The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 137
บทที่ 137 พนันหินหยก!
หลังจากงานนิทรรศการส่วันแรกจบลง ในที่สุดงานแสดงสินค้าหินหยกหยาบก็มาถึง จี้เฟิงมา ถึงประตูของงานแสดงสินค้าพร้อมกระเป๋าถือที่มีเงินของเขาทั้งหมดบรรจุอยู่ในนั้น
งานแสดงสินค้าหินหยกหยาบและนิทรรศการอัญมณีหยกไม่ได้ถูกจัดขึ้นในสถานที่เดียวกัน นิทรรศการหยกในสี่วันแรกที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามราวกับพระราชวังได้สร้างความประทับใจไว้ให้กับจี้เฟิงเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามงานแสดงสินค้าหินหยกหยาบนั้นแตกต่างกันออกไป เนื่องจากสินค้าเกือบทั้งหมดเป็นหินหยาบ และบางชิ้นก็เป็นหินขนาดใหญ่ที่มีน้ําหนักหลายตันซึ่งไม่เหมาะสําหรับสถานที่อย่างศูนย์จัดแสดงของเจียวโจว ดังนั้นงานจัดแสดงสินค้าหินหยกหยาบนี้จึงถูกจัดขึ้นในบริเวณโกดังของโรงงานแห่งหนึ่งในเขตชานเมืองที่ไม่ไกลจากเขตเมืองของสหพันธ์มหาวิทยาลัยมากนัก
แน่นอนว่าบริเวณโดยรอบโกดังมีการสร้างรั้วชั่วคราวสูงสามเมตรและมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจํานวนมาก ถึงแม้ทุกคนต่างรู้ดีว่าในความเป็นจริงจะมีหินหยกที่อาจจะถูกขโมยได้แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหินหยกหยาบที่มีขนาดใหญ่และเป็นเรื่องยากหากใครคิดที่จะขโมย แต่ระบบรักษาความปลอดภัยสําหรับงานจัดแสดงสินค้านี้ก็เรียกได้ว่าดีมากในระดับหนึ่ง
จี้เฟิงที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาแต่เช้านั้นหาสถานที่จัดงานไม่พบและมาไม่ทันเวลาที่เขาตั้งใจไว้ เพราะ เนื่องจากมันเป็นย่านชานเมืองจี้เฟิงจึงต้องใช้บริการรถแท็กซี่ในการเดินทางมาเท่านั้น
จี้เฟิงมาถึงด้านนอกโกดังของโรงงานในเวลาเก้าโมงเช้า ในเวลานี้คนอื่นๆที่มางานแสดงสินค้าต่างกําลังมองไปยังหินหยาบที่วางอยู่เต็มพื้นที่ของลานกว้าง
ในบรรดาผู้คนที่กําลังเดินดูหินหยาบที่ถูกจัดแสดงอยู่นั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมากันเป็นกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะมีประมาณสองถึงสามคน หลายคนถึงกับมีแว่นขยายอยู่ในมือด้วยซ้ํา ดูเหมือนว่า พวกเขาจะใช้แว่นขยายในการสังเกตหินหยาบอย่างระมัดระวัง
จริงๆแล้วการจัดแสดงสินค้าหินหยกหยาบเป็นเพียงแค่ชื่อเรียกคร่าวๆเท่านั้น เพราะคนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ต่างรู้ดีว่ามันคือการเสี่ยงโชค
หากก้อนหินที่พอจะดูด้วยตาเปล่าเห็นถึงลักษะของมันก็จะเป็นเพียงการวางเงินเดิมพันที่มีความเสี่ยงเล็กน้อย แต่สําหรับหินหยาบก้อนใหญ่ที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย แล้วคุณต้องการที่จะซื้อมัน มันก็ไม่ต่างจากการพนันจริงๆ
ว่ากันว่าจนถึงตอนนี้ไม่มีเครื่องมือชนิดใดที่สามารถตรวจจับได้ว่ามีหยกอยู่ในก้อนหินจริงหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ปลอดภัยที่จะพึ่งสายตาและประสบการณ์มากเกินไปและการใช้โชคคือสิ่งสําคัญมากในเรื่องนี้ ซึ่งมันไม่แปลกหากจะเรียกการซื้อหินหยาบเหล่านี้ว่าเป็นการพนัน
