Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ - ตอนที่ 240
ตอนที่ 240 ชื่นชมความงาม
.
เสียงพูดของกลุ่มผู้อาวุโสของสำนักกระบี่พฤกษาขจีพูดคุยกันดังขึ้นมาจากทางด้านข้าง หวังเสียน มองไปยังกลุ่มกองกำลังที่กำลังยืนจับกลุ่มพูดคุยกันที่อยู่ตรงลานกว้างเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไปและหันไปพูดคุยหยอกล้อกับกวนชูชิงและซุนหลิงซิ่ว อย่างอารมณ์ดีต่อไป
“กลุ่มคนที่กำลังเดินตรงมุ่งหน้ามาทางนี้นั่นก็คือคนของตระกูลเฟิงหยาง ส่วนคนที่เดินนำมาทางด้านหน้าสุดนั้นก็คือ เฟิงหยางลี่ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณ!”
” ตระกูลเฟิงหยางเป็นหนึ่งในตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเฟิง พวกเขามีลูกหลานมากมายทั้งตระกูลมีสมาชิกมากกว่า 2,000 คนและพวกเขาเป็นตระกูลใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่าร้อยปี!”
“ชายหนุ่มคนที่อยู่ตรงกลางกลุ่มนั้นก็คือเฟิงหยางไค เขาเป็นเทียนเจียวในอันดับที่ 20 ในการจัดอันดับเยาวชนที่โดดเด่นของโลกยุทธภพ!”
“สวัสดีท่านผู้นำตระกูลเฟิงหยาง!”
“โอ้ว! สวัสดีเช่นกัน! “
เมื่อเจ้าสำนักถังเห็นผู้นำตระกูลเฟิงหยาง เดินเข้ามาใกล้เขาจึงลุกขึ้นยืนและกล่าวคำทักทายอย่างมีมารยาทในทันที
เฟิงหยางลี่ กำลังเดินตรงเข้ามาหาที่นั่งในลานพิธีเขาหันมองไปที่เจ้าสำนักถังพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะทักทายกลับไปตามมารยาทเช่นเดียวกัน แต่ท่าทางและสีหน้าของเขานั้นค่อนข้างที่จะเย็นชา
สิ่งนี้ทำให้เจ้าสำนักถังรู้สึกอับอายเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาได้แต่ฝืนยิ้มอย่างฝืดๆ และนั่งลงในที่ของเขาอย่างสงบ
“เฮ้อ!..สำนักกระบี่พฤกษาขจี นั้นช่างโชคร้ายมากจริงๆ ที่เจ้าสำนักของพวกเขานั้นผิดใจกับผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักวังเปลวไฟ ข้าคิดว่าต่อไปในอนาคตสำนักกระบี่พฤกษาขจี คงจะต้องลำบากมากอย่างแน่นอน!”
” พวกเขาก็คงได้แต่ต้องโทษตัวเองเท่านั้นแหละ สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นในโลกยุทธภพเสมอๆ เมื่อศัตรูคู่อาฆาตของเรานั้นแข็งแกร่ง เราก็ต้องเตรียมใจยอมรับผลที่จะเกิดขึ้น!’
กลุ่มของคนตระกูลเฟิงหยางที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มของสำนักกระบี่พฤกษาขจีนั้น ต่างพูดคุยกันเกี่ยวกับสำนักของพวกเขา ด้วยความสงสารและสมเพช
เรื่องนี้นั้นทำให้กลุ่มคนจากสำนักกระบี่พฤกษาขจีนั้น รู้สึกอับอายและทำอะไรไม่ถูก
“โอ้โห้!..!หญิงสาวนางนั้นคือใครกัน!”
ชายหนุ่มหน้าตาสำอางคนหนึ่งเปิดพัดในมือของเขาขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองไปยังตำแหน่งที่อยู่ทางด้านข้างของหวังเสียน
…..
