Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 391
หานซั่วมองจอมขมังเวทย์ผู้ผ่านพ้นความหนุ่มมานานที่อยู่เบื้องหน้าเขาอย่างพิจารณา คราวลีย์เป็นจอมขมังเวทย์ธาตุมืด ที่นักเรียนส่วนใหญ่ของวิทยาลัยบาบิโลนอาจไม่ได้รู้สึกคุ้นกับเขามากนัก แต่อย่างไรก็ตาม หานซั่วผู้ซึ่งครั้งหนึ่งทำงานเป็นทาสรับใช้ในสาขาศาสตร์แห่งความตายก็รู้จักตัวตนของเขาเป็นอย่างดี
ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น หานซั่วและแจ็คเคยมีหน้าที่ดูแลทำความสะอาดบรรดารูปปั้นที่เรียงรายอยู่ตามทางเดิน ซึ่งเป็นสิ่งแรกเสมอที่พวกเขาต้องทำในตอนเช้า บรรดาศิษย์เก่าผู้โดดเด่นและมีชื่อเสียงมากมายที่จบจากวิทยาลัยจะมีรูปปั้นของตนเองวางเรียงรายกันอยู่ และคราวลีย์ก็เป็นหนึ่งในรูปปั้นมากมายที่เขาต้องคอยทำความสะอาดทุกวันมาเป็นเวลานานพอสมควร
ตอนที่คราวลีย์ยังเรียนอยู่ในสาขาเวทมนตร์ธาตุมืด เคยเป็นยุคทองแห่งความรุ่งเรืองของสาขาธาตุมืดเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่ตอนที่คราวลีย์เป็นเพียงนักเวทย์ระดับกลาง เขาก็เป็นผู้นำทีมและคว้าชัยชนะให้กับสาขาธาตุมืดในการแข่งขันระหว่างสาขาเวทมนตร์ของวิทยาลัยถึง 4 ปีซ้อน และหลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ยังกลายเป็นจอมเวทย์ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งเขาเองก็ทำผลงานความดีความชอบไว้มากมาย ก่อนที่จะเดินทางท่องไปทั่วอาณาจักรแห่งความลึกล้ำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
แต่ทว่า กาลเวลาได้ล่วงเลยนานเกินไป ประกอบกับความทะเยอทะยานที่จะพัฒนาตนเองของคราวลีย์ซึ่งอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ทำให้ชื่อเสียงของเขาเริ่มลดน้อยถอยลงไป จนกระทั่งถูกผู้คนในจักรวรรดิแลนซล็อตหลงลืมไปในที่สุด ถึงขนาดอาจารย์และพวกนักเรียนสาขาธาตุมืดในปัจจุบันบางคนก็ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อน
หานซั่วมองไปยังคราวลีย์ที่เพิ่งขอท้าดวลกับเขา พลางนึกย้อนไปถึงตอนที่เขายังเป็นเพียงทาสรับใช้ที่ได้แต่แหงนหน้ามองดูรูปปั้นของคราวลีย์ จึงรู้สึกว่าเรื่องราวช่างน่าตลกดีแท้ เมื่อจู่ ๆ ตนเองก็ถูกท้าดวลและกลายมาเป็นคู่ต่อสู้ของคน ๆ นั้น หานซั่วจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความภาคภูมิใจบางอย่างที่เอ่อล้นขึ้นมาภายในใจ
เพราะเหตุนี้เอง หานซั่วจึงยิ้มกว้างออกมา แต่เมื่อคราวลีย์เห็นรอยยิ้มของหานซั่ว จึงคิดไปเองว่าหานซั่วกำลังดูถูกเขา เช่นนั้นแล้ว เขาจึงพยายามข่มความโกรธที่มีภายในใจ และร้องถาม
“ท่านเคานต์ไบรอัน นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? ท่านกำลังสบประมาทการท้าดวลของข้า และตั้งใจจะปฏิเสธอย่างนั้นรึ?”
