Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 423.1
“ไอ้เด็กบ้า พวกเราสู้กันแทบตายมาตั้ง 2 วันแล้ว เจ้ามัวแต่หายหัวไปไหนมา?”
เมื่อฟีเรนซีเห็นหานซั่ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะดุด่าด้วยเสียงอันดัง
ในสงครามครั้งนี้ หานซั่วถือเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด แต่เมื่อจู่ ๆ เขากลับหายตัวไปถึง 2 วัน ทุกคนจึงรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมา โดยเฉพาะฟีบี้ แฟนนี่ และเอมิลี่ เพราะเกรงว่าหานซั่วจะกลัวการถูกลงโทษจนต้องหนีหน้าไป ทำให้พวกเธอรู้สึกกระวนกระวายใจมากจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
แต่โชคยังดี ที่องครักษ์ชุดดำได้แสดงความสามารถอันน่าทึ่งมาตลอด 2 วันที่หานซั่วหายตัวไป เพราะบรรดาสมาชิกขององครักษ์ชุดดำที่ซ่อนตัวอยู่ภายในนครออซเซ็นต่างส่งข้อมูลทุกรูปแบบเข้ามา ช่วยให้ฟีเรนซี ผู้เฒ่าฮานน์ และคนอื่น ๆ ที่เหลือสามารถตัดสินใจอย่างถูกต้องและสั่งการกองกำลังของตนเพื่อให้พวกเขามีความได้เปรียบในการต่อสู้กับแอชเบิร์นได้ในที่สุด
“เอ่อ… คือ พอดีข้ามีเรื่องส่วนตัวที่ต้องจัดการนิดหน่อย”
เพราะหานซั่วเองก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่า “นิลทรหด” นั้นจะทำให้เขาต้องอยู่ในสุสานแห่งความตายถึง 2 วัน ทีแรกนั้นหานซั่วเพียงต้องการจะไปดูอาการเจ้าผีดิบธาตุดินว่าเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง และตั้งใจว่าจะรีบกลับในทันที ดังนั้น เขาจึงไม่มีอะไรจะพูด ขณะที่ฟีเรนซียังคงตะโกนดุด่าอยู่อย่างนั้น
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องไร้สาระซะที ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็ช่วยอธิบายสถานการณ์ในเขตต่าง ๆ ให้ข้าฟังหน่อย ตอนนี้ เราจะต้องแก้ปัญหาทุกอย่างให้มันจบ ๆ ไปเลยในครั้งเดียว แล้วก็ต้องไม่ให้แอชเบิร์นและพวกที่เหลือหนีไปได้ด้วย ไม่อย่างนั้น ถ้าแอชเบิร์นและคนอื่น ๆ ออกจากนครออซเซ็นไปได้ ทำให้มีการต่อสู้ในจักรวรรดิแลนซล็อตขยายวงกว้างมากขึ้นไปอีก”
ฟีเรนซีพูดกับหานซั่วอย่างตรงไปตรงมาที่สุด และเร่งเร้าให้เขาบอกข้อมูลเพื่อที่จะได้มองเห็นภาพรวม
ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ หานซั่วไม่ได้พูดอะไรมาก และรีบอธิบายสถานการณ์ของแต่ละเขตภายในนครออซเซ็นให้ฟีเรนซีฟังขณะที่สังเกตการณ์ผ่านปีศาจอาคมทั้ง 12 ตนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายละเอียดของคำพูดที่แอชเบิร์น ชาลส์และคนอื่น ๆ กำลังพูดคุยกันอยู่ ณ ขณะนั้น
ฟีเรนซีฟังสิ่งที่หานซั่วอธิบายด้วยท่าทีสงบ ก่อนจะตะโกนออกคำสั่งไปในทันที ฟีเรนซีไม่ได้มีเพียงลูกน้องที่อยู่เคียงข้างเขา แต่ยังมีเอมีส หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลแห่งองครักษ์ชุดดำอยู่ด้วย ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เอมีสสามารถอยู่ใต้บังคับบัญชาของฟีเรนซีได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยคำสั่งของเขา เอมีสก็ถ่ายทอดข้อมูลผ่านเครือข่ายขนาดใหญ่ขององครักษ์ชุดดำไปยังทั่วทุกมุมในนครออซเซ็น
