Mechanical God Emperor - ตอนที่ 269
269 – เอาชนะบารอส
บารอสรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ใจของเขาเต้นอย่างรุนแรง เขาเกิดอาการอยากอ้วกขึ้นมาและคุกเข่าลงไปกับพื้น เพียงแต่ว่าเขาเป็นจอมเวทย์ที่ได้ผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน เขาใช้ลัดมนตราอีกครั้ง เวทย์ระดับ 2 ต่อต้านกระแสเวทย์ถูกร่ายออกมา
ลำแสงสีขาวอาบไปทั่วร่างของบารอส เขามีสีหน้าดูดีขึ้นเล็กน้อย
บนที่นั่งสูง บลันก้ามองภาพตรงหน้า ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างพึงพอใจ เผยให้เห็นแววตาที่สนุกสนาน
“จอมเวทย์ครับ!! คาดไม่ถึงจริงๆ เอียนก็เป็นจอมเวทย์เช่นเดียวกัน!!”
“ลัดมนตรา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นลัดมนตราขั้นสูงด้วย นี่ไม่ใช่ทักษะที่มีแต่จอมเวทย์ระดับตำนานเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้อย่างนั้นรึ!!”
“….”
จากภาพที่เห็น จอมเวทย์มากมายในลานประลองเวทมนตร์ทุกคนต่างตื่นตระหนก เกิดการโต้เถียงกันอย่างมากมาย แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เทียบกับความจริงที่ว่าหยางเฟยเป็นจอมเวทย์ การที่เขาสามารถควบคุมลัดมนตราขั้นสูงได้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า ยกเว้นจอมเวทย์ระดับตำนาน โดยทั่วไปไม่มีใครสามารถลัดมนตราขั้นสูงได้ในขณะที่ยังเป็นจอมเวทย์ทั่วไป ตอนนี้หยางเฟยได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นมา
ในขณะเดียวกันนั้น หยางเฟยลัดมนตราอีก 2 ครั้ง เวทย์ระดับ 3 งูเพลิง 2 บทถูกร่ายออกมา งูเพลิงปรากฏขึ้นมากลางอากาศ เปลวเพลิงเผาผลาญพุ่งตรงไปยังร่างของบารอส
แม้ว่าหยางเฟยมีพลังของวอร์ล็อคระดับ 3 แต่เขาก็ไม่สามารถร่ายเวทย์ระดับ 3 ถึง 2 บทได้ในทันที แม้แต่วอร์ล็อคระดับ 3 เมื่อพวกเขาร่ายเวทย์นระดับ 3 พวกเขายังคงจำเป็นต้องท่องคำร่าย
อย่างไรก็ตาม นี่คือโลกของเทพธิดามนตรา ข่ายมนตราไม่ได้ใช้แค่เพียงควบคุมเหล่าจอมเวทย์เท่านั้น แต่มันยังมอบพลังให้กับจอมเวทย์ ลัดมนตราเป็นหนึ่งในนั้น
ในโลกที่ไม่มีข่ายมนตรา ลัดมนตราก็ไม่มีความหมาย อย่างไรก็ตาม ในดินแดนแห่งนี้ มันเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให่เขาสามารถร่ายเวทย์ระดับ 3 ได้ในทันที
ในการต่อสู้ระหว่างจอมเวทย์ มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนศึกษามัน ถ้าใครก็ตามสามารถทำลายบทร่ายได้ เขาจะใช้เวลาสั้นลงในการร่ายเวทย์ คนที่ร่ายเวทย์ได้เร็วที่สุดสามารถร่ายเวทย์ระดับ 3 ออกมาได้ในพริบตา แต่หยางเฟยกลับร่ายเวทย์ระดับ 3 ออกมาได้ถึง 2 บท ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก
งูเพลิงพุ่งตรงไปยังสนามพลังเวทมนตร์ของบารอส เปลวเพลิงของมันเผาผลาญเกราะป้องกันจนแหลกสลายหายไป
เพลิงเผาผลาญได้ทำให้ผมของบารอสไหม้และส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เขากัดฟันและใช้ลัดมนตรา
พายุที่รุนแรงปกคลุมร่างของบารอส
งูเพลิง 2 ตัวพุ่งผ่านพายุ ถูกหลอมรวมกลายเป็นพายุเพลิงในทันที
หยางเฟยพยักหน้าและใช้ลัดมนตรา งูน้ำขนาดใหญ่ 2 ตัวก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันเริ่มปะทะกับพายุเพลิงในทันที
ฟู่! ฟู่!!