เป็นครั้งแรกที่จี้เฟิงได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้า จี้เฟิงดูเหมือนจะตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่มีความสามารถมองทะลุผ่านหินและได้พบโอกาสเช่นนี้ก็คงจะไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตามภายนอกของจี้เฟิงยังคงดูสงบนิ่งเช่นเดียวกับผิวน้ํา วันนี้จี้เฟิงสวมเสื้อยืดแขนสั้นกางเกงยีนส์ขายาวและรองเท้าหนัง เครื่องประดับอื่นๆมีเพียงแค่นาฬิกาข้อมือและกระเป๋าสะพายข้าง เป็นการแต่งตัวแบบสบายๆสไตล์นักศึกษาธรรมดา ดังนั้นท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่าน เขาจึงไม่มีอะไรโดดเด่น
นี่เป็นผลตามที่อี้เฟิงต้องการ เขาไม่อยากให้คนอื่นสังเกตเห็นตัวเอง อย่างน้อยก็อย่าให้มีใครมาสังเกตเห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติของเขาไม่เช่นนั้นมันอาจจะทําให้เกิดปัญหาได้
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาดูเป็นคนนอกจนเกินไป จี้เฟิงจึงมองไปที่หินหยาบที่มีอยู่เกือบเต็มพื้นที่ และไม่ได้รีบเข้าไปตรวจสอบใกล้ๆ แต่ให้ความสนใจกับการกระทําของคนอื่นอย่างเงียบๆ
จี้เฟิงสังเกตเห็นว่ามีคนที่ลักษณะเหมือนเจ้าของบริษัทหรือคนระดับสูงหลายคนอยู่ในลานแสดงหินหยาบและมีคนของเขาสองสามคนกําลังมองไปที่หินหยาบด้วยท่าทีสบายๆ โดยส่วนใหญ่ แล้วจะเป็นผู้สูงอายุหนึ่งหรือสองคนที่อยู่ในทีมของเขาที่ตอนนี้เริ่มมองไปรอบๆหินหยาบและตรวจสอบข้อมูลทั่วไป
แล้วถ้าหากพวกเขาพบกับก้อนหินที่น่าจะมีหยกก่อตัวอยู่ข้างในพวกเขาจะใช้แว่นขยายเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดจากนั้นจึงเจรจากับเจ้าของหินหยาบ
หลังจากเห็นหลายคนทําแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ทันใดนั้นจี้เฟิงก็เข้าใจได้ว่า คนที่รับผิดชอบดูหินหยาบน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เหล่าเจ้านายหรือเจ้าของบริษัทได้เชิญหรือจ้างมา เพราะการที่ให้คนที่มีประสบการณ์ด้านหินหยกหยาบโดยเฉพาะจะมีโอกาสประสบความสําเร็จมากกว่า
ตามความเข้าใจของจี้เฟิง ถ้าหินหยาบที่ซื้อมามีเนื้อหยกอยู่มากจนทํามูลค่าเพิ่มขึ้นจากราคาเดิมนั่นก็หมายความว่าการพนันครั้งนี้ประสบผลสําเร็จแต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้ามก็หมายความว่าพวกเขาแพ้การพนันในหินก้อนนั้นนั่นเอง
เห็นได้ชัดว่าเจ้านายหลายคนไม่คิดที่เพิ่มความเสี่ยงด้วยการตัดสินใจและพนันด้วยตัวเองดังนั้นพวกเขาจึงนําคนที่มีประสบการณ์เหล่านี้มาด้วย
เมื่อเห็นเช่นนี้จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เขารอดูพฤติกรรมของคนอื่นๆก่อน ไม่เช่นนั้นคนอื่นๆคงจะดูออกว่าเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาไม่รู้อิโหน่อิเหน่เกี่ยวกับเรื่องหินหยกเหล่านี้เลย และมันจะทําให้แผนการธุรกิจของเขามีปัญหาติดขัดได้
จี้เฟิงรีบหันกลับและเดินออกจากงานแสดงสินค้าทันที เขาจําได้ว่าเมื่อตอนที่เขาเข้ามาดูเหมือนจะมีคนขายแว่นขยายอยู่ที่ประตู
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงได้ออกไปที่ประตูและซื้อแว่นขยายทันที แต่ทันใดนั้นเองในขณะที่เขากําลังจะเดินกลับเข้ามาเขารู้สึกได้ว่ามีร่างอ้วนๆร่างหนึ่งกําลังจะกระแทกกับเขาจากทางด้านข้าง ด้วยการตอบสนองที่ว่องไวของจี้เฟิง เขาก้าวถอยอย่างรวดเร็วเพื่อหลบหลีกโดยอัตโนมัติ
“ตุ้บ!”