เป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างนี้ ทำให้หานซั่วตระหนักว่าการต่อสู้ในนครออซเซ็นนั้นได้บานปลายไปอย่างไร้ที่สิ้นสุดในช่วง 2 วันที่ผ่านมา เป็นเพราะชาลส์ได้ออกคำสั่งอันโหดเหี้ยมโดยไม่สนใจต่อความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องอีกต่อไป นอกจากฝ่ายของลอว์เรนซ์แล้ว กองกำลังของเจ้าชายอีก 2 พระองค์ต่างพบกับการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง เห็นได้ชัดว่าชาลส์ต้องการจะกำจัดพวกเขาทั้งหมดให้พ้นทางด้วยเช่นกัน จึงพยายามกดดันเจ้าชายอีก 2 พระองค์อย่างหนัก
เจ้าชายอีก 2 พระองค์ที่ตอบโต้กลับต้องพบกับการสูญเสียมาตลอด 2 วันที่ผ่านมา และถูกกดดันจนถึงจุดที่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมุ่งหน้ามายังเขตเหนือและร่วมเป็นพันธมิตรกับลอร์เรนซ์ เพื่อที่จะได้รวมกำลังและต่อสู้กับชาลส์ไปด้วยกัน
เมื่อมีกองกำลังขององค์ชายทั้งสอง และกองกำลังเสียงคำรามของฟีเรนซีมาสมทบ ความแข็งแกร่งของกองกำลังของลอว์เรนซ์จึงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าของชาลส์ ช่วงเวลา 2 วันที่ผ่านมา เขตทางตอนเหนือของนครออซเซ็นกลายเป็นพื้นที่ต่อสู้หลัก อย่างไรก็ตาม ภายใต้การจัดการของฟีเรนซี อำนาจที่อยู่ภายใต้องค์ชายทั้ง 2 ได้ถูกนำมาใช้ และค่อย ๆ แผ่ขยายออกไปยังเขตอื่น ๆ ที่อยู่ใต้การควบคุมของแอชเบิร์น
ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จพอสมควรทีเดียว ในขณะที่อำนาจของแอชเบิร์นค่อย ๆ ถูกกลืนกินไปอย่างลับ ๆ จนกระทั่งพวกเขาไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะควบคุมนครออซเซ็นไว้ได้ด้วยกำลังของตนเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว
จอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัสเองก็ได้เดินทางไปทั่วทุกที่ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา และปิดผนึกวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายที่อยู่ภายในนครออซเซ็นได้ทั้งหมด เพื่อป้องกันแผนการที่จะใช้วงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายในการขนส่งกองกำลังสนับสนุนจากเมืองอื่นเข้ามา
วงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ทุกแห่งที่อยู่ภายในนครออซเซ็นล้วนเป็นสิ่งที่จอมขมังเวทย์ซาบาคัสสรรค์สร้างขึ้นมา แม้ว่าแอชเบิร์นและชาลส์จะใช้กองกำลังจำนวนมากเพื่อคุ้มกันวงเวทย์มิติเหล่านั้นเอาไว้ แต่ในฐานะผู้สร้าง ถึงซาบาคัสจะไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ แต่เขาก็สามารถปิดผนึกพวกมันได้อยู่ดี
เช่นนั้นแล้ว จึงไม่มีใครสามารถส่งกองกำลังจากเมืองอื่นผ่านทางวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายเหล่านี้ได้เลย อย่างน้อยในระยะสั้น การต่อสู้ภายในนครออซเซ็นก็จะไม่ขยายวงกว้างออกไป และผู้ใดก็ตามที่ได้รับชัยชนะภายในนครออซเซ็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ก็เป็นไปได้ที่จะครอบครองตำแหน่งองค์จักรพรรดิของจักรวรรดิแลนซล็อตองค์ต่อไปทันที
“เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว ไปทำในสิ่งที่เจ้าเห็นควรเถอะ!”