หานซั่วยังคงยิ้มขณะส่ายศีรษะ และพยายามสงบอารมณ์หลังจากที่คิดอะไรเตลิดไปไกล เขาจึงหันมาจ้องมองคราวลีย์อย่างจริงจังอีกครั้ง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไป
“ท่านเข้าใจผิดแล้วล่ะ ข้าเพียงแค่นึกถึงความหลังบางอย่างขึ้นมาได้ก็เท่านั้นเอง ตอนที่ข้ายังเป็นแค่ทาสรับใช้ในสาขาศาสตร์แห่งความตาย ข้าเคยทำความสะอาดรูปปั้นของท่านมาก่อนน่ะ ใครจะไปนึกว่าจะมีวันนี้ที่ท่านมาท้าดวลข้าด้วยตัวเอง? พูดตามตรงนะ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมากเลย!”
คราวลีย์ตกตะลึงอีกครั้ง และอดไม่ได้ที่จะหันไปหาสหายเก่าในสาขาธาตุมืด ดีโอ ราวกับว่าต้องการคำยืนยันถึงเรื่องนั้น
“ใช่แล้วล่ะ เมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาเคยเป็นทาสรับใช้ที่เคยทำความสะอาดโถงทางเดินที่ตรงไปยังอาคารของสาขาธาตุมืด อ้อ แล้วก็ตอนที่เจ้าได้เป็นจอมขมังเวทย์ธาตุมืด อาจารย์ใหญ่เอ็มม่าก็เป็นคนสั่งให้ตั้งรูปปั้นของเจ้าไว้ตรงนั้นเอง ที่เขาพูดมาก็ถูกต้องแล้วล่ะ เขาเคยทำความสะอาดรูปปั้นของเจ้าจริง ๆ”
ดีโอรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยขณะอธิบาย แต่ก็ยังสามารถเรียบเรียงเรื่องราวเพื่อคลายความสงสัยของคราวลีย์ได้เป็นอย่างดี
เมื่อคราวลีย์ได้ยินสิ่งที่ดีโออธิบายให้ฟัง ก็เชื่อว่าหานซั่วเคยทำความสะอาดรูปปั้นของตนเองจริง ๆ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเลเล็กน้อย และไม่ต้องการที่จะท้าสู้กับหานซั่วอีกต่อไปแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไร ก็ถือว่าหานซั่วแสดงความเคารพต่อเขา และหากท้าสู้ไปก็จะกลายเป็นว่าเขาคือฝ่ายที่ไม่จริงใจเสียเอง
ขณะเดียวกัน ดีโอ ผู้ดูแลสาขาธาตุมืดก็เห็นว่าคราวลีย์เริ่มมีท่าทีลังเล เขาจึงรีบส่งสายตาที่แฝงความหมายบางอย่างพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพูดกับหานซั่ว
“เคานต์ไบรอัน ตกลงว่าท่านจะยอมรับคำท้าดวลของคราวลีย์หรือเปล่าล่ะ?”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ เมื่อกี้ข้าก็เพิ่งพูดไปไม่ใช่เหรอ? ว่าข้ารู้สึกเป็นเกียรติมากเลย!”
หานซั่วยิ้มอย่างร่าเริง และชำเลืองมองดีโอ หานซั่วรู้ทันทีว่าดีโอกำลังวางแผนอะไรอยู่ แต่ตัวเขาเองก็มั่นใจอย่างที่สุด และไม่เกรงกลัวที่จะเอาชนะคราวลีย์ให้ได้ ณ ที่แห่งนี้
“เยี่ยมไปเลย ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเป็นพยานให้เอง พวกท่านทั้งคู่เห็นด้วยรึเปล่า?”
