The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 139
บทที่ 139 เศษหินหลักล้าน!
ไม่มีใครคาดคิดว่าเศษหินเล็กๆเท่ากําปั้นมือก้อนนี้จะมีหยกอยู่ภายในจนทําให้ผู้ที่เสี่ยงโชคซื้อมันมาพบกับแจ็กพอตใหญ่
เพราะคุณภาพของหยกที่อยู่ในหินก้อนนี้จากที่มองด้วยตาเปล่าน่าจะเป็นหยกชั้นดีที่เรียกว่า หยกเนื้อน้ํา
รู้หรือไม่ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาหยกชนิดที่ดีที่สุดอย่างหยกเนื้อแก้วได้สูญหายไปจนเกือบหมด จนปัจจุบันหยกเนื้อน้ําได้รับการยกย่องว่าเป็นหยกชนิดที่ดีที่สุดไปแล้ว
แต่หยกเนื้อน้ําที่ว่านั่นกลับมาอยู่ในเศษหินที่หลายๆคนมองมันเป็นเพียงแค่เศษขยะ!
ทุกคนถึงกับถอนหายใจ เด็กหนุ่มคนนี้ช่างโชคดีจริงๆ
โดยเฉพาะอู๋ฉางฉุนและฮูซู่ฉินที่พูดจาล้อเลียนเยาะเย้ยจี้เฟิงตลอดเวลา ตอนนี้ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นสีเขียวอมม่วงไปแล้ว เด็กขายผักยากจนที่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะชนะพนันได้หินหยกเนื้อน้ําคุณภาพดีมาอยู่ในมือเข้าจริงๆ!
ส่วนฮูซู่ฮุ่ยเธอได้แต่ยืนอ้าปากค้างและจ้องไปที่จี้เฟิงที่ตอนนี้ยังคงมีใบหน้าที่ดูสงบนิ่ง เธอไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กยากจนที่น่าสมเพชคนนี้จะซื้อเศษหินและทําให้มันกลายเป็นอัญมณีล้ําค่า!
สิ่งที่ทําให้ฮูซู่ฮุ่ยต้องยอมรับความจริงก็คือปฏิกิริยาของผู้สังเกตการณ์คนอื่นๆที่ยืนอยู่โดยรอบ
เมื่อเห็นหยกในมือของจี้เฟิงที่ยังไม่ได้ถูกผ่าให้เห็นทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ ดวงตาของนักธุรกิจ และพ่อค้าหยกบางคนก็สว่างวาบขึ้นทันที ถ้าไม่นับหยกที่แทบจะสูญพันธุ์อย่างหยกเนื้อแก้วแล้ว หยกเนื้อน้ําที่จี้เฟิงถือนั้นเรียกได้ว่าเป็นหยกที่ดีที่สุด
พ่อค้าหยกคนหนึ่งรู้ว่าเขาไม่สามารถรอช้าไปกว่านี้ได้เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “น้องชาย นายไม่จําเป็นต้องเจียรหินก้อนนี้อีกต่อไป ฉันจะขอซื้อมันในราคา 200,000 หยวน น้องชายจะขายให้ฉันได้หรือไม่?”
“200,000 หยวน?” เมื่อได้ยินราคานี้ ฮูซู่ฮุ่ยก็รู้สึกราวกับว่าเธอถูกใครบางคนตบหน้าอย่างแรง เด็กยากจนที่น่าสงสารสามารถทําเงินได้ถึง 200,000 หยวนในพริบตา!!
“เหล่าเจียง เงิน 200,000 ที่นายเสนอมันไม่น่าเกลียดเกินไปหน่อยเหรอ?” พ่อค้าหยกที่ยืนข้างๆเขาพูดขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาคนนี้รู้จักคุ้นเคยกับพ่อค้าหยกอีกคนมาก่อน จากนั้นเขาหันหน้าไปทางจี้เฟิงแล้วพูดว่า “น้องชายฉันให้มากกว่าเขา 50,000 เป็น 250,000 หยวน ขายให้ฉันในราคานี้ถือว่าดีที่สุดแล้ว เพราะน้องชายก็น่าจะรู้ว่าหินของน้องชายมันออกจะเล็กไปหน่อย แล้วถ้าน้องชายคิดที่จะเจียรมันอีกล่ะก็ โอกาสที่ทําให้ราคาตกก็มีสูงมาก ดังนั้นราคาที่ฉันเสนอจึงเป็นราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว!”