หลังจากที่หานซั่วอธิบายสถานการณ์ของทุก ๆ เขตภายในนครออซเซ็นให้ฟีเรนซีฟัง และฟีเรนซีก็ออกคำสั่งจำนวนมากที่ยึดตามคำอธิบายของหานซั่ว ก่อนจะเร่งเร้าให้หานซั่วออกไป
หานซั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเงียบ ๆ และมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่หญิงสาวทั้ง 3 คนอยู่
แฟนนี่และคนอื่น ๆ พักอยู่บนห้องรับรองชั้น 2 ของปราสาท แม้หานซั่วจะมองเห็นหญิงสาวทั้งสามผ่านปีศาจอาคม เขาก็ไม่แน่ใจว่าทั้ง 3 คนกำลังคุยอะไรกันอย่างลับ ๆ แต่ดูเหมือนว่าทั้ง 3 คนจะไม่ได้มีความบาดหมางกันเหมือนเมื่อ 2 วันก่อน แม้ว่าพวกเธอจะยังไม่ได้อยู่ในภาวะที่รู้สึกดีต่อกันมากนัก แต่เรื่องราวก็คงไม่แย่ไปกว่านี้ตราบใดที่พวกเธอไม่ทะเลาะกันเองขึ้นมา
แม้กระทั่งตอนนี้ หานซั่วก็ยังรู้สึกกลัวและไม่กล้าเผชิญหน้ากับหญิงสาวทั้ง 3 คน อย่างไรก็ตาม หานซั่วก็รู้ดีว่าเรื่องบางเรื่องนั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่หายไปนานกว่า 2 วัน หากไม่ยอมมาพบพวกเธอทันที เขาก็คงไม่สามารถพิสูจน์การกระทำของตนเองได้ ดังนั้นแล้ว เขาก็จำต้องรวบรวมความกล้า และมุ่งหน้าตรงไปยังห้องรับรองที่หญิงสาวทั้ง 3 คนอยู่
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
เมื่อหานซั่วตั้งใจทำให้เสียงฝีเท้าดังขึ้นบริเวณด้านนอกห้องรับรอง หญิงสาวทั้งสามที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็หันมาเจอกับหานซั่วที่ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูพอดี สายตาของพวกเธอทั้งเสียดแทงและบาดลึกขณะจับจ้องมาที่เขาพร้อมกันเป็นตาเดียว ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
หานซั่วแสร้งกระแอมไอออกมา และพูดขึ้น
“อ้าว อยู่ที่นี่กันหมดเลยเหรอ!”
ฟีบี้จ้องมาที่หานซั่วอย่างไม่สบอารมณ์
“ก็ใช่น่ะสิ พวกเรารอเจ้าอยู่ เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ พวกเราไม่กล้าทำเหมือนเจ้าที่หายตัวไประหว่างสงครามแบบนี้หรอก ถ้าพวกเราไม่รู้จักนิสัยของเจ้าดี คงมีคนออกจากปราสาทและไปตามหาเจ้าแล้วล่ะ!”
เมื่อฟีบี้พูด สายตาของเธอเหลือบมองไปที่เอมิลี่และแฟนนี่ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เธอพูดแฝงความนัยบางอย่าง
แต่เอมิลี่มีท่าทีสงบเหมือนเช่นเคย เธอเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีขณะที่มองไปยังหานซั่วโดยไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของฟีบี้ อย่างไรก็ตาม ท่าทีของแฟนนี่ดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเธอยังไม่รู้สึกคุ้นเคยกับฟีบี้และเอมีลี่ดีนัก สีหน้าของเธอจึงแดงเรื่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ข้าไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าข้าจากไปถึง 2 วัน ยังไงซะ ดูเหมือนว่าต่อให้ไม่มีข้าอยู่ในปราสาท อะไร ๆ จะถูกจัดการได้ดีขึ้นนะ ฮะ ๆ ๆ ไม่ใช่ฝ่ายเราหรอกรึที่ได้เปรียบอยู่ตอนนี้น่ะ?”