ทันใดนั้นเอง เอมีสก็เดินออกมาจากสาขาธาตุแสง และยิ้มอย่างสง่างามพร้อมยื่นข้อเสนอ
ในฐานะผู้ดูแลสาขาธาตุแสง วอยท์แลนเดอร์จึงเดินตามหลังเอมีสมาด้วย สีหน้าของเขากำลังนึกสนุกอย่างร้ายกาจ เพราะไม่ว่าจะเป็นสาขาธาตุมืดของคราวลีย์หรือหานซั่ว ก็ล้วนแต่เป็นศัตรูของเขาทั้งหมด และในเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายต่อสู้กัน เขาจึงรู้สึกบันเทิงใจไม่น้อยไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะหรือแพ้
“คราวลีย์ นี่คือท่านเอมีส เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อของท่านมาบ้างแล้วสินะ”
เมื่อดีโอเห็นเอมีสเดินเข้ามาอย่างไม่ได้รับเชิญและเสนอตัวออกมาเช่นนั้น เขาจึงรีบแนะนำเอมีสให้กับคราวลีย์ที่ห่างหายจากจักวรรดิแลนซล็อตไปเสียนานให้เขารู้จัก
ช่วงที่คราวลีย์ออกจากจักรวรรดิแลนซล็อตไป ตอนนั้นเอมีสยังเป็นเพียงสมาชิกดาวทมิฬขององครักษ์ชุดดำที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร จึงไม่แปลกที่ตอนนี้เขาจะไม่รู้จักหน้าค่าตาเอมีส แต่เมื่อกลับมา คราวลีย์ก็ได้เรียนรู้ชื่อของคนใหญ่คนโตภายในจักรวรรดิได้มากพอสมควร เมื่อได้ยินดีโอแนะนำ เขาจึงรีบทักทายเอมีสด้วยความเคารพ พร้อมกับตอบด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนครับ มีท่านเอมีสช่วยเป็นพยานให้ก็ดีที่สุดแล้วล่ะ”
“ข้าเองก็เป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ”
หานซั่วโค้งคำนับต่อเอมีสด้วยความสุภาพนอบน้อม ทำให้เอมีสหันกลับมาตอบรับคำทักทายอีกครั้ง
ตอนนั้นเอง ที่ทั้งอาจารย์และนักเรียนจากทุกสาขาต่างวิ่งกรูกันเข้ามา เพราะทุกคนเคยได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของหานซั่ว และเห็นว่าหานซั่วผู้ที่เพิ่งจะเป็นจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตายได้ไม่นาน กำลังจะท้าดวลกับจอมขมังเวทย์ธาตุมืดผู้ไม่ทราบที่มาแน่ชัด ทุกคนจึงรู้สึกตื่นเต้นจนบรรยายไม่ถูก
เพราะในวิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลนไม่ได้มีจำนวนของผู้ที่เป็นได้ถึงจอมขมังเวทย์มากมายนัก เพราะแม้แต่อาจารย์ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงนักเวทย์ระดับสูง หรือจอมเวทย์ธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง และพวกนักเรียนก็แทบจะไม่เคยเห็นอาจารย์ท้าสู้กันมาก่อน แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันเทียบได้กับการท้าดวลระหว่างจอมขมังเวทย์ถึง 2 คน จึงไม่แปลกที่ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกตื่นเต้นมากถึงเพียงนี้
“ ไบรอัน สู้ให้เต็มที่ไปเลย! เจ้าต้องชนะแน่ ๆ ! ”
ทันใดนั้นเอง เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นให้ได้ยิน หานซั่วหันไปมอง และเห็นว่าลิซ่ากำลังยืนอยู่ตรงหัวมุม และชูกำปั้นโบกไปมาพร้อมกับส่งเสียงเชียร์
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
