Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ - ตอนที่ 241
ตอนที่ 241 คนรับใช้ของเทพธิดา?
.
พรึบบบ!
เฟิงหยางลี่ และ คนในตระกูลเฟิงหยาง ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ใบหน้าของเขานั้นเย็นชาและเต็มไปด้วยเจตนาแห่งการฆ่าฟันพวกเขาจ้องมองไปที่หมอโลหิตด้วยแววตาที่ดุร้าย
“นี่!!… “
กลุ่มคนจากสำนักกระบี่พฤกษาขจีต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ชาวต่างชาติผู้นี้นั้นมีความสามารถสูงมากเลยทีเดียว
“อย่างน้อยเขาก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่อยู่ในระดับครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณ!”
เจ้าสำนักถังมองไปที่หมอโลหิต พร้อมกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนจากตระกูลเฟิงหยาง ตั้งท่าเตรียมลงมือต่อสู้
“เจ้าเป็นใคร? ถึงได้กล้าลงมือทำร้ายบุตรชายของข้า เจ้าอยากตายมากนักใช่ไหม!”
เฟิงหยางลี่ ปลดปล่อยแรงกดดันระดับก่อกำเนิดลมปราณออกมาในทันที พร้อมกับยื่นมือออกไปรับดาบจากชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขา
“ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณกำลังจะลงมือแล้ว!”
ชาวยุทธที่อยู่บริเวณโดยรอบ ถูกแรงกดดันจากผู้ฝึกยุทธระดับก่อกำเนิดลมปราณ จนร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“พวกเขาคือคนตระกูลเฟิงหยาง นั่นคือ เฟิงหยางลี่ ใครคือผู้ที่กำลังก่อปัญหาให้กับเขาอย่างนั้นรึ?”
“น่าจะเป็นกองกำลังระดับชั้น 1 อยู่แล้วล่ะ! ไม่เช่นนั้นใครจะกล้ารุกรานพวกเขา!”
เหล่าชาวยุทธ์ที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันด้วยความสงสัย ผู้คนจากสำนักวังเปลวไฟที่อยู่ตรงกึ่งกลางกลุ่มก็หันมามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย
“เฮ้! ไอ้แก่เฒ่านั่นก็เพราะเจ้าไม่สามารถสั่งสอนลูกชายของเจ้าให้ดี ข้านั้นเลยต้องสอนสั่งมันแทนเจ้าอย่างไรกันเล่า!”
ใบหน้าของหมอโลหิตยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น เขายังคงมองไปที่เฟิงหยางลี่อย่างดูหมิ่น
และในตอนนี้ตัวเขานั้นก็เริ่มปลดปล่อยออร่าสีแดงเลือดออกมาจากร่างกายของเขา
“โอ้วว!..ชายคนนั้นก็เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณด้วยเช่นเดียวกัน!”
กลุ่มชาวยุทธที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างตกใจกันทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันรุนแรงที่เริ่มแผ่ขยายออกมาจากรอบๆตัวของหมอโลหิต
เฟิงหยางลี่ ก็ตกตะลึงไปเช่นเดียวกันเมื่อได้รับรู้ถึงแรงกดดันแข็งแกร่งของหมอโลหิต
“ฮิฮิฮิ!”
หมอโลหิตหัวเราะอ้าปากกว้าง “ลูกชายของเจ้านั้นบังอาจมารบกวนเจ้านายของข้า นับว่าข้านั้นยังใจดีให้เจ้าเด็กคนนี้อยู่มาก ที่ข้านั้นยังไม่ได้ฆ่ามัน!”
“เจ้านาย!”
เฟิงหยางลี่ ตกใจกับคำพูดของหมอโลหิต เขาหันไปมองที่ ซุนหลิงซิ่ว ที่ยังนั่งอ่านหนังสืออย่างสงบนิ่งด้วยท่าทางที่งดงามปานเทพธิดา
“แต่ว่า!…”
และในตอนนั้นเองหมอโลหิตก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ร่างกายของเขานั้นกระพริบและหายไปจากที่เดิม
“ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่ชอบพวกเจ้ามากสักเท่าไหร่ หากเจ้านั้นอยากจะทดสอบความสามารถกับข้า ข้านั้นก็เต็มใจมากเลยทีเดียว!”
