Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ - ตอนที่ 239
ตอนที่ 239 กองกำลังระดับต้นๆแห่งมณฑลทางตอนใต้
.
“ชูชิง ฉันจะกลับไปที่บริษัทก่อนเพื่อทำธุระบางอย่าง เธอต้องจับตามองและระวังเขาเอาไว้ให้ดีผู้ชายคนนี้ไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ!”
ก่อนที่ หลานชิงเยว่ จะจากไปเธอจ้องมองไปที่ หวังเสียน และพูดกระตุ้นเตือน กวนชูชิง
“ไม่ต้องห่วง! ฉันจะคอยดูเขาอย่างดีเลยทีเดียว!”
กวนชูชิง พยักหน้ารับ
“เฮ้ออ!” หวังเสียน ถอนหายใจออกมาเบาๆพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินแม่เสือสาวทั้งสองคน ส่งคำเตือนมาให้กับเขา
” หมอเทวะหวังไปกันเถอะกว่าจะถึงภูเขาหวู่ต้วน น่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง!”
ผู้อาวุโสฟางมองไปที่หวังเสียนและพูดเพื่อเตือนเขาเวลากับเขา ก่อนที่เธอจะส่ายหัวเบาๆพร้อมกับคิดเล็กน้อยว่าหากเธอต้องมีแฟนอย่างหวังเสียน เธอคงต้องปวดหัวมากอย่างแน่นอน
“ไปขึ้นรถ RV กันเถอะ รถคันนี้กว้างขวางและนั่งสบายอย่างมากเลยทีเดียว!” หวังเสียน พยักหน้าชักชวนทุกคน ก่อนที่พวกเขาจะเดินมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถของวิลล่า
เสี่ยวหยู, ผู้อาวุโสฟาง, กวนชูชิง, ซุนหลิงซิ่ว, หมอโลหิต(เสี่ยวหง), โม่หยวน, โม่ชิงหลง และ หวังเสียน มีทั้งหมดแปดคน หมอโลหิตนั้นอยู่ในชุดทักซิโด้สีแดงสดใสตามปกติของเขา ใบหน้าของเขานั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อสังเกตกลุ่มคนทั้งหมดที่อยู่รวมกันในตอนนี้ หากให้นับกันจริงๆแล้วในกลุ่มนี้มีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณมากมายเลยทีเดียว นายหญิงของเขา นายผู้ชายหรือหมอเทวะหวัง คนรับใช้ของนายผู้ชายอีก 2 คนรวมถึงตัวเขาด้วยรวมเป็นทั้งหมด 5 ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณ ถ้าเพิ่มผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณอีกเพียงไม่กี่คนก็สามารถก่อตั้งตระกูลหรือกองกำลังระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสบายเลยทีเดียว
“นายท่านขอรับ นี่คือข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับสำนักวังเปลวไฟ ที่ทีมของโม่หยวนหาข้อมูลมาได้ขอรับ!” โม่ชิงหลงส่งเอกสารทั้งหมดให้กับหวังเสียน ในรถ
“อืมม! ” หวังเสียนรับมันมาด้วยความประหลาดใจ เสี่ยวหยูและผู้อาวุโสฟาง หันไปมองเอกสารที่อยู่ในมือของหวังเสียน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พวกเขามีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณ 13 คน, ครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณ 30 คน, นักรบระดับขั้นที่ 9 ประมาณ 80 คน, ลูกศิษย์วีรบุรุษหนุ่มและวีรสตรีสาวรุ่นเยาว์ที่ติดอันดับเทียนเจียว(บุตรแห่งสวรรค์) ในรายชื่อการจัดอันดับของโลกยุทธภพอยู่ที่อันดับ 14 และอันดับ 17 ตามลำดับ!”
เสี่ยวหยูและผู้อาวุโสฟางอ่านข้อมูลที่อยู่ในเอกสารเสียงดังเพื่อให้คนที่อยู่ในรถได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสำนักวังเปลวไฟ พร้อมกันในครั้งเดียว
“สำนักของพวกเขาแข็งแกร่งมาก พวกเขามีระดับผู้เชี่ยวชาญก่อกำเนิดลมปราณตั้ง 13 คน!” เสี่ยวหยู อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ “สำนักของพวกเขานั้นช่างน่าเกรงขามมากจริงๆเลย!”