บุบผาจันทราคราใดสิ้น
เฝ้าถวิลคนึงหาแต่หน้าเจ้า
ลมเคลื่อนบูรพามิบางเบา
เหมันต์หนาวแต่ตัวเรามิหวาดเกรง
ต่อให้ยืนหนาวจิตอกสะท้าน
มิเท่าการไร้คู่ดูอับเฉา
ต่อให้ผืนดินแลผืนฟ้าทารุณเรา
แค่ได้ยลหน้าเจ้าหาหวาดเกรง
แม้ค่ำคืนจะมืดมิดไร้จันทรา
เพียงสบตาชีวินข้าไร้อับเฉา
ต่อให้โลกนี้มืดมิดไร้แสงเงา
ขอเพียงเจ้าหันมองมาข้ายอมทน
เพียงโฉมงามนาม อนงค์ปลงคลายจิต
ให้ข้าพิศมองหน้าอย่าห่างหาย
ต่อให้โลกใบนี้สิ้นมลาย
มิเสื่อมคลายจะรักเจ้าดั่งชีวัน
…..
ชายหนุ่มท่องบทกวีในขณะที่เขาจ้องมองไปยัง ซุนหลิงซิ่ว ด้วยสายตาที่เร่าร้อนและเพ้อฝัน
เมื่อเฟิงหยางลี่ เห็นปฏิกิริยาของลูกชายของเขา เขาเพียงแค่ส่ายหัวเบาๆพร้อมกับยิ้มบางๆออกมาและพูดว่า “เจ้ามานั่งที่นี่ก่อนเถอะ!”
“ท่านพ่อ! ข้าพบลูกสะใภ้ของท่านพ่อแล้วล่ะ!” ชายหนุ่มเจ้าสำอางที่ถือพัดรีบยิ้มออกมาอย่างสดใสและพูดกับพ่อของเขาด้วยความตื่นเต้น
เฟิงหยางลี่ ยิ้มให้กับลูกชายของเขาบางๆก่อนที่จะมองไปที่ ซุนหลิงซิ่ว พูดออกมาว่า “อืม! นางสวยและสง่างามมากเลยทีเดียว เหมาะที่จะเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเฟิงหยางของเรามากจริงๆ!”
” ฮ่าฮ่า! ท่านพ่อช่างรู้ใจลูกนัก” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง
“พี่ไค! หญิงสาวนางนั้นช่างสวยงามมากเลยทีเดียว แต่ข้าสงสัยว่านางนั้นอาจจะมีคู่อยู่แล้วก็ได้นะ!”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆก็ตกตะลึงในความงดงามปานเทพธิดาของ ซุนหลิงซิ่ว และพูดแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างอิจฉา
“ไม่หรอก! นางนั้นนั่งเข่าชิดติดกันและระยะห่างระหว่างคิ้วยังสั้นมาก หญิงสาวนางนี้ยังบริสุทธิ์อยู่อย่างแน่นอน!”
เฟิงหยางไค โบกพัดในมือของเขาอย่างช้าๆในขณะที่เขาพูดต่อไปอีกว่า “หายากยิ่ง! หญิงสาวเช่นนี้ช่างหายากยิ่งนัก! ช่างสง่างามและสูงศักดิ์เป็นอย่างยิ่ง! ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอทำความรู้จักกับนางเสียแล้ว!”
เมื่อเขาพูดจบเขาก็เข้าไปทักทายซุนหลิงซิ่ว “สวัสดีแม่นาง ข้ามีนามว่าเฟิงหยางไค เป็นคนของตระกูลเฟิงหยาง แม่นางช่างงดงามดึงดูดสายตาข้าอย่างยิ่ง ข้าขอทราบนามแม่นางจะได้ไหม!”