“เฮ้ๆ คุณหลิว บริษัทใหญ่อย่างคุณทําไมถึงได้มาเบียดเบียนแย่งพ่อค้าตัวเล็กๆอย่างพวกเราทํามาหากิน มันจะไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ!” พ่อค้าหยกคนแรกอดไม่ได้ที่จะบ่น
ฉินซูเจี๋ยที่ยืนอยู่ในกลุ่มฝูงชนอ้าปากเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเธอก็กลืนสิ่งที่เธอจะพูดลงไปหลังจากนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ไม่ว่านักธุรกิจเหล่านี้จะเสนอราคาอย่างไร จี้เฟิงก็ทําเพียงแค่สายหัวและยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเปิดเครื่องเพื่อเจียรหินหยาบก้อนเล็กของเขาอีกครั้ง
ด้านหนึ่งของหินได้รับการขัดเงาจนเผยให้เห็นเนื้อหยกสีเขียวไปแล้วดังนั้นจี้เฟิงจึงขัดอีกด้านหนึ่ง
โดยปกติแล้วการตัดหรือเจียรหินหยกหยาบโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ จะเกิดความผิดพลาดจนทําให้หินหยกหยาบเสียหายได้โดยง่าย และแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกของจี้เฟิงแต่เขานั้นแตกต่างจากคนอื่นตรงที่เขาสามารถมองเห็นเนื้อหยกที่อยู่ข้างในหินได้อย่างชัดเจน ดังนั้นผลงานการขัดหินหยกครั้งแรกของเขาจึงออกมาไม่เลว
ในตอนนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าจี้เฟิงไม่พอใจกับราคาเพียงแค่สองหรือสามแสนหยวนอย่างเห็นได้ชัด เขาต้องการที่จะลองพนันกับหินก้อนนี้ดูอีกสักตั้ง ดังนั้นจี้เฟิงตั้งใจที่จะขัดหินทั้งหมด
ภายในเวลาไม่นานความหยาบของหินที่อยู่ภายนอกก็ได้ถูกขัดออกไปและอัญมณีสีมรกตที่มีขนาดครึ่งหนึ่งของกําปั้นก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน
สายตาของทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างจ้องมองไปยังหินหยกที่อยู่ในมือของจี้เฟิงเป็นตาเดียว
แม้ว่าหยกชนิดนี้จะเป็นเพียงหยกเนื้อน้ําชนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่มีสิ่งเจือปนอยู่ในเนื้อหยกก้อนนี้แม้แต่น้อยแถมยังเป็นหยกที่ไม่มีรอยแตกร้าวและเรียบเนียนอย่างสมบูรณ์จนเกือบจะเหมือนกับแก้วใสๆ
ที่สําคัญไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาจากขนาดของหยกเจไดต์ก้อนนี้น่าจะมีน้ําหนักอยู่ที่ประมาณหนึ่งถึงสองกิโลกรัม ถ้าตามราคาตลาดในปัจจุบันอาจมีราคาสูงถึงเจ็ดหลัก
ทันใดนั้นบรรดาเจ้าของบริษัทนักธุรกิจและพ่อค้าหยกที่เฝ้าดูมาตั้งแต่ต้นก็เริ่มเสนอราคา
“น้องชาย ถ้าเธอขายให้ฉันตอนนี้ฉันให้เธอหนึ่งล้านหยวนเลย!” เจ้าของบริษัทคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างไม่รอช้า ในกรณีที่หยกเนื้อแก้วแทบจะเรียกได้ว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ดังนั้นจะเรียกหยกเนื้อน้ําที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ว่าเป็นหยกคุณภาพที่ดีที่สุดก็คงจะไม่ผิด
“หนึ่งล้านหนึ่งแสน!”
“หนึ่งล้านสามแสน!”