ร่างอ้วนๆเสียการทรงตัวเขาเซไปเซมาอยู่สองสามก้าวก่อนที่จะล้มลง
“ที่รัก คุณโอเคมั้ย?” จู่ๆเสียงที่ทําให้รู้สึกขนลุกก็ดังขึ้น แล้วผู้หญิงผมแดงเจ้าของเสียงก็รีบเดินเข้าไปพยุงร่างอ้วนๆ
จี้เฟิงตะลึงทันที สองคนนี้คือพี่เขยและพี่สาวของฮูซู่ฮุ่ย?
เขาเหลือบมองไปยังด้านข้างทันที และพบกับซูซูฮุยที่กําลังตกใจอยู่เช่นกัน
“ให้ตายเหอะ… โลกมันแคบจริงๆ!” จี้เฟิงบ่นอยู่ในใจ เขาเหลือบมองไปที่ฮูซู่ฮุ่ยเล็กน้อยด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากมองคนแปลกหน้า จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าไปในลานจัดแสดงสินค้า
“เห้ย! ไอ้เด็กเวรหยุดเดี๋ยวนี้” พี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยตะโกนด้วยความโกรธและก้าวเข้ามาหาจี้เฟิงสามสี่ก้าวและยืนขวางทางเขาเอาไว้
ทันใดนั้นคิ้วของจี้เฟิงก็ขมวดแน่น เขาได้กลิ่นแอลกอฮอล์ทันทีที่ชายร่างอ้วนคนนี้เข้ามาใกล้ ดูเหมือนว่าเขานั้นมีอาการเมาค้าง
“ที่รัก ทําไมเธอยังไม่มาช่วยฉันอีก ไอ้บ้านี่มันทําให้ฉันล้ม มันต้องรับผิดชอบ!” พี่เขยอ้วนของฮูซู่ฮุ่ยพูดอย่างก่นด่า
ใบหน้าของจี้เฟิงฉายแววดุดัน “ลองด่าผมอีกครั้งสิ!”
จี้เฟิงที่มีใบหน้าดุดันจริงจังกลับทําให้เขาดูน่าเกรงขามและสง่างามมาก เมื่อพี่เขยของฮูซู่ฮุ่ย เห็นสีหน้าที่ดุดันของจี้เฟิงก็ถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจและจ้องมองจี้เฟิงด้วยอาการตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปพักใหญ่
“เหอะ!”