หานซั่วรู้สึกถึงความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมาในจิตใจ เมื่อนึกย้อนไปว่าลิซ่าคือคนที่เชื่อมั่นและคอยเป็นกำลังใจเขามาโดยตลอด เมื่อวันเวลาผ่านไป ตอนนี้ลิซ่าได้เติบโตขึ้นจากเดิมที่เป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ดื้อรั้นและเอาแต่ใจ ไม่เพียงแต่เธอจะกลายเป็นสาวสะพรั่งและมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ยังดูกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมากขึ้นอีกด้วย ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสเมื่อครั้งนั้น ก็ส่งผลดีต่อเธอบ้างไม่มากก็น้อย
ตอนที่หานซั่วหันไปมองลิซ่า เขาเองก็มองเห็นแฟนนี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอด้วยเช่นกัน แต่แฟนนี่ไม่ได้มีความเชื่อมั่นอย่างไร้เงื่อนไขเหมือนที่ลิซ่ามีต่อหานซั่ว กลับกัน สายตาของเธอกลับแฝงไปด้วยความเป็นกังวล เพราะไม่ว่าหานซั่วจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่ตราบใดที่มีอันตรายเข้ามากล้ำกราย เธอก็ยังรู้สึกเป็นห่วงหานซั่วอยู่ดี
หลังจากส่งยิ้มเป็นประกายให้กับผู้หญิงทั้งคู่ หานซั่วก็หันกลับมาเผชิญหน้าคราวลีย์อีกครั้ง และเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“ท่านต้องการจะท้าสู้กับข้าแบบไหนเหรอ? เพราะตามนิสัยของข้าแล้ว คนที่เคยท้าสู้กับข้าอย่างเปิดเผย ไม่เคยมีใครรอดชีวิตกลับไปสักรายเลยนะ”
เมื่อได้ยินหานซั่วพูดเช่นนั้น คราวลีย์ก็ผงะไปทันทีและแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาอย่างชัดเจน เพราะเท่าที่คราวลีย์รู้เกี่ยวกับหานซั่วจากที่ดีโอเล่าให้ฟัง เขายังไม่รู้ในรายละเอียดถึงขั้นนั้น ในตอนนี้ เมื่อหานซั่วพูดขึ้นมา เขาจึงมีท่าทีกระอักกระอ่วนและทำอะไรไม่ถูก
“ตรงจุดนี้ ข้าช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้ไบรอันก็ได้ นอกจาก เลอาห์ เคน แห่งสมาพันธ์พ่อค้าบรุทแล้ว ไบรอันก็ได้ท้าดวลและสังหารคู่ต่อสู้ไปแล้ว 13 คนในโอกาสที่ต่างกัน จริงสิ เตือนท่านคราวลีย์ไว้สักหน่อย ในบรรดาคนที่ไบรอันสังหารไป นั่นรวมถึงอัศวินผู้ขี่มังกร เซลท์ ผู้บัญชาการกองกำลังอัศวินบุปผาแดงอีกด้วยนะ ฮะ ๆ ๆ ข้าเกรงว่าท่านคงจะยังไม่รู้ ก็เลยคิดว่าบอกท่านก่อนคงจะดีกว่า”
เอมีสเห็นท่าทีตกตะลึงของคราวลีย์ ก็รู้ทันทีว่าเขายังไม่รู้ถึงประวัติในอดีตอันโชกโชนของหานซั่ว จึงอดไม่ได้ที่จะให้ความกระจ่างแก่เขา
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเอมีส คราวลีย์ก็ถึงกับตัวสั่นขึ้นมา สายตาของเขาจ้องมองไปยังดีโอและแฝงความโกรธเคืองไว้อย่างชัดเจน เมื่อดีโอเห็นคราวลีย์มองเขาเช่นนั้น ดีโอก็ทำได้เพียงตีหน้าเศร้าอย่างรู้สึกผิดและหันหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความกระอักกระอ่วน ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้น
“เราอย่าใส่ใจกันในเรื่องนี้เลย ฮ่า ๆ ๆ พวกท่านต่างก็ถือว่าเป็นสมาชิกของสาขาธาตุมืดด้วยกันทั้งคู่ เราอย่ามาสู้กันในวันดี ๆ อย่างนี้เลย จะได้ไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่พวกเรามีต่อกันด้วยนะ”