หมอกสีขาวก่อตัวขึ้น งูน้ำที่เกิดจากการควบแน่นของน้ำถูกฉีกกระชากและสลายไป งูน้ำได้หักล้างพายุเพลิงหายไป
กระสุนเวทมนตร์ถูกยิงออกมา ทันทีที่งูน้ำขนาดใหญ่ 2 ตัวสลายหายไป มันพุ่งตรงไปยังหน้าอกของบารอส บารอสตกใจอย่างมากและกระอักเลือดจำนวนมากออกมา กระดูกซี่โครงหลายซี่ของเขาแตกในทันที และล้มลงกับพื้น ปากหายใจหอบอย่างหนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ทั้งลานประลอง เงียบสงัด ไม่มีใครคิดว่าหยางเฟยจะสามารถเอาชนะบารอสได้ จอมเวทย์ชั้นสูงที่สามารถกลายเป็นจอมเวทย์ระดับตำนานได้
บารอสไอออกมาเป็นเลือดและพูดขึ้นอย่างช้าๆ “เจ้าชนะ!”
หยางเฟยยิ้มเล็กน้อย ลัดมนตราถูกใช้อีกครั้ง เวทย์น้ำฟื้นฟูลอยเข้าไปหาร่างของบารอสทันที
ภายใต้การฟื้นฟูของเวทย์น้ำ อากาศบาดเจ็บของบารอส ทั้งซี่โครงที่แตกและอาการบาดเจ็บภายนอกทั้งหมดได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว
บารอสลุกขึ้นจากพื้นและเดินเข้ามาหาหยางเฟย เขากลั้นลมหายใจและถอนหายใจยาว “ข้าได้พบกับนายท่านแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าคือผู้ติดตามที่จงรักภักดีของท่าน”
การเดิมพันการต่อสู้ระหว่างบารอสและหยางเฟย จอมเวทย์วังหลวงทั่วทั้งหอคอยสีขาวสามารถเป็นพยานได้ทั้งหมด หากบารอสผิดสัญญา เขาไม่อาจอยู่ในหอคอยสีขาวได้อีก
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า จอมเวทย์ที่เป็นผู้ชมทุกคนค่อยๆสลายตัวไปอย่างช้าๆ พวกเขาทั้งหมดรู้แล้ว หยางเฟยจะได้มาเป็นจอมเวทย์วังหลวงที่แท้จริง และยังมีอำนาจและถือได้ว่าเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่แข็งแกร่งในตำหนักจอมเวทย์
“ท่านเอียน ข้า จอมเวทย์ระดับตำนาน บลันก้า ข้าหวังว่าจะได้พบเจ้า”
เสียงดังขึ้นทันทีในลานประลองเวทมนตร์ แสงไฟถูกส่องลงไปปรากฎขึ้นด้านหน้าหยางเฟย
บารอสตกใจอย่างมากและร้องเสียงหลง “ท่านบลันก้า!!”