เมื่อได้ยินนักธุรกิจเหล่านั้นต่างแย่งกันประมูลเสนอราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ฮูซู่ฮุ่ยก็เบิกตากว้างใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อมองไปที่จี้เฟิงเด็กยากจนผู้น่าสงสารคนนี้ยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉยแม้จะได้ยินคนเสนอเงินหนึ่งล้านหยวนสําหรับหินหยกก้อนที่อยู่ในมือของเขา
และแม้แต่อู๋ฉางฉุนและฮูซู่ฉินก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน โดยเฉพาะอู๋ฉางฉุนใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียดกว่าปกติ อย่างที่รู้ว่าเขาก็อยู่ในธุรกิจอัญมณีเช่นกัน แต่บริษัทของเขาไม่ได้ใหญ่โตมากนัก และหินหยกก้อนนี้ก็เพียงพอที่จะประคับประคองบริษัทของเขาให้อยู่รอดต่อไปได้
ดังนั้นอู๋ฉางฉุนจึงมาที่นี่เพื่อติดตามการประมูลหินหยก
อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงเหตุการณ์การดูถูกเหยียดหยามก่อนหน้านี้ของตัวเขาเองที่ทํากับจี้เฟิง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าหยกชิ้นนี้ไม่มีทางที่จะกลายมาเป็นของเขา และเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจและเสียดายอย่างที่สุด
แต่ฮูซู่ฉินยังคงหยิ่งผยองและพูดจาอย่างโอ้อวด “แค่เด็กยากจนที่ดวงดี อย่าตื่นเต้นมากจนเกินไปล่ะ เพราะเงินแค่หนึ่งล้านก็ไม่ต่างจากเศษเงินของสามีฉัน!”
“คุณฉิน เราจะร่วมการประมูลในครั้งนี้หรือไม่ครับ?” เมื่อเห็นฉินซูเจี๋ยแสดงท่าที่สนอดสนใจ ในหยกก้อนนี้ คนขับรถหวังก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
ฉินซูเจี๋ยส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “ยังก่อน หยกชิ้นนี้เล็กเกินไป ไม่เพียงพอสําหรับคลังสินค้าของเรา ไว้รอดูหยกชิ้นอื่นๆในภายหลัง!”
คนขับรถหวังพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่ชายวังกลางคนอายุประมาณห้าสิบปีที่ยืนอยู่ข้างๆคนขับรถหวังพูดขึ้นด้วยเสียงเบา “คุณฉิน ผมคิดว่าชายหนุ่มคนนี้มีความเชี่ยวชาญมากทีเดียว”
ฉินซูเจี๋ยพยักหน้าและพูดว่า “อืม.. ฉันก็คิดเช่นนั้น เมื่อดูจากการตัดและเจียรหินของเขาที่พอดีกับเนื้อหยกและไม่ส่งผลกระทบกับเนื้อหยกเลยแม้แต่น้อย หากเป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์มากพอจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะทําด้วยวิธีการที่แม่นยําเช่นนี้”
“คุณฉินผมคิดว่าเราควรจะเข้าไปพูดคุยกับชายหนุ่มคนนี้หรือไม่เราก็ต้องตามเขาไป” ชายวัยกลางคนเสนอ “ผมคิดว่าเขาต้องไม่พอใจแค่หยกชิ้นนี้อย่างแน่นอน และเมื่อเราพบหยกที่เหมาะสมกับความต้องการของเขา เราก็จะสามารถเข้าไปเสนอราคากับเขาได้ทันทีและเราจะมีโอกาสที่จะได้ซื้อหินหยกจากเขาก่อนคนอื่น!”
“ไม่จําเป็น” ฉินซูเจี๋ยยิ้มเล็กน้อย “ฉันรู้จักชายหนุ่มคนนี้ เดี๋ยวฉันจะเข้าไปคุยกับเขา ตรงๆในภายหลัง!”
