Mechanical God Emperor - ตอนที่ 268
268 – เทคนิคเวทมนตร์ ลัดมนตรา
ตูม!!
เสียงดังสนั่น พร้อมด้วยการระเบิดขนาดใหญ่ขึ้นในห้องทดลองภายในหอคอยสีขาว คลื่นระเบิดได้ทำลายประตูห้องทดลองแหลกเป็นผุยผง
ร่างหนึ่งเป็นสีขาว ชุดคลุมจอมเวทย์ถูกสวมลงบนร่างอย่างมีระเบียบ ผมที่ยุ่งเหยิงราวกับรังนก ชายชรากางสนามพลังเดินออกมาจากห้องทดลอง
ดวงตาของชายชรามีสีแดงกล่ำ และสาปแช่งขึ้นมาอย่างหัวเสีย “บัดซบ ล้มเหลวอีกแล้ว!! มันผิดพลาดตรงไหนกัน? เวทย์ระดับ 4 มีเพียงแต่เทพที่สามารถร่ายได้อย่างนั้นรึ?”
“เฮ้ เกิดอะไรขึ้น? ผู้คนมาทำอะไรกันมากมายขนาดนี้!” ชายชราเปรยขึ้นกับตัวเอง “แม้แต่ตาแก่บลันก้ายังตกใจไปด้วย”
แสงเวทมนตร์ส่องสว่างขึ้น ชายชราหายตัวไปในทันที
ในลานประลองเวทมนตร์ของหอคอยสีขาว ลานประลองถูกเวทมนตร์ยกตัวให้สูงขึ้นโดยจอมเวทย์ระดับตำนาน แสงสว่างส่องลงมา ชายชราคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้นเหนือลานประลองอีกครั้ง
เหนือลานประลอง มีชายชรารูปร่างผอมบาง ร่างของเขายังคงโด่ดเด่นอย่างผิดปกติ ยืนอยู่ก่อนแล้ว
จอมเวทย์ที่ยืนอยู่บนลานประลองได้มีเพียงจอมเวทย์ระดับตำนานเท่านั้น นั่นหมายความว่ามีชายชรา 2 คนที่เป็นจอมเวทย์ระดับตำนานที่น่าสะพรึงกลัว
ด้านล่างเวทีลานประลอง ที่นั่งทั้ง 1,000 ที่นั่งถูกจับจองจนเต็ม เหล่าจอมเวทย์วังหลวงในหอคอยสีขาวพร้อมหน้ากันเข้ามาในลานประลองเวทมนตร์แห่งนี้ เพื่อเป็นพยานในความพ่ายแพ้ของหยางเฟย
ชายชราที่หัวยุ่งราวกับรังนกนั่งบนเก้าอี้และตะโกนขึ้น “บลันก้า การต่อสู้ของเด็ก 2 คนนี้มันน่าตื่นเต้นอย่างไรกัน?”
บลันก้าตอบเบาๆ “โบลันโด เด็ก 2 คนนี้กำลังเตรียมตัวต่อสู้กัน หนึ่งในนั้นมาจากดินแดนรกร้างเรดเคลย์ เป็นชายหนุ่มที่สร้างเมืองขึ้นในดินแดนรกร้างเรดเคลย์ เขาคือเอียน จอมเวทย์ชั้นสูง!”
โบลันโดตกตะลึง แววตาของเขาเปล่งประกายชื่นชม “ดินแดนรกร้างเรดเคลย์ เขาสามารถสร้างเมืองในแดนปีศาจนั่นได้อย่างไร? เขาทำได้อย่างไรกัน?”