เมื่อ หมอโลหิต ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเขาก็อยู่ทางด้านซ้ายมือของ เฟิงหยางลี่ ห่างไปเพียงแค่ครึ่งเมตร แสงสีแดงสว่างวาบออกมาจากดวงตาของเขา ในขณะที่เขาจ้องมองไปยัง เฟิงหยางลี่ ด้วยสายตาที่เย็นชา
“เจ้าา!…”
เฟิงหยางลี่ ตกใจเมื่อเขาจ้องไปที่ หมอโลหิต เลือดในกายของเขาแทบจะแข็งตัวไปในทันที
เขานั้นตื่นตกใจอย่างแท้จริงเพราะว่าตัวเขานั้นไม่สามารถตรวจจับรอยการเคลื่อนไหวของชายชาวต่างชาติคนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งนี้มือที่ถือดาบของเขาก็สั่นเล็กน้อย
ฝูงชนโดยรอบจากตระกูลเฟิงหยางต่างก็จ้องมองไปที่ หมอโลหิต ด้วยความตกใจ พวกเขากลืนน้ำลายลงคอและกำอาวุธในมือของพวกเขาเอาไว้แน่น
“ถ้า!!…ถ้าอย่างนั้น…ข้า..ข้าคงต้องขออภัยแทนบุตรชายของข้าด้วย! ข้าขออภัยท่านอย่างมากจริงๆที่ไม่ได้อบรมสั่งสอนบุตรชายของข้านั้นให้ดี!”
เฟิงหยางลี่ กล่าวคำขอโทษออกมาด้วยท่าทางที่ลำบากใจ
“นั่นถูกต้องแล้วล่ะ ฮิฮิ ! หากพวกเจ้านั้นยังล่วงเกินเจ้านายของข้าอีกครั้ง ข้านั้นก็ไม่รังเกียจที่สังหารพวกเจ้าทั้งหมดที่อยู่ที่นี่! ฮิฮิฮิ!”
หมอโลหิต ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างน่าสยดสยองก่อนที่เขาจะย้อนกลับไปยืนอยู่ทางด้านหลังของซุนหลิงซิ่ว อย่างสงบเรียบร้อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาจัดแต่งเสื้อผ้าของเขาอีกเล็กน้อยและยืนเอามือประสานกันไว้ที่ด้านหน้าเหมือนกับพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ชาวอังกฤษ
เมื่อมองลักษณะท่าทางของเขาในตอนนี้แล้ว คงจะไม่มีใครชื่อว่าเขานั้นเป็นผู้ฝึกวิชายุทธระดับผู้เชี่ยวชาญก่อกำเนิดลมปราณ หากเขาไม่ได้แสดงตัวออกมาในก่อนหน้านี้
และคงไม่มีใครคิดว่าเทพธิดาอายุน้อยที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบๆ นั้นจะเป็นเจ้านายของผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณ
“พวกเจ้า! นำไคเอ๋อ ไปรักษาอาการบาดเจ็บ!”
เฟิงหยางลี่ พูดกับกลุ่มคนที่อยู่ทางด้านหลังของเขาด้วยสีหน้าที่มืดมน
คนของตระกูลเฟิงหยาง มองไปที่ชายชาวต่างชาติในชุดทักซิโด้สีแดงเข้มด้วยท่าทางที่เคร่งเครียด และหันมองสลับไปที่เทพธิดาสาวที่กำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างไม่สนใจสภาพแวดล้อมรอบๆตัว
เธอต้องมีเบื้องหลังที่น่ากลัวอย่างมากแน่นอน ไม่อย่างนั้นเธอจะมีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณเป็นคนรับใช้ได้อย่างไรให้?
ทุกคนต่างครุ่นคิดถึงข้อสงสัยนี้กันอย่างเงียบๆ
“ช่างน่าหวาดกลัวมากเลยจริงๆ!”