ชายวัยกลางคนชะงักเล็กน้อยจากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา ในเมื่อเป็นคนรู้จัก เรื่องมันก็จะง่ายกว่ามาก เพราะอย่างน้อยหากมีคนอื่นที่เสนอราคาเท่ากัน ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะได้เป็นผู้รับซื้อก่อน
ในตอนนี้เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่กําลังเสนอราคา และราคาหยกในมือของจี้เฟิงตอนนี้ก็พุ่งขึ้นและหยุดอยู่ที่ 1,750,000 หยวน มันเป็นราคาที่สูงมาก และราคานี้มาจากเจ้าของบริษัทคนหนึ่งที่พูดด้วยสําเนียงเสฉวน และเมื่อนักธุรกิจและพ่อค้าคนอื่นๆเห็นตัวเลขนี้จึงไม่มีใครกล้าสู้ราคาที่สูงไปกว่านี้อีกแล้ว
“ว่าไงน้องชาย 1,750,000 หยวน ตกลงจะขายให้ฉันหรือเปล่า?” เจ้าของบริษัทที่พูดสําเนียงเสฉวนถามขึ้น
จี้เฟิงกล่าวว่า “แน่นอนพี่ชาย ผมจะขายให้คุณ แต่ผมต้องการเป็นเช็คเงินสดหรือเงินสดเท่านั้น”
จี้เฟิงต้องการที่จะหาซื้อหินหยาบอื่นๆต่อ แต่ถ้าหากเขาไม่มีเงินก็ไม่สามารถทําได้
เจ้าของบริษัทพยักหน้าและพูดอย่างเปิดเผย “ไม่มีปัญหา ฉันจะเขียนเช็คให้! ฮ่าฮ่า! แต่น้องชายถ้านายมีบัญชีธนาคารฉันสามารถโอนเงินให้นายได้โดยตรงตอนนี้เลย!”
“โอนเงินที่นี่เลยเหรอ?” จี้เฟิงถาม
“แน่นอนว่าไม่เพียงแต่จะโอนเงินโดนตรงที่นี่ แต่น้องชายยังสามารถโอนเงินได้ทันทีในแต่ละร้านค้าซึ่งมันสะดวกมาก!” เจ้าของบริษัทที่พูดสําเนียงเสฉวนหัวเราะ
จี้เฟิงรู้สึกสับสนเล็กน้อยแต่จากนั้นไม่นานเขาก็รู้สึกถึงบางอ้อ เขาหลงเข้าใจผิดคิดว่างานแสดงสินค้ามีไว้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ากับเงินสดเท่านั้น แต่หากลองคิดดูดีๆแล้ว มีหินหยาบขนาดใหญ่อยู่มากมาย และราคาของมันอาจจะสูงถึงหลายสิบหรือหลายร้อยล้านหยวนก็เป็นได้แล้วถ้าใช้เงินสดมันก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากลําบากและอันตรายมากเกินไป
จี้เฟิงเลือกที่จะให้เจ้าของบริษัทโอนเงิน เขาบอกเลขที่บัญชีให้กับเจ้าของบริษัททันที และ หลังจากนั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายทําธุรกรรมการเงินเสร็จสิ้น คนอื่นๆที่เห็นดังนั้นจึงแน่ใจแล้วว่าพวกเขาหมดโอกาสอย่างแน่นอนแล้ว จึงพากันแยกย้ายจากไป
“ไอ้สารเลว!” อู๋ฉางฉุนสบถค่าและหันหลังจากไปด้วยความโกรธ
ด้วยความสามารถด้านการฟังของจี้เฟิง เขาจึงได้ยินคําพูดของฉางฉุนอย่างชัดเจนจากนั้น เขาก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับชมหินหยาบจากร้านค้าร้านอื่นๆ
สําหรับจี้เฟิงแล้ว คําสบประมาทของอู่ฉางฉุนก็เหมือนเป็นการต่อสู้ดิ้นรนครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะตาย ไม่ต่างจากตกแตนหลังฤดูใบไม้ร่วงที่จะไม่สามารถกระโดดได้อีก
“เอ๋? คุณฉิน?” จี้เฟิงที่กําลังเดินเที่ยวชมหินหยกหันหน้ากลับมาและพบเข้ากับ ฉินซูเจี๋ยกําลังมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มอยู่ไม่ไกล ที่ข้างๆเธอมีคนขับรถหวังและชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่
“คุณจี้ คุณมีสายตาที่เฉียบคมมาก คุณสามารถเปลี่ยนเศษหินที่เป็นเพียงแค่ขยะในสายตาคนอื่นให้กลายเป็นสมบัติล้ําค่าได้ทันทีเมื่อมันอยู่ในมือคุณ มันช่างวิเศษมาก!” ฉินซูเจี้ยยิ้มและพูดขึ้น น้ําเสียงของเธอมีเสน่ห์อย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้ มันทําให้ผู้ฟังรู้สึกสบายและเคลิบเคลิ้ม
จี้เฟิงยิ้ม เขาโบกมือเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ผมแค่โชคดีเท่านั้น!”