ดินแดนรกร้างเรดเคลย์เป็นดินแดนที่เคยอาบไปด้วยเลือด ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร การจะสร้างเมืองในที่นั่น ต้องให้เทพลงมาชำระล้างดินแดนเหล่านั่นให้บริสุทธิ์ มันถึงจะสามารถเป็นไปได้ ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีวีรบุรุษนับไม่ถ้วนพยายามยึดครองดินแดนรกร้างเรดเคลย์ ผลลัพธ์ทีได้คือความล้มเหลว
นี่เป็นครั้งแรกที่โบลันโดได้ยินว่ามีคนสร้างเมืองขึ้นในดินแดนรกร้างเรดเคลย์ เขาตกตะลึงอย่างมาก
โบลันโดลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววตกใจและพูดขึ้นช้าๆ “บารอสเป็นจอมเวทย์ เอียนกล้าท้าทายเขา แสดงว่าเขาก็เป็นจอมเวทย์เช่ยเดียวกัน เจ้ามาดูเขาในวันนี้ เจ้าคงคิดว่าเขาเข้าถึงความหมายของเวทมนตร์ที่แท้จริงสินะ?”
“ข้าคือจอมเวทย์!!”
“จอมเวทย์ที่แท้จริงต้องไขว่คว้าหาความรู้และความจริง!”
“แม้ว่าข้าจะตาย ข้าก็จะไม่หยุดไล่ล่าหาความรู้ ความจริงอย่างแน่นอน”
“10 ปีก่อนหน้านี้ ข้าได้ละทิ้งทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการไล่ล่าหาความจริง น่าเสียดาย ตอนนี้ข้าไม่สามารถละทิ้งมันได้อีกต่อไป ข้าคิดไว้แล้ว ข้าต้องทำมันให้ได้”
แววตาภายใต้ชุดคลุมนั้น แวววาวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แววตาของโบลันโดเต็มไปด้วยความสับสน เขาถอนหายใจช้าๆ “เจ้ามันบ้าไปแล้ว!!”
โบลันโดเข้าใจถึงสิ่งที่เพื่อนของเขาตัดสินใจจะเดินไปตามเส้นทางที่อันตรายและยากลำบากในการเป็นเทพ จอมเวทย์นับไม่ถ้วนเมื่อผ่านเส้นทางนี้ และเมื่อพวกเขาค้นพบความจริงด้านใดด้านหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดเสียชีวิตภายใต้ความเกรี้ยวกราดของเหล่าเทพ
บลันก้าพูดขึ้นเบา “จอมเวทย์ที่แท้จริงนั้นบ้าคลั่งอยู่แล้ว”
โบลันโดพูดขึ้นอย่างช้าๆ “แม้ว่าเขาจะสามารถยึดครองดินแดนรกร้างเรดเคลย์ได้ เขาก็อาจจะไม่ได้เข้าใจถึงความหมายของเววทมนตร์ที่แท้จริง มีเพียงตระกูลสายเลือดเทพที่เข้าใจมัน ความหมายของเวทมนตร์ที่แท้จริง ความแข็งแกร่งของพลังอำนาจลึกลับ”
บลันก้าพูดเสียงเรียบ “ถ้าเขาไม่เข้าใจ ข้าจะเดินทางไปตระกูลสายเลือดเทพ”
เหล่าเทพส่วนใหญ่ที่จุติขึ้นในดินแดนเฟย์สือ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นมาในตระกูลสายเลือดเทพ มีเพียงคนที่มีพรสวรรค์ในตระกูลสายเลือดเทพเหล่านั้นสามารถบ่มเพาะพลังของจอมเวทย์และนักรบได้ และยังเข้าใจในความหมายของเวทมนตร์ที่แท้จริง มีเพียงคนของตระกูลสายเลือดเทพเท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยเวทมนตร์ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ข่ายมนตรา
เวทมนตร์ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ หากไม่ได้รับการสนุนสนุนจากข่ายมนตราของเทพธิดามนตรา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเวทมนตร์ที่แท้จริงของเหล่าจอมเวทย์ทั้งดินแดน และเวทมนตร์เหล่านั้นจะถูกปลดปล่อยออกมาโดยข่ายมนตรา เมื่อเทพธิดามนตราหายไป เหล่าจอมเวทย์ระดับตำนานทั้งหลายก็จะกลายเป็นประชาชนทั่วไปเท่านั้น
จอมเวทย์ทั่วไปมักแสวงหาความหมายที่แท้จริงของเวทมนตร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งต้องห้ามของเหล่าเทพ เมื่อเทพธิดามนตรารู้ว่ามีคนพยายามเข้าถึงความหมายที่แท้จริงของเวทมนตร์ เทพธิดามนตราจะลงมาและสังหารจอมเวทย์ในทันที ข้อมูลทั้งหมดจะถูกทำลาย เนื่องจากความหมายของเวทมนตร์ที่แท้จริงอาจจะสั่นคลอนฐานอำนาจของเทพธิดามนตราได้
