Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 422.2
ไม่ว่าจะมองไปในทิศทางใด ก็มีการต่อสู้เกิดขึ้นในทุกหัวระแหง ทุกตารางในรัศมีหลายกิโลเมตรรอบปราสาทเต็มไปด้วยกองทัพทหารที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด นอกจากเขตเหนือแล้ว ปีศาจอาคมตนอื่น ๆ ก็กระจายตัวกันออกไปลาดตระเวนตามเขตอื่น ๆ รวมทั้งพระราชวังที่กำลังสุมไปด้วยเปลวเพลิงของสงคราม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสงครามอันดุเดือดที่เกิดขึ้นในเขตเหนือแล้ว สงครามในเขตอื่นก็มีขนาดเล็กกว่ามาก สาเหตุเป็นเพราะว่า ภายใต้การนำของลอว์เรนซ์ เหล่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งและเป็นภัยต่อชาลส์นั้นได้มารวมตัวกันอยู่ที่เขตเหนือหมดแล้ว
โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีการตกลงกันมาก่อนหรือไม่ แต่ไม่มียอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์คนใดที่เข้าร่วมในการต่อสู้เลยสักคน ทั้งคาเรลและซาบาคัสที่อยู่ฝั่งลอว์เรนซ์ รวมทั้งเด็มพัสและอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ทางฝั่งของชาลส์ ทุกคนล้วนเฝ้ามองอยู่ทางด้านข้าง ในขณะที่กองกำลังของฝั่งตนกำลังต่อสู้กันอยู่ในสงคราม
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ทั้งลอว์เรนซ์และชาลส์ต่างรู้ดีว่ายอดฝีมือในระดับศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้แข็งแกร่งและมีฝีมือฉกาจมากเพียงใด โดยเฉพาะจอมขมังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ มหาเวทย์ต้องห้ามเพียงบทเดียวก็เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ในสงครามจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เป็นเพราะสนธิสัญญาของอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ ซึ่งกำหนดไว้ว่าจอมขมังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์จะต้องไม่ใช้มหาเวทย์ต้องห้ามในสงครามทั่วไป
และมีกฏห้ามใช้มหาเวทย์ต้องห้ามกับศัตรูต่างบ้านต่างเมืองอยู่แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่สามารถใช้ในสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งภายใน แม้ว่านครออซเซ็นจะเป็นเมืองขนาดใหญ่ แต่หากมีมหาเวทย์ต้องห้ามระเบิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้ง ก็เพียงพอที่จะลบนครออซเซ็น เมืองหลวงของจักรวรรดิแลนซล็อตให้หายไปจากแผนที่ของอาณาจักรแห่งความลึกล้ำได้ทันที รวมถึงชาวเมืองที่ต้องตายไปอีกนับไม่ถ้วน
เพราะเหตุนี้เอง ระหว่างสงคราม ทั้งจอมขมังเวทย์ห้วงมิติซาบาคัสและจอมขมังเวทย์ธาตุดินเด็มพัสจึงได้แต่เฝ้ามองดูโดยไม่ขยับนิ้วเลยแม้แต่น้อย และไม่มีใครกล้าร่ายมหาเวทย์ต้องห้ามออกมา เพราะกองทัพของศัตรูต่างก็มาจากจักรวรรดิเดียวกัน