จอมเวทย์ระดับตำนาน บลันก้า เป็นหนึ่งในจอมเวทย์ที่ทรงพลังมากที่สุดในจอมเวทย์วังหลวง ด้วยพลังอำนาจที่แข็งแกร่ง ในตอนแรก จักรวรรดิมอร์ริสได้จ่ายเงินมหาศาลในการดึงตัวบุคคลนี้มาในตำหนักจอมเวทย์ได้
บุคคลที่แข็งแกร่งมากที่ตายภายใต้น้ำมือของบลันก้ามีจอมเวทย์ระดับตำนาน 3 คนและปรมาจารย์ดาบ 2 คน เขาเป็นที่รู้กันว่าเป็นหนึ่งในจอมเวทย์ที่ทรงพลังมากที่สุดในด้านการต่อสู้
เมื่อเทียบกับบลันก้าแล้ว บารอสเปรียบเสมือนเด็กและผู้ใหญ่ ช่องว่างมหาศาลขวางกั้นระหว่างพวกเขา
หยางเฟยชะงักไปจังหวะหนึ่งและก้าวไปยังแสง
แสงสว่างที่ส่องลงมา หยางเฟยหายไปจากแสงที่อยู่ตรงนั้น
บารอสมองไปที่แสงที่ส่องลงมาด้วยสายตาสับสน เขาถอนหายใจเล็กน้อยและเดินออกไป
ในห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือ แสงสว่างส่องลงมา หยางเฟยเดินออกมาจากแสงและมองเห็นบลันก้ากำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
บลันก้ามองไปยังแสงสว่างและแสดงความเคารพในฐานะจอมเวทย์ เผยรอยยิ้มออกมา “สวัสดี ท่านเอียน ข้าบลันก้า!”
หยางเฟยแสดงความเคารพออกมาในแบบของจอมเวทย์และยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้น “สวัสดี ข้า ข้า เอียน!”
“นั่งก่อนสิ!”
หยางเฟยและบลันก้านั่งบนโซฟาทั้ง 2 ตัว
สายตาของบลันก้าเปล่งประกายและถามออกมาด้วยความกระตือรือร้น “ท่านเอียน ท่านสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเวทมนตร์สินะ!”
หยางเฟยถอนหายใจอย่างระมัดระวังและพูดขึ้น “ความหมายที่แท้จริงของเวทมนตร์มีเพียงตระกูลสายเลือดเทพเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้ ข้าเป็นเพียงมนุษย์ ข้าไม่กล้าฝ่าฝืนกฎของเทพ!”
ความหมายที่แท้จริงของเวทมนตร์มีเพียงอาร์ชบิชอปแห่งวิหารเทพ หรือไม่ก็ตระกูลสายเลือดเทพ เอลฟ์, ปีศาจ, มาร, และสิ่งมีชีวิตที่สามารถบ่มเพาะพลังได้ สำหรับจอมเวทย์มนุษย์นั้นถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด
บลันก้าเริ่มสงบลงและพูดขึ้น “ในโลกนี้ ตระกูลสายเลือดเทพนั้นสามารถบ่มเพาะพลังได้ทั้งพลังเวทย์และพลังปราณ ท่านเอียน ถ้าท่านเข้าใจถึงความหมายของเวทมนตร์ที่แท้จริง ท่านสามารถบ่มเพาะพลังเวทย์และพลังปราณได้อย่างไร?”
การคงอยู่ของข่ายมนตรา ทำให้จอมเวทย์ในดินแดนเฟย์สือร่ายเวทย์ได้เร็วขึ้น ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะลืมเวทย์ที่จดจำไว้ในวันก่อนหน้า ดังนั้นทุกวันพวกเขาต้องจดจำบทเวทย์ เมื่อเป็นเช่นนั้น มันเป็นไปไมได้เลยที่จะบ่มเพาะพลังได้ทั้ง 2 สาย
ในโลกมนุษย์ มีเพียงคนจากตระกูลสายเลือดเทพเท่านั้นที่เข้าใจในความหมายที่แท้จริงของเวทมนตร์ พวกเขาสามารถบ่มเพาะพลังได้ทั้ง 2 สายและกลายมาเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งของดินแดนแห่งนี้
หยางเฟยฉีกยิ้ม “ในโลกใบนี้ มีอัจฉริยะมากมาย ยกตัวอย่างเช่นยังมีวีรบุรุษในตำนานของตระกูลชาลาแมน เมื่อ 100 ปีก่อน เขาไม่ได้เป็นเพียงคนธรรมดา ขาเป็นผู้บ่มเพาะพลัง 2 สายและก่อตั้งตระกูลชาลาแมนขึ้นมา และทำให้ตระกูลชาลาแมนเป็นหนึ่งในตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิไม่ใช่หรือ?”