แววตาของโบลันโดเต็มไปด้วยความสับสน ปากของเขาเปิดออกเล็กน้อย เขาถอนหายใจและเงียบลง หัวใจของเขาชื่นชมทางเลือกของเพื่อนเก่าของเขา แต่เขามีครอบครัว ลูกและหลาน เขาไม่สามารถไปแสวงหาความหมายของเวทมนตร์ที่แท้จริงอย่างบ้าคลั่งได้ มิเช่นนั้น ทั้งตระกูลของเขาต้องลงทัณฑ์โดยเทพธิดามนตรา และอาจจะถูกเผาทั้งเป็น
บนที่นั่งสูงเต็มไปด้วยความเงียบ บลันก้าเหลือบมองไปยังลานประลองเวทมนตร์
หยางเฟยยืนอยู่บนลานประลองเวทมนตร์ ด้วยประสาทสัมผัสของวอร์ล็อคระดับ 3 เขารับรู้ได้ถึงดวงตาที่ไม่เป็นมิตรได้จากทุกทิศทาง
จอมเวทย์วังหลวงเป็นกลุ่มคนที่คอ่นข้างพิเศษ จอมเวทย์วังหลวงนั้นนั้นมาจาก 2 แหล่งที่มา หนึ่งคือเป็นจอมเวทย์ที่ได้รับการฝึกฝนมาจากพระราชวังของจักรวรรดิมอร์ริส อีกหนึ่งคือเป็นคนที่ได้รับความรู้และพลังเวทย์จากสมบัติเวทมนตร์
จอมเวทย์วัลหลวงนั้นมีทั้งจอมเวทย์ระดับตำนานและจอมเวทย์ชั้นสูง และยังมีพวกที่มีผลงานนับไม่ถ้วน และพวกที่ทรงพลังมหาศาล พระราชวังมอร์ริสได้ฝึกฝนจอมเวทย์ส่วนใหญ่มาด้วยตัวเอง
หยางเฟยเป็นเพียงจอมเวทย์ชั้นสูงจากต่างแดน แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางที่แท้จริง สำหรับเหล่าจอมเวทย์วังหลวง เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้เป็นจอมเวทย์วังหลวงและมีอำนาจสั่งการพวกเขา
จอมเวทย์ชั้นสูงถือได้ว่าเป็นนายใหญ่ในหลายๆสถานที่ในจักรวรรดิมอร์ริส ขุนนางส่วนมากต้องแสดงความเคารพต่อจอมเวทย์ชั้นสูง สถานะของพวกเขาสูงส่งเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ในพระราชวังมอร์ริส มีจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งมากมาย จอมเวทย์ชั้นสูงไม่ใช้สิ่งที่จะนำไปพูดโอ้อวดใครได้
ภายใต้สายที่ไม่เป็นมิตร หยางเฟยร่ายเวทย์เงียบๆ สายลมรวมตัวกันหอบร่างของเขาลอยขึ้นไปบนลานประลองเวทมนตร์
สายตาของบารอสเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เขาก้าวขึ้นไปบนลานประลองเวทมนตร์ทีละก้าวและเข้ามายืนด้านตรงข้ามกับหยางเฟย
บารอสยิ้มอย่างเย็นชา “เพื่อให้ตัวเองดูดี เจ้ากลับใช้เวทมนตร์อย่างไร้ประโยชน์ ไอ้โง่! ในการต่อสู้ภายในวินาทีเดียว เวทมนตร์นั้นอาจจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้”
บารอสเป็นจอมเวทย์วังหลวงระดับ 3 เขาผ่านประสบการณ์การต่อสู้และการโต้เถียงมานับไม่ถ้วน ในการต่อสู้ที่โหดร้าย เวทย์ทุกบทที่ใช้ต้องผ่านการคำนวณมานับครั้งไม่ถ้วน เนื่องจากเวทย์แต่ละบทที่จอมเวทย์ร่ายได้ในแต่ละวันนั้นสามารถร่ายได้อย่างจำกัด แม้ว่าจะมีโพชั่นเวทมนตร์ที่สามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งของจิตใจได้ แต่เมื่อเวทย์เหล่านั้นถูกใช้หมดไป จอมเวทย์เหล่านั้นจะกลายเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีพลังอำนาจในการต่อสู้
หยางเฟยพูดอย่างใจเย็น “ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าอยู่แล้ว แม้ว่าเจ้าจะเตรียมเวทมนตร์มากี่บท แต่โชคชะตาของเจ้าถูกกำหนดให้พ่ายแพ้อยู่ในมือข้า”
“คนที่จะแพ้ก็คือเจ้า”
บารอสสงบสติอารมณ์ลง สำหรับจอมเวทย์วังหลวงระดับ 3 ที่ผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าจอมเวทย์ต้องสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้ได้ภายใต้การต่อสู้ จอมเวทย์ที่มีจิตใจสงบที่สุดคือจอมเวทย์ที่ทรงพลังมากที่สุด
“การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น!”