ฟีเรนซีเป็นผู้บัญชาการรบ ณ จุดสูงสุดตรงใจกลางปราสาท เขาคำรามคำสั่งออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ในขณะที่หัวน้าอัศวินในชุดเกราะเต็มยศหลายคนก็สั่งการต่อไปยังหน่วยของตนเอง เพื่อโจมตีกองกำลังของแอชเบิร์นและชาลส์จากทุกทิศทาง
ขณะหานซั่วเฝ้ามองสถานการณ์ทั้งหมดผ่านปีศาจอาคม และเห็นการร้องตะโกนอย่างต่อเนื่องของฟีเรนซีทำให้ทหารจากกองกำลังเสียงคำรามที่เคยกระจายตัวกันต่อสู้อย่างไม่เป็นระเบียบ สามารถกลับมารวมตัวกันจัดกระบวนทัพในรูปแบบต่าง ๆ ได้โดยสัญชาติญาณ และการทำเช่นนั้น ก็เป็นการแบ่งกองกำลังของแอชเบิร์นและชาลส์ออกเป็นหลายกลุ่มใหญ่ ๆ ทำให้พวกเขาสามารถตีวงล้อมศัตรูได้อย่างเงียบ ๆ
มีเพียงหานซั่วเท่านั้นที่สามารถมองเห็นสถานการณ์ในภาพรวมได้ผ่านปีศาจอาคม ซึ่งทำให้เขามองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ทหารหรือพวกยอดฝีมือที่กำลังต่อสู้อยู่ในสนามรบไม่มีทางที่จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เลย
กองกำลังเสียงคำรามที่ฟีเรนซีนำมามีสัญลักษณ์รูปแบบเดียวกันประดับอยู่บนชุดเกราะ ทหารเหล่านี้เดินทางมาจากเขตชายแดนทางใต้ และเต็มไปด้วยประสบการณ์สู้รบอันโชกโชนจากการที่ต้องห้ำหั่นกับเหล่าออร์คที่ชั่วร้ายมานานหลายปี อาวุธของพวกเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่ละคนมีท่าทีเด็ดเดี่ยวและเย็นชา พลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งของพวกเขานั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพวกอัศวินบุปผาแดงที่หานซั่วเคยเจอมาก่อนหน้านี้เสียอีก
แม้ว่าพลังการต่อสู้ของทหารคุ้มกันนครออซเซ็นจะถูกจัดเป็นหนึ่งในกองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับกองกำลังเสียงคำรามของฟีเรนซี ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังถูกกดดันอย่างหนัก นอกเหนือจากการครอบครองอาวุธที่มีคุณภาพดีกว่าแล้ว ทั้งเรื่องประสบการณ์ต่อสู้ การจัดกระบวนทัพ และความแข็งแกร่งรายบุคคลก็ห่างชั้นกับกองกำลังเสียงคำรามอยู่มากทีเดียว
แล้วหานซั่วก็สังเกตว่ากองกำลังเสียงคำรามและกองกำลังทหารคุ้มกันเขตเหนือกำลังได้เปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การสั่งการรบอันบ้าคลั่งของฟีเรนซี และโดยที่ไม่รู้ตัว พวกเขาก็ค่อย ๆ ผลักดันกองกำลังของแอชเบิร์นและชาลส์ให้ถอยร่นกลับไปอย่างช้า ๆ
ชายผู้บ้าคลั่งที่สามารถยืนหยัดอย่างสง่าผ่าเผยในชายแดนใต้มาหลายปี และป้องกันมิให้เผ่าออร์คที่แสนป่าเถื่อนรุกรานข้ามเขตชายแดนทางใต้ได้อย่างเด็ดขาดผู้นี้ช่างแข็งแกร่งสมคำร่ำลือจริง ๆ! หานซั่วรู้สึกประทับใจกับความสามารถในการสั่งการรบอันน่าทึ่งของฟีเรนซีเป็นอย่างมาก
“ฟีเรนซี! คนพวกนี้คือทหารของจักรวรรดิแลนซล็อต พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตามคำสั่งของชาลส์และแอชเบิร์น ถ้าพวกเขาถูกฆ่าตายจนหมด มันจะทำให้จักรวรรดิแลนซล็อตต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเชียวนะ!”
จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลรู้สึกกราดเกรี้ยวขึ้นมา เขาจ้องเขม็งไปที่ฟีเรนซี
คาเรลถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุดต่ออนาคตของจักรวรรดิแลนซล็อต เมื่อเขาเห็นว่าภายใต้การบัญชาการของฟีเรนซี เขตเหนือก็แปรเปลี่ยนเป็นสนามรบอย่างสมบูรณ์ ศพคนตายนอนกลาดเกลื่อนไปทั่ว ซึ่งล้วนเป็นศพของทหารที่ภักดีต่อจักรวรรดิแลนซล็อตด้วยกันทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ตาม เพียงเพราะพวกเขาอยู่ภายใต้ผู้บังคับบัญชาที่แตกต่างกัน จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องเข่นฆ่ากันอย่างไร้ความปรานี และความสูญเสียของประชาชนในจักรวรรดิก็เป็นสิ่งที่คาเรลไม่ต้องการเห็น เขาจึงตวาดออกมาด้วยความไม่พอใจ
แม้แต่ผู้อาวุโสขององครักษ์ชุดดำอย่างซาบาคัสก็ยังรู้สึกเสียใจกับการสูญเสียที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะร้องตะโกนขึ้นมา
“ฟีเรนซี! ถ้าขืนเจ้ายังสั่งการแบบนี้ต่อไป ต่อให้เราเป็นฝ่ายชนะสงคราม แต่กำลังของจักรวรรดิก็จะอ่อนแอลงมากเลยนะ!”
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ฟีเรนซีไม่สนใจและคำรามสั่งการคนของเขาต่อไป แต่เมื่อเห็นว่าทั้งซาบาคัสและคาเรลยังเอาแต่เอ็ดตะโรไม่หยุด เขาจึงพูดขึ้นมา
“ในสงครามกลางเมือง ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิหรือดินแดนใดในอาณาจักร มีที่ไหนบ้างเรอะ ที่ไม่ได้ลงเอยด้วยการนองเลือด? นอกจากการเอาชนะศัตรูให้ได้แล้ว พวกท่านคิดว่ากะอีแค่การพูดดี ๆ จะทำให้แอชเบิร์นยอมเปลี่ยนใจได้รึไง?
เหอะ! ในเมื่อมีทั้งอัศวินศักดิ์สิทธิ์กับจอมขมังเวทย์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์อยู่ทางนั้น นี่ยังไม่รวมถึงพวกยอดฝีมืออีกตั้งหลายคนที่อยู่รอบข้างพวกมันอีก ต่อให้เรามีครึ่งเทพอยู่สักคนตรงนี้ ก็อาจจะไม่พอฆ่าพวกมันได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าไม่คิดว่าพวกท่านมีแผนอื่นที่เข้าท่ากว่านี้หรอกนะ
พวกท่านฟังให้ดี เรื่องแบบนี้น่ะ มันต้องลงเอยด้วยการนองเลือดสถานเดียว! ยิ่งสงครามกลางเมืองยืดเยื้อไปนานเท่าไหร่ นั่นแหละถึงจะยิ่งส่งผลเสียให้กับจักรวรรดิมากเท่านั้น เวรเอ๊ย! คนของข้าเองก็กำลังจะถูกฆ่าตาย แล้วให้ข้าเสียเวลามานั่งบ่นอย่างนี้น่ะเหรอ? จะมาคิดมากบ้าบออะไรให้มันเยอะแยะ? เอาเถอะ ถ้าพวกท่านไม่ชอบวิธีการของข้า งั้นข้าจะยืนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลยก็ได้! แล้วเรามาดูกันว่าพวกท่านจะเกลี้ยกล่อมไอ้จิ้งจอก 2 ตัวทางฝั่งนั้นให้ยอมแพ้เรื่องการชิงบัลลังค์ได้รึเปล่า ว่าไง จะมาสั่งการรบทั้งหมดด้วยตัวเองเลยมั้ย?”