“ตามข้อมูลที่สำนักกระบี่พฤกษาขจี เคยได้รับมานั้นสำนักวังเปลวไฟ ของพวกเขามีระดับผู้เชี่ยวชาญก่อกำเนิดลมปราณ เพียงแค่ 11 คนเท่านั้น มีครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณ 10 คนและมีระดับนักรบขั้นที่ 9 ไม่ถึง 40 คน!”
“ข้อมูลของโม่หยวนได้รับการยืนยันความถูกต้องจากสายข่าวของเราเรียบร้อยแล้ว!” โม่ชิงหลงหันไปพูดกับผู้อาวุโสฟาง
“ดูเหมือนว่า สำนักวังเปลวไฟ ได้ปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขาเอาไว้ พวกเขานั้นสมควรที่จะอยู่ในระดับชั้นกองกำลังศักดิ์สิทธิ์จริงๆ!” ผู้อาวุโสฟางพูดขึ้นมาด้วยความหดหู่
เมื่อเทียบกับสำนักวังเปลวไฟ ที่มีอำนาจที่ครอบงำเช่นนี้แล้ว สำนักกระบี่พฤกษาขจีก็ไม่มีที่จะต้องไปเปรียบเทียบกับพวกเขาได้เลย “ท่านอาจารย์สำนักวังเปลวไฟ จะกลั่นแกล้งสำนักกระบี่พฤกษาขจีของพวกเราหรือไม่?” เสี่ยวหยู มองไปที่อาจารย์ของเธอด้วยความกังวล
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก สำนักของพวกเรานั้นก็ไม่ง่ายที่จะกลั่นแกล้งเช่นเดียวกันอย่างน้อยพวกเขาจะต้องคิดทบทวนให้ดีเสียก่อน หากคิดจะทำเช่นนั้น!” ผู้อาวุโสฟางยิ้มให้กับเสี่ยวหยู แต่ในใจลึกๆของเธอนั้นก็มีความกังวลอยู่มากเช่นเดียวกัน
“ใจเย็นๆ! วางใจเถอะพี่อยู่ด้วยทั้งคน ไม่มีใครจะสามารถกลั่นแกล้งน้องและสำนักกระบี่พฤกษาขจีได้อย่างแน่นอน!” หวังเสียน ยิ้มและลูบหัวของ เสี่ยวหยู
“ใช่! ฉันยังมีพี่ชายที่เก่งและน่าเกรงขามมากๆอยู่อีกทั้งคนนี่นา ฮิฮิ!” เสี่ยวหยู เงยหน้าขึ้นมองหวังเสียน พร้อมกับมีรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างอารมณ์ดี
รถ RV ขนาดใหญ่แบบปรับแต่งพิเศษ ขับไปบนท้องถนนอย่างรวดเร็ว
ภูเขาหวู่ต้วน ตั้งอยู่ในเมืองทางตอนเหนือของจังหวัดตงฉิง
ภูเขาหวู่ต้วน ประกอบด้วยยอดเขาสูงมากกว่า 100 เมตร มีทัั้งหมดห้ายอดเขา โอบล้อมรอบพื้นที่ได้อย่างสวยงามเหมือนกับเป็นปราการขวางกั้นทางธรรมชาติที่ยอดเยี่ยม
พื้นที่บริเวณนี้นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามแห่งหนึ่งในจังหวัดตงฉิง และจะเปิดให้เข้าท่องเที่ยวได้ในเฉพาะฤดูใบไม้ผลิเพียงเท่านั้น ฤดูอื่นจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในเขตภูเขาหวู่ต้วนอย่างเด็ดขาด
ภูเขา หวู่ต้วน มีทางเข้าห้าเส้นทาง หวังเสียนและกลุ่มพรรคพวกของเขา เริ่มมองสังเกตสภาพแวดล้อมหลังจากที่รถจอดตรงทางเข้า
พื้นรอบยอดสูงตระหง่านกว่า 100 เมตรปูด้วยหินอ่อนตลอดเส้นทาง
รถหรูหลายชนิดถูกจอดอยู่ในที่จอดรถ มีกลุ่มชาวยุทธหลายสิบกลุ่มหยุดรวมตัวกันเพื่อรอเดินเข้าไปข้างใน
ที่ประตูทางเข้ามีนักรบหลายสิบคนยืนเรียงแถวรอต้อนรับแขกกันอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาแต่งกายด้วยชุดของสำนักที่มีรูปเปลวไฟขนาดใหญ่ปักอยู่ทางด้านหน้าและด้านหลัง
“แม้แต่ผู้ที่รอต้อนรับแขกที่ประตูทางเข้ายังเป็นนักรบระดับขั้นที่ 7ระดับความแข็งแกร่งของสำนักพวกเขานั้นน่ากลัวมากเลยทีเดียว!”