กลุ่มคนที่มาจากสำนักกระบี่พฤกษาขจี ต่างมองไปที่หมอโลหิตด้วยความกลัว
“เหล่าผู้คนที่อยู่รอบๆตัวหมอเทวะหวังนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเลยจริงๆ!” เจ้าสำนักถังเองก็ตกตะลึงมากเช่นเดียวกัน และเขาก็รู้สึกเบาใจและโล่งใจขึ้นมามาก ที่เขานั้นอยู่ฝ่ายเดียวกันกับหวังเสียน
“ท่านผู้นำตระกูล ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันแน่? และชายชาวต่างชาติคนนั้นมีระดับการฝึกฝนที่สูงมากเลยอย่างนั้นหรือครับ!” ชายชราที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บของเฟิงหยางไค ถามออกมาด้วยเสียงกระซิบที่ค่อนข้างเบา
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าระดับของเขานั้นสูงมากแค่ไหน! แต่อย่างน้อยๆต้องไม่ต่ำกว่าระดับก่อกำเนิดลมปราณขั้นต้นระดับสูงอย่างแน่นอน!”
เฟิงหยางลี่ กำหมัดแน่นใบหน้าของเขานั้นมีการแสดงออกที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนกำลังโดนตบหน้า เพราะคำพูดของเขาในตอนก่อนหน้านี้ที่ต้องการจะรับเด็กสาวคนนั้นเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเฟิงหยาง
และเมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านี้ตัวเขานั้นต้องยอมจำนน ขนาดคนรับใช้ของหญิงสาวคนนั้นยังเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญก่อกำเนิดลมปราณ เบื้องหลังของเธอนั้นต้องน่ากลัวมากกว่านี้อย่างแน่นอน
และหากให้พูดกันตามตรงแล้วตัวเขานั้นคงไม่สามารถรับมือกับชายชาวต่างชาติในชุดทักซิโด้สีแดงได้เกิน 3 นาทีอย่างแน่นอน
” คนพวกนี้นั้นอยู่ใกล้กันกับสำนักกระบี่พฤกษาขจี หรือว่าพวกเขานั้นจะมีความเกี่ยวข้องกัน?” ชายหนุ่มที่เคยพูดคุยกับเฟิงหยางไค ในก่อนหน้านี้ได้พูดขึ้นมา
“ข้าคิดว่านั่นน่าจะเป็นเหตุบังเอิญเสียมากกว่า พวกเขาคงจะรู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น เพราะระดับความสามารถของชายชาวต่างชาติในชุดสีแดงคนนั้นสูงมากที่เดียว พวกเขานั้นอยู่คนละระดับกับสำนักกระบี่พฤกษาขจีอย่างแน่นอน!”
…
หวังเสียน หันมองไปที่ตระกูลเฟิงหยางเล็กน้อย พร้อมกับมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหลังจากได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่นี้
ตัวเขานั้นไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆในก่อนหน้านี้เพราะว่าหมอโลหิต อยู่ใกล้ๆกับ ซุนหลิงซิ่ว เหมือนกับองครักษ์ของเธออยู่แล้ว และระดับความสามารถของเธอเองก็คงไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆจากเขาเลยในตอนนี้
หากไม่มีระดับผู้เชี่ยวชาญก่อกำเนิดลมปราณระดับขั้นสูง 3-4 คน ก็คงจะไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับ ซุนหลิงซิ่ว และหมอโลหิตได้อย่างแน่นอน
และกองกำลังระดับชั้นหนึ่งโดยทั่วไปแล้วไม่สามารถเป็นภัยคุกคามใดๆต่อพวกเขาได้เลย
“ดูนั่น!..นั่นสาวกจาก สำนักวังเปลวไฟ! พวกเขาทั้งหมดเป็นกลุ่มสาวกรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ระดับสูงอย่างแน่นอน!”
“พวกเขามีคนเก่งๆเป็นจำนวนมาก กองกำลังชั้นหนึ่งโดยทั่วไปไม่สามารถเปรียบเทียบกับพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย!”
“ฉันต้องการเข้าร่วม สำนักวังเปลวไฟ และเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเขาให้ได้!”