จอมเวทย์วังหลวงพูขึ้นเบาๆ ในฐานะกรรมการ
บารอสอ้าปากขึ้นและพ่นคำร่ายลัดมนตราออกมา สนามพลังเวทมนตร์ระดับ 3 ปรากฎขึ้นรอบตัวเขา กลายเป็นโล่หมุนรอบ
จอมเวทย์ชื่นชมขึ้นมา “ลัดมนตรา ร้ายกาจ! สมกับเป็นบารอสจริงๆ!”
จอมเวทย์อีกคนพูดชมขึ้น “เขาควบคุมลัดมนตราได้ ความเร็วในการร่ายของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเทียบเท่ากับจอมเวทย์ระดับตำนานแล้ว!!”
ลัดมนตราเป็นเทคนิคการร่ายเวทย์เร็ว นี่เป็นทักษะเวทย์ระดับสูงที่ทำให้จอมเวทย์ร่ายเวทย์ได้เร็วขึ้นมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า
ในการต่อสู้ระหว่างจอมเวทย์ ความเร็วในการร่ายถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเป็นการต่อสู้ระหว่างจอมเวทย์ในระดับเดียวกัน บางทีช่องว่างของความเร็วในการร่ายเวทย์ที่มากเกินไป ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ได้เลย
ลัดมนตราเป็นการทำลายบทเวทย์ ไม่ใช่ทักษะที่จอมเวทย์ทุกคนสามารถควบคุมได้ มีเพียงจอมเวทย์อัจฉริยะที่มีความสามารถเฉพาะด้านอย่างบารอสเท่านั้นที่สามารถทำได้
บนที่นั่งยกสูง จอมเวทย์ระดับตำนาน 2 คนไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ พวกเขาเป็นจอมเวทย์ระดับตำนานชั้นสูง เทคนิคการลัดมนตรา พวกเขาสามารถควบคุมได้อยู่แล้ว และด้วยพลังของข่ายมนตรา พวกเขาสามารถปลดปล่อยเวทย์ระดับ 3 ได้ถึง 3 บทในทันที จอมเวทย์คนใดก็ตามที่ต้องการท้าทายพวกเขา ต้องจบชีวิตในพริบตาเดียว
“ลัดมนตรา ข้าก็ทำได้! และข้าก็แข็งแกร่งกว่าเจ้า!”
หยางเฟยยิ้มบางๆ หุ่นยนต์จำลองเวทมนตร์ได้จำลองข่ายมนตราของเทพธิดามนตราเปลี่ยนให้เขากลายเป็นผู้ศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง เวทย์ลัดมนตรา 2 ครั้งถูกร่ายออกมาในทันที สนามพลังป้องกันระดับสูงถูกกางขึ้นรอบตัวเขา เวทย์ควบคุมจิตใจระดับ 3 ถูกร่ายออกมาและยิงใส่ร่างของบารอสในทันที