ดินแดนเฟย์สือมีเหล่าเทพมากมาย อีกทั้งยังมีพืชที่ล้ำค่ามากมาย สิ่งปลูกสร้างโบราณที่ชื่อว่า วอร์คราฟ และยังมีซากปรักหักพักของเหล่าเทพบรรพกาล
เหล่าเทพในดินแดนเฟย์สือผ่านสงครามที่โหดร้ายกับวอร์ล็อคมนุษย์ในดินแดนคังฉี ในขณะเดียวกันก็มีเทพใหม่ๆเกิดขึ้น บนโลกมนุษย์จึงมีสมบัติมากมายให้ค้นหา
เนื่องจากการผจญภัยเหล่านั้น ชาลาแมนจึงกลายเป็นผู้บ่มเพาะพลัง 2 สาย นอกเหนือจากตระกูลสายเลือดเทพ วีรบุรุษระดับตำนานของจักรวรรดิมอร์ริส ผู้ก่อตั้งตระกูลชนชั้นสูงจำนวนมากของจักรวรรดิมอร์ริส
มนุษย์ที่ไม่ได้เกิดจากตระกูลสายเลือดเทพ ก็สามารถมีพลังในการบ่มเพาะพลังทั้ง 2 สายได้เช่นกัน แน่นอนว่ามีจำนวนน้อยมาก แม้ว่าจะหายาก แต่ก็ยังคงมีอยู่ หยางเฟยจึงไม่กังวลว่าเขาจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนอกรีตและกล่าวหาว่าเป็นพวกนับถือปีศาจ
หยางเฟยลุกขึ้นและเตรียมจะออกไป “ใครก็ตามที่แสวงหาความหมายที่แท้จริงของเวทมนตร์จะกลายเป็นที่เกลียดชังของเทพธิดามนตรา ท่านบลันก้า วันนี้ข้าไม่สะดวก ขอตัวก่อนขอรับ”
ทันใดนั้น บลันก้ายิ้มและพูดขึ้น “เจ้าไม่ได้เป็นผู้คลั่งไคล้ในเทพธิดามนตรา!”
หยางเฟยมองอย่างเงียบๆไปที่บลันก้าและไม่พูดสิ่งใดออกมา
บลันก้าวิเคราะห์อย่างใจเย็น “ถ้าเจ้าเป็นผู้คลั่งไคล้ในเทพธิดามนตรา เมื่อเจ้าได้ยินคำว่าความหมายที่แท้จริงของเวทมนตร์ เจ้าจะต้องมีปัญหากับข้าทันที ข้าเคยพบผู้ศรัทธาอย่างบ้าคลั่งมามากมายส สำหรับผู้ศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตราบเท่าที่ข้าพูดผิดหูเจ้า เจ้าจะบ้าคลั่งในทันที แต่เจ้าไม่ได้บ้าคลั่ง แถมยังสงบเกินไป ดังนั้นเจ้าไม่ใช่ผู้คลั่งไคล้ในเทพธิดามนตรา”
หยางเฟยตื่นตระหนกในใจทันที เขามองไปที่บลันก้า แววตาของเขาชื่นชมอย่างมาก เขาไม่เคยเป็นผู้ศรัทธาในเทพองค์ใด แต่เขากลายมาเป็นผู้ศรัทธาอย่างบ้าคลั่งของเทพธิดามนตรา ด้วยความช่วยเหลือของหุ่นยนต์จำลองกระแสพลัง
บลันก้าวางกับดักไว้ตั้งแต่แรก แต่หยางเฟยไม่ทันได้สังเกต เนื่องจากหยางเฟยไม่ได้เป็นผู้ศรัทธาอย่างบ้าคลั่งมาตั้งแต่แรก
บลันก้ายิ้มและมองไปที่หยางเฟย ก่อนจะพูดเบาๆ “อย่างคิดจะสังหารข้าเชียว! ในห้องนี้ ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้ แม้แต่ปรมาจารย์หักดารา ภายในห้องนี้ มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกมันอยู่ ต้องมีครึ่งเทพเท่านั้นที่สามารถพาเจ้าหนีไปจากข้าได้”
จอมเวทย์ระดับตำนานที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สามารถสังหารเขาได้ โดยเฉพาะกับจอมเวทย์ที่เตรียมพร้อมมาเป็นเวลานาน