เฟิงหยางไค เก๊กหน้าหล่ออย่างเต็มที่พร้อมกับโบกพัดเบาๆ เพื่อความเท่ เมื่อมองดูแล้วทำให้เขานั้นเหมือนคุณชายที่สง่างามมากเลยทีเดียว
ซุนหลิงซิ่ว กำลังนั่งอ่านหนังสือการแพทย์อยู่ข้างๆ หวังเสียน เธอไม่ได้สนใจสิ่งที่เฟิงหยางไค พูดออกมาเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบๆ
ในขณะที่เธอนั่งอ่านหนังสืออยู่ท่าทางและความสง่างามของเธอนั้นเหมือนกับเทพธิดาจากสวรรค์ชั้นฟ้าเลยทีเดียว
“ซุนหลิงซิ่ว สวยงามน่าดึงดูดใจมากเลยจริงๆ ถึงกับมีคนเดินเข้ามาพูดจีบอย่างตรงๆเลยทีเดียว!” กวนชูชิง แอบกระซิบพูดคุยกับหวังเสียน ด้วยความรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
“คุณก็สวยงามและน่าดึงดูดใจไม่แพ้เธอหรอก ชูชิง! ” หวังเซียนยิ้มและบีบจมูกของเธอเบาๆ จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองที่ ซุนหลิงซิ่ว
เมื่อกลุ่มคนจากสำนักกระบี่พฤกษากับขจี เห็นเฟิงหยางไค เข้ามาทักทายพูดคุยกับหญิงสาวที่มากับหวังเสียน พวกเขาต่างหันไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“โอ๊ะ?” เมื่อเห็นซุนหลิงซิ่วไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย เฟิงหยางไค ก็รู้สึกประหลาดใจ
“พี่ไคมีอะไรเหรอ? ทำไมพี่ไม่ให้ข้าได้ลองพูดคุยกับนางดูบ้างล่ะ!”
ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้างๆพูดด้วยรอยยิ้มออกมาเมื่อเขาเห็นว่าซุนหลิงซิ่วเพิกเฉยต่อพี่ชายของเขา
เฟิงหยางไค ดูลำบากใจเล็กน้อย เขาโน้มตัวไปหาซุนหลิงซิ่วอีกครั้งและถามว่า “แม่นาง! ข้านั้นทักทายเจ้าด้วยดีแต่เจ้าไม่สนใจผู้อื่นเยี่ยงนี้มันถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติกันเลย! นับว่าหยาบคายมากเลยทีเดียว!”
“นายของข้า ไม่แลดูมองเจ้าหรอก เจ้าคนขนหนา รีบเดินทางไปให้ไกลแล้วอย่ากลับมาอีก!”
หมอโลหิตหรือเสี่ยวหง ที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของซุนหลิงซิ่ว เงยหน้าขึ้นมามองและพูดออกมาด้วยความดูถูก
แต่ภาษาจีนกลางที่เลอะเทอะของเขามันฟังดูแปลกๆและค่อนข้างจะตลกสิ้นดี
“ห๊ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวหง เฟิงหยางไค ก็ตกใจเล็กน้อย เขาเหล่ตาและจ้องไปที่เขาเสี่ยวหงด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร!”
“ฮึ! ข้าเฟิงหยางไค เข้ามาสนทนากับเจ้าอย่างเป็นมิตรแต่พวกเจ้ากำลังดูถูกข้าและตระกูลเฟิงหยางของข้าอย่างนั้นหรือ!”
ใบหน้าของเขามืดมนลงพร้อมกับจ้องมองไปที่ ซุนหลิงซิ่ว ซึ่งยังคงอ่านหนังสืออยู่ ในดวงตาของเขาฉายแววความโกรธเกรี้ยวออกมา
อย่างไรก็ตามซุนหลิงซิ่วยังคงไม่พูดอะไรออกมาสักคำ หมอโลหิตเสี่ยวหงเดินไปข้างหน้าและจ้องมองเขาด้วยความรังเกียจ จากนั้นเขาก็พูดว่า “เจ้าหนุ่มหน้าเล็กรีบย่อยสลาย … หายตัวไปซะไกลพ้น!”
หมอโลหิตพูดออกมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม
ปับบ!
“แกหุบปากไปซะไอ้ฝรั่งบัดซบ!”