หานซั่วหยอกเย้าและหัวเราะกับผู้หญิงทั้ง 3 อย่างสบายใจ
“ตอนที่เจ้าไม่อยู่ในปราสาท ทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับองครักษ์ชุดดำที่รับหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ช่วง 2 วันนี้ สมาชิกทุกคนยุ่งกันน่าดูเลยล่ะ แถมยังต้องระวังอย่างที่สุด เพราะกลัวว่าจะถูกจับได้จนกลายเป็นสาเหตุของการผัดเปลี่ยนอำนาจ แต่ไม่ว่ายังไง ท่านพ่อของแฟนนี่ก็ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ เมื่อมีเขาเป็นคนคุม สถานการณ์ฝ่ายเราก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เลย”
เอมิลี่ยิ้มและพูดกับหานซั่ว
ในหญิงสาวทั้ง 3 คนนี้ เอมิลี่เป็นคนที่รู้ความลับของหานซั่วมากที่สุด และยังรู้ว่าหานซั่วเป็นผู้ควบคุมสุสานแห่งความตาย เธอจึงเดาไว้อยู่แล้วว่าหานซั่วคงจะกลับไปที่สุสานแห่งความตายผ่านวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายอย่างแน่นอน ดังนั้น เธอจึงไม่ได้วิตกกังวลเกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างกะทันหันของหานซั่ว และยังคอยปลอบหญิงสาวอีก 2 คนด้วย
“เฮ้อ… เขาก็เก่งอยู่แค่การทำสงครามอย่างเดียวนี่แหละ”
เมื่อแฟนนี่เห็นว่าเอมิลี่กล่าวชื่นชมพ่อของเธอ เธอไม่ได้แสดงออกถึงความดีใจ แต่กลับบ่นอุบอย่างไม่สบอารมณ์
หานซั่วเพิ่งจะรู้จากแฟนนี่ว่าฟีเรนซีเลือกที่จะสู้อยู่ในสนามรบ ทั้ง ๆ ที่แม่ของเธอกำลังป่วยหนัก จนกระทั่งแม่ของเธอจากไปด้วยโรคร้าย ฟีเรนซีก็ยังไม่ยอมกลับมา ทำให้แฟนนี่ต้องรู้สึกทุกข์ใจอยู่เสมอ ดูเหมือนว่าแม้แต่ตอนนี้ เธอก็ยังไม่ให้อภัยเขา
“สิ่งที่เขาทำไป ก็เพื่อประโยชน์ของจักรวรรดิและชายแดนทางใต้ ถ้าพ่อของเจ้าไม่ต่อสู้อย่างหนักในตอนนั้น ครอบครับนับไม่ถ้วนที่อยู่ทางชายแดนใต้คงจะต้องกลายเป็นคนไร้บ้านไปแล้ว น้องแฟนนี่ จริง ๆ แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพ่อของเจ้าเหมือนกันนะ”
เอมิลี่ถอนหายใจเบา ๆ ขณะที่เธอปลอบใจแฟนนี่อย่างอ่อนโยน
“เรื่องนั้นข้าก็รู้ดี แต่ไม่ว่ายังไง พอข้าเห็นท่านแม่เอาแต่พูดถึงเขาก่อนที่ท่านจะตายจากไป สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พบท่านพ่อเป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ ข้าก็….”
เสียงของแฟนนี่ค่อย ๆ แผ่วลงไป ราวกับว่าเธอกำลังนึกถึงความทรงจำแสนเศร้า จนทำให้ความสิ้นหวังและลังเลสงสัยภายในใจเอ่อล้นขึ้นมา
**********************