“ไม่น่าแปลกใจที่ สำนักวังเปลวไฟ สามารถเป็นกองกำลังเดียวในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ที่สามารถเลื่อนขั้นเป็น กองกำลังระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ นี่เป็นการบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาได้เป็นอย่างดี!”
” สำนักศักดิ์สิทธิ์ … เมื่อไหร่ที่พวกเราจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์บ้างนะ? เฮ้อ!ข้าเดาว่าสำนักของพวกเราคงไม่มีความหวังเสียแล้วล่ะ!”
เหล่าตระกูลและสำนักที่มีอิทธิพลที่มาร่วมในงานพิธีแสวงบุญของสำนักวังเปลวไฟ ต่างตกตะลึงระดับความแข็งแกร่งของสำนักวังเปลวไฟเมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มทหารยามที่ประตูทางเข้า ความสามารถของนักรบระดับขั้นที่ 7 นั้นสามารถควบคุมเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งได้เลยทีเดียว
“ฉันได้ยินมาว่านักรบระดับขั้นที่ 7 นั้นคือระดับขั้นต่ำที่สุดของสำนักวังเปลวไฟ และมีลูกศิษย์ในระดับนี้มากมายหลายร้อยคน ช่างน่าตกใจมากเสียจริงๆ!’
“อืม! ฉันก็รู้มาว่ามีระดับผู้เชี่ยวชาญก่อกำเนิดลมปราณของสำนักวังเปลวไฟถึง 4 คนที่คอยควบคุมความเรียบร้อยอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าอย่างเงียบๆอีกด้วย!”
ในขณะที่กลุ่มของพวกหวังเสียน กำลังเดินตรงเข้าไปข้างในพวกเขาก็ได้ยินกลุ่มของชาวยุทธที่อยู่บริเวณใกล้เคียงพูดคุยกันเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของสำนักวังเปลวไฟ
“กรุณาแสดงบัตรเชิญของพวกคุณด้วยครับ!” ทหารยามที่อยู่ประตูทางเข้าของสำนักวังเปลวไฟ ถามพวกเขาด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม
โม่ชิงหลง วางบัตรเชิญ 2 ใบไว้ที่บนโต๊ะ ทหารยามที่อยู่บริเวณประตูทางเข้ามองบัตรเชิญแล้วแสดงท่าทางให้พวกเขาเข้าไปข้างในได้
“โอ้โห้!ช่างเป็นลานจัตุรัสที่กว้างและใหญ่โตอะไรขนาดนี้เนี่ย!”
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในภูเขาหวู่ต้วน พวกเขาก็เห็นจัตุรัสอันกว้างใหญ่อยู่ตรงเบื้องหน้าของพวกเขา
เสี่ยวหยูตะโกนออกมาด้วยความตกใจเมื่อมองเห็นสภาพแวดล้อมบริเวณโดยรอบ
ที่ตรงกลางของลานจัตุรัสมีหม้อกลั่นยาขนาดใหญ่สูง 5 เมตรวางเอาไว้อยู่อย่างโดดเด่น
เปลวไฟขนาดมหึมากำลังลุกไหม้อยู่ในเตา ทำให้มันดูงดงามแปลกตายิ่งนัก
นักรบระดับขั้นที่ 8 หลายสิบคนของสำนักวังเปลวไฟ ล้อมรอบหม้อกลั่นยาเป็นวงกลม
พื้นที่ลานกว้างของจัตุรัสนั้นมีรัศมีความกว้างประมาณ 2-3 กิโลเมตร
ที่ตรงกึ่งกลางของจัตุรัสนั้นมีสนามประลองโบราณตั้งอยู่ด้วย
ในเวลานี้มีผู้คนมากกว่าหนึ่งพันคนเข้ามารวมตัวกันอยู่บริเวณโดยรอบของสนามประลอง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีผู้คนนับพันอยู่ที่ลานกว้างแต่มันก็ยังมีพื้นที่กว้างขวางเหลืออยู่อีกมากมาย
มีต้นสนขนาดใหญ่อยู่รอบๆจัตุรัสทำให้บรรยากาศนั้นดูเก่าแก่โบราณคล้ายกับโลกยุทธภพในสมัยโบราณมากเลยทีเดียว
“เหล่าผู้อาวุโสและท่านเจ้าสำนักถังก็อยู่ที่ตรงนั้นด้วย!”
