่อค้าและคนอื่นๆเห็นหินหยาบที่อยู่ในมือของจี้เฟิงพวกเขาก็ต่างพากันผิดหวัง
หินหยาบก้อนนี้มันเป็นเพียงแค่เศษหินอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นแค่เศษหินที่แทบจะไม่มีร่องรอยของสีเขียวเลย และที่สําคัญขนาดของมันก็เล็กมากแล้วถ้าผ่าออกมาในครั้งแรกแล้วไม่พบหยก ก็เตรียมตัวโยนหินก้อนนี้ทิ้งได้เลย
ทันทีที่พวกเขาเห็นหินก้อนนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ก็หมดความสนใจ แต่เนื่องจากมันเป็นครั้งแรกของการผ่าหินหยาบในวันนี้ แม้ว่าพวกเขาจะผิดหวัง แต่คนส่วนใหญ่ก็พ่ายแพ้ให้กับความอยากรู้อยากเห็น
“คิกคิก! เด็กขายผักจนๆคนนี้ ช่างเป็นคนที่โง่เขลาเสียจริงๆ!” ฮูซู่ฉินหัวเราะเยาะ จี้เฟิงต่อหน้าผู้คนจํานวนมาก เธอยังคงไม่ละความพยายามที่จะพูดจาดูถูกจี้เฟิง “ใช้เงิน 500 หยวนในการซื้อเศษหินก้อนนี้และยังหวังที่จะชนะพนัน ถ้าใช้แค่ความพยายามโดยไม่ใช้สมองแบบนี้ เกรงว่าทุกคนคงทําธุรกิจอัญมณีกันได้หมดแล้วล่ะ!”
“พี่สาว อย่าพูดอะไรมากไปกว่านี้เลย เราจะเสียความน่านับถือเอาได้นะ” ฮูซู่ฮุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆพูดเตือนพี่สาว แต่อันที่จริงคําพูดของเธอกลับยิ่งเสริมความน่าหมั่นไส้มากขึ้นด้วยซ้ํา
ฉินซูเจี่ยที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอมองไปยังฮูซู่ฉินเจ้าของเสียงและเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ค่อยพอใจในเรื่องนี้นัก
จี้เฟิงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคําพูดของฮูซู่ฉิน ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง และหลังจากที่พูดคุยสอบถามเจ้าของร้านเกี่ยวกับการใช้เครื่องตัดหินเสร็จเขาก็จับหินหยาบไว้ในมือของเขาแน่น
หลังจากเริ่มตัดไปเล็กน้อย จี้เฟิงก็หยุดเครื่องตัด
เดิมที่หินหยาบก้อนนี้มีขนาดเล็กมากจึงทําให้การใช้เครื่องตัดยิ่งอันตรายมากขึ้น จี้เฟิงจึงปรับเพื่อลดความเร็วของเครื่องตัดลง
ขั้นตอนต่อไปจี้เฟิงได้เปลี่ยนเป็นล้อเจียรมาขัด
“ฮ่าฮ่า! ถ้าเศษหินก้อนนี้เจียรออกมาแล้วเป็นหยกจริงๆ ฉันจะยอมกินไอ้หินนี้ให้ดู!” อู๋ฉางฉุนหัวเราะ แต่เขาก็พูดในสิ่งที่คนอื่นๆคิดอยู่ในใจ
“คุณพูดเองนะ!” ทันใดนั้นจี้เฟิงก็เงยหน้าขึ้นและมองอู๋ฉางฉุนอย่างเย็นชาในขณะเดียวกัน เครื่องตัดหินตอนนี้ที่เปลี่ยนเป็นหัวเจียรก็เริ่มทํางาน
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที จี้เฟิงก็หยุดและหยิบขวดที่บรรจุน้ําเปล่าที่อยู่ใกล้ๆเทลงบนหินหยาบที่อยู่ในมือของเขา
“มันเป็นสีเขียว!”
เจ้าของเครื่องตัดหินเป็นคนแรกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของหินหยาบที่อยู่ในมือของจี้เฟิง และ อุทานออกมา
“อะไรนะ เขาชนะพนัน?!” เมื่อทุกคนได้ยินคําพูดของเจ้าของเครื่องตัดหินก็ต่างพากันไม่เชื่อหู พูดเป็นเล่นเศษหินกากๆก้อนนี้เนี่ยนะ จะทําให้เด็กคนนี้ชนะพนันได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามเมื่อทุกคนมองไปที่หินก้อนเดิมที่อยู่ในมือของจี้เฟิง พวกเขาก็หรี่ตาลงทันทีและ แสงแห่งความโลภก็สว่างวาบในดวงตาของทุกคน
หินหยาบที่อยู่ในมือของจี้เฟิงมีสีเขียวใสที่ดูอ่อนนุ่มจนทําให้หัวใจของพวกเขาเต้นรัวอย่างรุนแรง ดวงตาที่หรี่เพื่อเพ่งมองกลายเป็นเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง!
จบบทที่ 138