ในตอนนี้นั้นความสับสนวุ่นวายได้เกิดขึ้น ผู้คนโดยรอบต่างหันไปมองกลุ่มคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาพวกเขานั้นสวมชุดที่มีสัญลักษณ์รูปเปลวไฟขนาดใหญ่ปักอยู่ที่ตรงบริเวณหน้าอก
มีสาวกประมาณสามสิบถึงสี่สิบคนอายุของพวกเขาไม่เกินสามสิบปี พวกเขาทั้งหมดถือเป็นลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ในระดับสูงของสำนักวังเปลวไฟ
ใบหน้าของพวกเขานั้นสงบนิ่งมาก แต่ในแววตาของพวกเขานั้นกลับแสดงถึงความภาคภูมิใจและหยิ่งผยองเป็นอย่างยิ่ง
กลุ่มสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลและสำนักต่างๆพวกเขานั้นรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าเป็นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับสาวกของสำนักวังเปลวไฟ
“ในวันนี้สำนักวังเปลวไฟของเรากำลังจะรับสมัครลูกศิษย์ที่โดดเด่นและมีความสามารถ หากพวกท่านมีความประสงค์ที่จะเข้าร่วมรับการทดสอบเพื่อเข้าร่วมเป็นหนึ่งในสาวกของวังเปลวไฟของพวกเรา หลังจากงานพิธีแสวงบุญ พวกเราจะเปิดรับสาวกและเริ่มทำการทดสอบคุณสมบัติอย่างเป็นทางการในทันที!” สาวกจากสำนักวังเปลวไฟประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ
“ลูกชายข้า! เจ้าจะต้องตั้งใจผ่านการทดสอบในครั้งนี้ให้ได้ นี่ถือว่าเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตของเจ้าที่จะสามารถเข้าร่วมสำนักระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ได้!”
“ท่านพ่อ! ข้าจะกลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักวังเปลวไฟให้ได้เลยขอรับ!”
“เมื่อเจ้าสามารถเข้าร่วมเป็นลูกศิษย์ของสำนักวังเปลวไฟได้ พวกเราจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน สำนักวังเปลวไฟที่กำลังเลื่อนขั้นเป็นระดับชั้นสำนักศักดิ์สิทธิ์ นั้นจะมีอิทธิพลมากที่สุดในมณฑลทางตอนใต้นี้ ต่อไปในอนาคตพวกเราจะไม่ต้องกังวลกับภัยคุกคามใดๆอีกต่อไป!”
กลุ่มชาวยุทธที่มาชุมนุมกันโดยรอบต่างตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินสาวกของสำนักวังเปลวไฟประกาศรับสาวกเข้าสู่สำนักเพิ่มเติม พวกเขาทุกคนต่างหันไปพูดคุยกับลูกหลานของพวกเขาเองเพื่อกระตุ้นเตือนให้พวกเขานั้นสามารถเข้าเป็นสาวกของสำนักวังเปลวไฟให้จงได้
ตระกูลของพวกเขานั้นจะโชคดีเป็นอย่างมากหากว่าลูกหลานของพวกเขานั้นสามารถเข้าร่วมกับสำนักวังเปลวไฟได้
“เอ๊ะ! ดูนั่นสิเหล่าสาวกของสำนักวังเปลวไฟกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางพวกเราด้วยล่ะ!”
กวนชูชิง หันไปบอกกับหวังเสียน ด้วยความประหลาดใจหลังจากที่เธอเห็นกลุ่มของเหล่าสาวกสำนักวังเปลวไฟเดินตรงมาทางกลุ่มของพวกเธอ
หวังเสียนหันหน้าไปมองตามคำพูดของ กวนชูชิง และมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาขึ้นมาบางๆหลังจากที่เขาเห็นเหล่าสาวกของสำนักวังเปลวไฟเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา
หวังเสียน เคยเห็นพวกเขามาก่อน ผู้ที่เดินนำมาเป็นชายหนุ่มที่เคยมาหาเขาที่ศูนย์การแพทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับชายชราเพื่อเชิญเขาเข้าร่วมกับสำนักวังเปลวไฟ
ส่วนที่เหลือนั้นคือมู่หวั่นหวันและกลุ่มเพื่อนของเธอที่พวกเขาเคยเจอกันที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย
……..
จบบท