เมื่อเฟิงหยางไค ได้ยินหมอโลหิตพูดออกมาเช่นนั้น เขาก็พับพัดในมือของเขาอย่างแรง แล้วตะโกนออกมาด้วยความโมโห พัดในมือของเขานั้นไม่ใช่พัดธรรมดาแต่มันเป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่ทำมาจากโลหะ
“แม่นางเจ้านั้นช่างเย่อหยิ่งมากเกินไปเสียจริงๆ!” เขามองไปที่ซุนหลิงซิ่ว ด้วยสายตาเย็นชา
สมาชิกบางคนจากตระกูลเฟิงหยางก็ขมวดคิ้วและหันไปมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสับสน
“F * ck แม่ของเจ้าเอง! เจ้าขอให้ข้าปิดปากเอาไว้ แล้วข้าจะกินอาหารและพูดได้อย่างไร? แกจงใจหาเรื่องข้าไหม หือ! บอกมาไอ้สารเลว!”
เมื่อหมอโลหิตได้ยิน เฟิงหยางไค บอกให้เขาหุบปากเขาก็รู้สึกโมโหมากในทันที
“เชี่ยยย?”
“มันพูดอะไรของมันวะ!”
“…..”
หวังเซียนเสี่ยวหยูและฝูงชนที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่อย่างเงียบ ๆ จากทางด้านข้างอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา คนจากสำนักกระบี่พฤกษาขจี ก็ตกตะลึงกันมากเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างมองไปที่หมอโลหิตด้วยความงุนงง
ชาวต่างชาติที่แต่งตัวดีและดูเรียบร้อยเหมือนผู้ดีอังกฤษ กำลังพูดภาษาจีนกลางออกมาอย่างหยาบคาย ใบหน้าและท่าทางที่จริงจังของเขานั้นมันน่าตลกอย่างแท้จริง
แม้แต่ซุนหลิงซิ่วที่กำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักออกมา
“เจ้า!! …”
การแสดงออกของ เฟิงหยางไค เปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเขาจงมองไปที่หมอโลหิตพร้อมกับกลิ่นอายสังหาร
ความตั้งใจฆ่าของเฟิงหยางไคเปล่งประกายออกมาจากดวงตาของเขา และพุ่งเป้าไปยังหมอโลหิตโดยตรง
“ไอ้หมาต่างชาติบัดซบแกอยากตายมากนักใช่ไหม!” เฟิงหยางไค เหวี่ยงพัดในมือของเขาไปที่หน้าอกของหมอโลหิตทันที
“ไอ้แมลงมด ข้าสามารถบดเจ้าจนแบนด้วยการขยับแขนข้างเพียงมือเดียว!”
หมอโลหิต โกรธมาก แต่เขาก็ยังพูดออกมาไม่ค่อยจะถูกอยู่ดี เขายกมือตบไปที่ใบหน้าของเฟิงหยางไค อย่างรวดเร็ว
“อะไรกัน?”
เฟิงหยางไค ตกใจมาก หลังจากนั้นแรงส่งทำให้เขาล้มลงกับพื้น
พลั๊กก!
ร่างของเขาไถลไปกับพื้นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก!
“เลือดสกปรก! เจ้าทำให้มือของข้าสกปรกเลย อี๊~! “
หมอโลหิต เห็นคราบเลือดจางๆ บนมือของเขา เขารีบเช็ดมันออกด้วยทิชชู่พร้อมกับโวยวายออกมาด้วยความรังเกียจ
“เจ้ามันขี้เหร่อย่างน่ารังเกียจ แค่กลิ่นลมหายใจเหม็นๆ ของเจ้าข้าก็ทนไม่ไหวแล้ว ยังคิดจะเข้ามาพูดกับเจ้านายของข้าอีกอย่างนั้นรึ?”
หมอโลหิตยกเท้าเหยียบไปที่ใบหน้าของ เฟิงหยางไค ด้วยความรังเกียจพร้อมกับพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษอย่างลืมตัว
“You must be tired of living!” (แกคงเบื่อชีวิตของแกมากสินะ!)
………
จบบท
EndNote: ตามสเต็ปเดิม ฉากโลกยุทธภพมาแบบนี้ ก็ต้องขออนุญาตใช้คำพูดโบราณย้อนยุค ผสมปนลงไปสักเล็กน้อย