ฟีเรนซีพูดอย่างเดือดดาล เขาตวาดใส่ยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งคู่ จนทำให้พวกเขาพูดไม่ออกและไม่สามารถหาคำใดมาคัดค้านได้อีก
เพราะฟีเรนซีมีนิสัยยโสโอหังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในเวลาอื่น เขาอาจจะให้ความเคารพต่อซาบาคัสมากกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม ในระหว่างสงคราม ฟีเรนซีจะได้กลายเป็นชายผู้บ้าคลั่งไปโดยปริยาย หากเพื่อชัยชนะแล้วล่ะก็ เขาสามารถแม้กระทั่งขัดคำสั่งขององค์จักรพรรดิอย่างไม่ลังเล เช่นนั้นแล้ว จึงไม่แปลกที่ฟีเรนซีจะไม่เหลียวแลคำแนะนำของยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่แผดเสียงออกไปอย่างหยาบคาย ฟีเรนซีก็เลิกสนใจทั้งคู่ และตะโกนออกคำสั่งคนของเขา ซึ่งจะถ่ายทอดคำสั่งลงไปยังเหล่าทหารในสนามรบต่อไป กองกำลังเสียงคำรามของเขาค่อย ๆ ยึดสนามรบไว้ได้อย่างช้า ๆ และโอบล้อมกองกำลังของแอชเบิร์นได้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 คนได้แต่หลับตาลงและถอนหายใจอย่างขมขื่น แม้ว่าจะรู้สึกเสียใจมากเพียงใด แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นจริง ๆ และพวกเขาก็ไม่ได้เชี่ยวชาญในการบัญชาการรบในสงครามขนาดใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่มีฟีเรนซีและกองกำลังเสียงคำรามของเขาแล้วล่ะก็ สงครามครั้งนี้อาจจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคว้าชัยชนะ
นอกจากนี้ สิ่งที่ฟีเรนซีพูดมาก็มีเหตุผลเช่นกัน แม้จะลังเลใจในเรื่องการสูญเสีย แต่โชคร้ายที่จักรวรรดิแลนซล็อตในตอนนี้จะสามารถหยุดยั้งความโกลาหลวุ่นวายนี้ได้ด้วยสงครามนองเลือดจริง ๆ มิเช่นนั้นแล้ว ต่อให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหนีออกจากนครออซเซ็นและไปกบดานอยู่ที่เมืองอื่น สงครามก็จะตามไปที่นั่นอีกอยู่ดี ซึ่งจะเป็นการขยายวงของสงครามให้กว้างมากขึ้นไปอีก
ดังนั้น แม้ว่ายอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์จะถูกฟีเรนซีดุด่าและหยามเกียรติมากเพียงใดก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความเสียใจเอาไว้ และไม่กล้าที่จะโต้แย้งใด ๆ กับฟีเรนซีอีก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขามีพฤติกรรมคุ้มคลั่งมากไปกว่านี้
เมื่อได้รับภาพจากทุกตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว หานซั่วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาออกมาจากหลุมที่ตัวเขาเองขุดเอาไว้ และบินตรงไปยังปราสาทอย่างฉับพลันทันที
ฟิ้ววว…. ฟิ้วววว….
ลูกธนูระยะไกลจำนวนหนึ่งพุ่งขึ้นมาบนฟ้าและเล็งไปที่หานซั่ว
เขาตกตะลึงไปในทันที เมื่อมองลงมาก็เห็นทหารจำนวนหนึ่งของกองกำลังเสียงคำราม ท่าทีของพวกเขาล้วนเย็นชาและจ้องมองมาที่เขาอย่างมุ่งร้าย เพราะจู่ ๆ หานซั่วก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงรีบยิงธนูใส่เขาทันทีที่เห็น
แล้วภาพลักษณ์ของกองกำลังเสียงคำรามในสายตาของหานซั่วก็เพิ่มสูงขึ้นอีก เขาร่ายเวทย์ออกมาบทหนึ่ง และโล่กระดูกสีขาวราวหิมะก็เบ่งบานขึ้นมาปัดป้องลูกธนูเหล่านั้น ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ในที่สุด เขาก็ไปถึงใจกลางปราสาท ที่ ๆ ฟีเรนซียืนอยู่ในเวลาเพียงชั่วพริบตา
***************************