เสี่ยวหยู พูดขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่กลุ่มคนที่อยู่ทางด้านขวาของลานกว้าง
” ไปที่ตรงนั้นกันเถอะ!” ผู้อาวุโสฟาง หันไปพูดกับคนในกลุ่ม ก่อนที่เธอจะเดินตรงไปยังกลุ่มคนของสำนักกระบี่พฤกษาขจีที่ยืนอยู่
“คารวะท่านเจ้าสำนักถัง!”
เสี่ยวหยูและผู้อาวุโสฟาง เดินตรงเข้าไปทักทายเจ้าสำนักถังด้วยความเคารพ
“คารวะธิดาสวรรค์!”
กลุ่มคนของสำนักกระบี่พฤกษาขจีกว่า 20 คนรวมถึงเหล่าผู้อาวุโสของสำนักอีกหลายคนต่างเข้ามาทักทายเสี่ยวหยู กันด้วยความยินดี
และเนื่องจากในตอนนี้สำนักวังเปลวไฟและสำนักต่างๆ ต่างรู้เรื่องเกี่ยวกับเสี่ยวหยู ที่เป็นธิดาสวรรค์ของสำนักกระบี่พฤกษาขจีแล้วพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังและเก็บซ่อนอีกต่อไป
“หมอเทวะหวังขอขอบคุณมาก ที่คุณอุตส่าห์มาที่นี่ด้วย!”
เจ้าสำนักถังโค้งคำนับให้กับหวังเสียน
หวังเสียน ยกมือโบก ” สำนักวังเปลวไฟ จะเริ่มงานพิธีเมื่อใด!”
“น่าจะเป็นตอนเที่ยง พวกเขาจะเริ่มรับสมัครผู้เชี่ยวชาญและสาวกตอนเที่ยงวัน!” เจ้าสำนักถังตอบ
“ยังพอมีเวลาอยู่!”หวังเสียนมองเวลาและนั่งเล่นบนม้านั่งหินกับกวนชูชิง ท่าทางสบายๆแบบไม่สนโลกของเขาทำให้ดูเหมือนกับว่าเขานั้นมาปิคนิคซะมากกว่า
ซุนหลิงซิ่ว ก็เดินเข้าไปนั่งลงที่นั่งใกล้ๆกับหวังเสียน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มในขณะที่หมอโลหิต ก็เดินตามไปยืนอยู่ทางด้านหลังเธอด้วยความเคารพ
ผู้คนเริ่มมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากขึ้น ทุกคนนั้นต่างเป็นชาวยุทธและถืออาวุธประจำตัวมากันด้วยทั้งนั้น
บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้นมาทันที
แต่ละกลุ่มกองกำลังนั้นมีเครื่องแต่งกายที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง เมื่อมองดูแล้วสามารถบ่งบอกได้ทันทีเลยว่าพวกเขานั้นมาจากกลุ่มกองกำลังไหน
“ในตอนนี้น่าจะมีกองกำลังระดับชั้น 1 ประมาณห้ากองกำลัง กลุ่มของพวกเขานั้นนำมาโดยผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณ!”
” กองกำลังระดับชั้น 2 มีมากมายจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว อำนาจของกองกำลังระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ช่างน่ากลัวเสียจริงๆ พวกเขาที่อยู่ในเขตปริมณฑลโดยรอบๆนี้ ไม่มีกองกำลังใดกล้าปฏิเสธบัตรเชิญของพวกเขาเลยแม้แต่กองกำลังเดียว!”
…….
จบบท