เมื่อดีโอเห็นสายตาโกรธเคืองของคราวลีย์ และได้ยินคำเตือนของเอมีส ในที่สุดเขาก็สามารถจัดการกับความโกรธที่มีในจิตใจของตนเองได้ คราวลีย์คือผู้ที่ได้รับเชิญมาจากสาขาธาตุมืด หากเขาพ่ายแพ้ให้กับหานซั่วล่ะก็ ดีโออาจจะถูกตำหนิ และบางที บรรดาอาจารย์สาขาธาตุมืดคนอื่น ๆ อาจจะโทษว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความผิดของเขา
“ท่านคราวลีย์ ข้าเองก็คิดว่าเรามาปล่อยวางเรื่องนี้กันดีกว่า ฮะๆๆ ที่ท่านดีโอพูดมาก็มีเหตุผล เราอย่ามาทำร้ายความสัมพันธ์ที่มีต่อกันเลย เพราะยังไงพวกท่านก็ถือว่าอยู่ข้างเดียวกันจริง ๆ”
เอมีสยิ้มอย่างอ่อนโยน พลางแนะนำคราวลีย์
“ไม่ครับ ข้าต้องการจะดวลระดับพลังกับเคานต์ไบรอัน”
ภายใต้สายตาของผู้คน คราวลีย์ไม่มีทีท่าจะยอมถอยเลย เช่นนั้นแล้ว เขาจึงดึงดันที่จะสู้ให้ได้
ทันใดนั้นเอง รัศมีแสงสีขาวก็สว่างวาบขึ้นตรงใจกลาง แล้วเอ็มม่า อาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยบาบิโลนก็ปรากฏตัวขึ้น เธอมองมายังหานซั่วและคราวลีย์ ก่อนจะยิ้มและพูด
“การดวลระดับพลังเวทมนตร์ คือวิธีที่จะพัฒนาตนอย่างหนึ่งของเหล่านักเวทย์ แต่อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าทั้งคู่ก็ไม่ใช่ศัตรูกัน ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดวลแบบสู้กันให้ถึงตาย ไบรอัน วันนี้เป็นวันรับสมัครนักเรียนใหม่ประจำปีของเรา เจ้าไม่คิดจะเห็นแก่วิทยาลัยเก่าของเจ้าเลยจริง ๆ รึ?”
“เปล่าหรอกครับ ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ฮะ ๆ ๆ ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นแค่การต่อสู้เพื่อฝึกฝนระดับพลังจริง ๆ ถ้าท่านคราวลีย์ไม่ว่าอะไร พวกเราเปลี่ยนสถานที่กันสักหน่อยดีมั้ย?”
เมื่อหานซั่วเห็นเอ็มม่าปรากฏตัว เขาก็ยิ้มอย่างเป็นกันเอง และเชิญคราวลีย์ไปยังสถานที่อื่น
คราวลีย์รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะฝืนหัวเราะออกมาและตอบ
“ข้าจากไปนานเกินไป และไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานที่นี้เสียแล้วสิ ท่านคิดว่าที่ไหนจะเหมาะสมกว่าอย่างนั้นรึ?”
“ไม่จำเป็นต้องเลือกหรอก ใช้สนามฝึกซ้อมที่ใหญ่ที่สุดของสาขาธาตุมืดเลยก็ได้ ที่นั่นมีม่านพลังเวทมนตร์ขนาดใหญ่ครอบคลุมอยู่ด้วย น่าจะไม่เป็นไรถ้าพวกเจ้าทั้งคู่ระมัดระวังกันสักหน่อย และได้โปรด อย่าทำร้ายความสัมพันธ์อันดีต่อกันเชียว”
เมื่อเอ็มม่าเห็นว่าหานซั่วไม่ได้คิดจะสู้จริงจังถึงขั้นนั้น เธอเองก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน จึงยิ้มและพูดออกไป
ทั้งหานซั่วและคราวลีย์ต่างเห็นพ้องต้องกัน และการรับสมัครนักเรียนของทั้งวิทยาลัยก็ถูกระงับไปชั่วคราว ขณะที่หานซั่วและคราวลีย์เดินเข้าไปสู่สนามฝึกซ้อมขนาดใหญ่ ทั้งนักเรียนและอาจารย์ของทุกสาขาต่างก็พุ่งตัวขึ้นไปจับจองที่นั่งบนอัฒจันทร์ด้วยความกระตือรือร้น