“คิกคิก สําหรับนักธุรกิจที่มาพนันหินที่นี่ถึงแม้สายตาและประสบการณ์จะเป็นสิ่งสําคัญก็จริง แต่โชคก็สําคัญไม่แพ้กัน และคุณภาพของโชคก็ส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์อย่างที่คุณทําให้มันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นโชคของคุณจี้จึงเป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!” เสียงของฉินซูเจี๋ยนุ่มนวลจนทําให้จี้เฟิงรู้สึกเหมือนกับว่ามีมือเล็กๆมาเขย่าหัวใจของเขาอย่างต่อเนื่อง
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไร
จี้เฟิงไม่แปลกใจเลยที่ฉินซูเจี่ยจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เพราะเขารู้ว่าฉินซูเจี๋ยเป็นเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่และเธอจะต้องไม่พลาดงานแสดงสินค้าหินหยกหยาบนี้อย่างแน่นอน
“คุณจี้ คุณต้องการจะหาซื้อหินหยาบต่อไปหรือไม่?” ฉินซูเจี๋ยเดินเข้ามาใกล้จี้เฟิงและถามด้วยรอยยิ้ม
“ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันครับ มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ฮ่าฮ่า!” จี้เฟิงจงใจตอบแบบคลุมเครือเล็กน้อยเพราะเขาไม่ต้องการให้คนอื่นสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
ฉินซูเจี๋ยดูเหมือนจะอ่านความคิดของจี้เฟิงออก เธอจึงกล่าวพร้อมกับยิ้มหวาน “คุณจี้ ฉันมีเรื่องจะขอร้องซักเล็กน้อย แต่ถ้าคุณลําบากใจ…”
“ไม่มีปัญหา! ตราบใดที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงผมก็ยินดีจะช่วยคุณอยู่แล้วคุณฉิน!” จี้เฟิงยิ้ม
“คุณก็พอจะทราบใช่มั้ยคะ ว่าฉันเปิดบริษัทจิวเวลรี่” ฉินซูเจี๋ยหยุดไตร่ตรองคําพูดในหัวเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อ “แต่เมื่อเร็วๆนี้เนื่องจากสถานการณ์ที่ตึงตัวของบริษัท ทําให้บริษัทดําเนินไปได้ยากซักเล็กน้อย.. ฉันหมายถึงว่า ถ้าคุณจี้เกิดโชคดีแล้วได้เจอหยกแบบเมื่อครู่นี้อีก คุณพอจะขายให้ฉันก่อนในราคาเท่ากันจะได้มั้ย?”
“ฮ่าฮ่า! แบบนี้นี่เอง” จี้เฟิงหัวเราะเล็กน้อยและพยักหน้า “นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย ผมจะขายให้คุณแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าผมจะโชคดีชนะพนันแบบเมื่อครู่นี้ได้อีกหรือเปล่าดังนั้น”
ฉินซูเจี๋ยจับผมของเธอเล็กน้อยและยิ้ม “ฉันเข้าใจ มันเป็นเรื่องธรรมดา”
“อย่างที่ผมพูดไป งั้นผมไม่รบกวนคุณแล้วคุณฉิน” จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปยังแผงขายของอื่นๆ
จี้เฟิงในตอนนี้มีเงินในบัญชีที่มากกว่า 1,000,000 หยวน เมื่อเทียบกับตอนแรกที่เขามาถึงที่นี่ เขามีเงินเพียง 60,000 หยวนเท่านั้น ในตอนนี้หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกได้ถึงความมั่นใจสําหรับการเลือกซื้อหินหยาบขนาดใหญ่ก้อนต่อไปและเขาก็มีความกล้าที่จะเจรจาต่อรองกับเจ้าของร้านหินหยาบเหล่านั้นมากขึ้นด้วย
จบบทที่ 139