จี้เพิ่งส่งเสียงอยู่ในลําคออย่างเย็นชาพร้อมกับมองพี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยด้วยความรังเกียจและหันจากไป
“ไอ้เด็กเวร!” พี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยเพิ่งจะมีอาการตอบสนองหลังจากจี้เฟิงเดินจากไป เขารู้สึกอับอายเมื่อคิดว่าตัวเองดันเผลอตกใจกับสีหน้าและสายตาของจี้เฟิง
“ไอ้สารเลว แกกล้ามาท้าทายคนอย่างอู๋ฉางฉุน แกไม่ได้ตายดีแน่!” ชายอ้วนอู๋ฉางฉุนตะโกนด่าเพื่อกลบเกลื่อนความอับอายของตัวเอง
“ที่รัก ทําไมฉันรู้สึกคุ้นหน้าเด็กหนุ่มคนเมื่อครู่ยังไงก็ไม่รู้ เราเคยพบเขาที่ไหนมาก่อน หรือเปล่า?” พี่สาวของฮูซู่ฮุ่ยถามอย่างสงสัย
“พี่สาว พี่เขย ฉันว่าคนเมื่อกี้คือจี้เฟิง!” ฮูซู่ฮุ่ยกล่าว
“อะไรนะ?!” พี่สาวของฮูซู่ฮุ่ยร้องออกมาทันที “ไอ้เด็กน่าสมเพชที่ขายผักคนนั้นน่ะหรอจะกล้าเผชิญหน้าพูดกับพี่เขยของเธอแบบนี้!”
“ฉันไม่ปล่อยมันไว้แน่!” อู๋ฉางฉุนตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
แต่ความรู้สึกของฮูซู่ฮุ่ยตอนนี้เธอกลับรู้สึกใจเต้นแปลกๆ ท่าทางของจี้เฟิงที่แสดงออกมามันช่างน่าประทับใจจริงๆ!
แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดชั่ววูบ ฮูซู่ฮุ่ยส่ายหัวสลัดความคิดที่น่ารังเกียจเหล่านั้นทิ้งไป ไม่ว่าบรรยากาศรอบตัวของจี้เพิ่งจะดูสง่างามแค่ไหน มันก็ไม่ได้ช่วยให้เธออิ่มท้อง เพราะฉะนั้นความร่ํารวยจึงเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด
เหมือนกับสิ่งที่เธอได้รับในตอนนี้ เป็นเพราะความร่ํารวยของพี่เขยของเธอ เธอจึงไม่ต้องไปทนทรมานฝึกทหารเหมือนกับนักศึกษาคนอื่นๆในเวลานี้
ในขณะที่ฮูซู่ฮุ่ยกําลังรู้สึกถึงความสําคัญในอํานาจของเงิน เธอก็เอะใจนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ทําไมจี้เฟิงถึงมาอยู่ที่นี่เวลานี้? ตามหลักแล้วตอนนี้เขาควรที่จะต้องฝึกทหารอยู่ไม่ใช่หรือ?
ฮูซู่ฮุ่ยตัดสินใจที่จะเลิกคิดเรื่องนี้แล้วรีบเดินเข้างานแสดงสินค้าพร้อมกับพี่สาวและพี่เขยของเธอ
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจี้เฟิงเท่าไหร่นัก จี้เฟิงในเวลานี้ถือแว่นขยายไว้ในมือและมองไปที่เศษหินหยาบ ความจริงดวงตาของเขามองทะลุแว่นขยายและด้านนอกของหินไปเรียบร้อยแล้ว
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย หินก้อนนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากเมฆหมอกสีเขียวจางๆ เห็นได้ชัดว่าหินก้อนนี้ถูกขุดขึ้นมาเร็วเกินไปและยังไม่มีหยกก่อตัวขึ้นมากพอ
จี้เฟิงมองไปที่หินหยาบก้อนอื่นๆต่อไปอย่างเงียบๆ
สําหรับแผงขายของแบบเดียวกับที่จี้เฟิงดูอยู่ตอนนี้ มีบริษัทมากมายหลายร้อยแห่งอยู่ในบริเวณโกดังของโรงงานทั้งหมดและขอบเขตของลานก็ใหญ่มากเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จี้เฟิงจะสามารถเพ่งมองสํารวจไปทีละอันได้ เขาเพียงแค่ให้สมองปล่อยกระแสไฟฟ้าชีวภาพช่วยในการตรวจสอบเบื้องต้น และเมื่อเหลือบมองไปเจอหินที่น่าสนใจ เขาจะจ้องมองอย่างจริงจังอยู่สองสามครั้ง
“เถ้าแก่ หินหยาบก้อนนี้ราคาเท่าไหร่?” จี้เฟิงชี้ไปที่หินหยาบที่มีขนาดเท่ากับครึ่งหนึ่งของตัวคน มันมีร่องรอยสีเขียวจางๆที่ด้านนอกของหินหยาบก้อนนี้ ถ้ามองแต่ภายนอกหินก้อนนี้ดูดีที่เดียวแต่จี้เฟิงรู้ดีว่าข้างในนั้นไม่มีอะไรเลย ในความเป็นจริงสิ่งที่เขาถูกใจคือหินหยาบขนาดเท่ากําปั้นที่อยู่ข้างๆ
แม้ว่าจี้เฟิงจะไม่เคยทําธุรกิจมาก่อน แต่จี้เฟิงก็พอจะรู้ว่า ถ้าเขาแสดงความต้องการหินหยาบมากเท่าไหร่หรือแสดงอะไรที่เป็นเบาะแสให้เจ้าของหินรู้ว่าหินก้อนนั้นเป็นของดี ราคาของหินหยาบก้อนนั้นก็จะสูงขึ้นทันที
เถ้าแก่เจ้าของร้านแผงนี้เป็นผู้ชายอายุประมาณสี่สิบกว่าๆและแต่งตัวธรรมดามาก เขาขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นขี้เฟิงและพูดขึ้นว่า “น้องชายเธอยังเป็นนักศึกษาอยู่เหรอ หินหยาบก้อนนี้ราคาไม่ถูก…”
จี้เฟิงเข้าใจได้ในทันทีว่าเจ้าของร้านหมายถึงอะไร เจ้าของร้านกลัวว่าจี้เฟิงจะไม่สามารถจ่ายค่าหินหยาบก้อนใหญ่นี้ได้
“เถ้าแก่แค่พูดราคามาก็พอ!” จี้เฟิงยิ้ม
“700,000!” เมื่อเห็นจี้เฟิงดึงดันที่จะรู้ราคา เถ้าแก่ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จี้เฟิงพูดไม่ออกเขามีเงินไม่ถึงหนึ่งในสิบของราคาหินหยาบก้อนนี้ด้วยซ้ํา
“ราคามันสูงเกินไปสําหรับผมจริงๆ!” จี้เฟิงรู้สึกหดหูและไม่อยากจะยอมแพ้ เขาจึงชี้ไปที่เศษหินชิ้นเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆ “แล้วอันนี้ล่ะ?”
“130,000!” เจ้าของร้านเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย ไม่ว่ายังไงในสายตาของเขาอี้เฟิงก็ไม่สามารถซื้อหินหยาบในราคานี้ได้
“โห เถ้าแก่ มันไม่แพงเกินไปหน่อยเหรอ? หินก้อนใหญ่นั้นผมยังพอเข้าใจได้ เพราะมันยังพอจะมีสีเขียวให้เห็นจางๆมันเลยไม่แปลกที่จะมีราคาสูงถึง 700,000 แต่กับก้อนนี้ผมว่ามันมากเกินไป คุณจะตั้งราคาหินก้อนนี้ 130,000 จริงๆหรอ?” จี้เฟิงโต้เถียงทันที
“ฉันก็บอกเธอแล้วว่าเธอซื้อมันไม่ไหวหรอก แล้วตกลงจะซื้อหรือเปล่า? ถ้าไม่ซื้อก็อย่ามาสร้างปัญหา โอเค?!” เจ้าของร้านไม่แม้แต่จะต่อรองราคากับจี้เฟิง
ในขณะที่จี้เฟิงกําลังจะอ้าปากพูด เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาข้างๆเขา “เถ้าแก่คุณพูดถูกแล้ว ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นแค่เด็กขายผักจนๆ มันจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อสินค้าของเถ้าแก่!”
จี้เฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่จําเป็นต้องหันไปมองเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าใครกําลังพูดอยู่
อู๋ฉางฉุน พี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยเดินเซเล็กน้อยเข้ามาทางจี้เฟิงพร้อมกับพูดจาดูถูก
จบบทที่ 137