Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 392
สนามฝึกซ้อมหมายเลข 1 ของสาขาเวทมนตร์ธาตุมืดนั้นมีขนาดกว้างขวาง และการต่อสู้ระหว่างหานซั่วและคราวลีย์ก็ดึงดูดบรรดาอาจารย์และนักเรียนจำนวนมากให้มาดู ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น คือเอมีสและอาจารย์ใหญ่เอ็มม่า ซึ่งมาเป็นพยานในการต่อสู้ เช่นเดียวกับที่คอยดูแลความปลอดภัยของทุก ๆ คน
มีม่านพลังขนาดใหญ่ปกคลุมทั่วทั้งสนามฝึกซ้อม เพื่อป้องกันความรุนแรงของเวทมนตร์ที่อาจกระจายตัวออกไปสู่ด้านนอก และยิ่งไปกว่านั้น เอ็มม่าก็ได้แบ่งพื้นที่เล็ก ๆ ไว้สำหรับผู้ชมที่มาเฝ้าดูการต่อสู้ ในขณะที่การรับสมัครนักเรียนใหม่ที่ด้านนอกก็ต้องถูกระงับไปชั่วคราว
“อาจารย์ใหญ่ ทำไมท่านถึงยอมให้ 2 คนนั้นต่อสู้กันในโอกาสแบบนี้ล่ะครับ?”
ขณะที่เอ็มม่าและเอมีสยืนอยู่ข้าง ๆ กัน เอมีสซึ่งสวมชุดคลุมสีขาวสะอาดไร้ที่ติดูราวกับเทพบุตรก็ยิ้มและเอ่ยปากถามเอ็มม่า
เอ็มม่าจ้องมองเอมีสซึ่งเพิ่งจบจากวิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาลิโลนไปได้ไม่นานมากนัก ก่อนหน้านี้ที่เอมีสยังเรียนอยู่ที่สาขาเวทมนตร์ธาตุแสง เอ็มม่าในตอนนั้นก็เป็นอาจารย์ที่ดูแลสาขาเวทมนตร์ห้วงมิติ เรียกได้ว่าเอ็มม่าคือรุ่นพี่ของเอมีสในวิทยาลัยด้วยก็ว่าได้ ดังนั้น เอมีสจึงให้ความเคารพเธอเป็นอย่างมาก
“เมื่อก่อน คราวลีย์คนนั้นทั้งหยิ่งทระนงและจองหอง หลังจากที่เวลาผ่านไปตั้งนาน ข้าก็เห็นว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย การสั่งสอนให้เขารู้สำนึกเสียบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนักหรอก อีกอย่าง ไบรอันเองก็เพิ่งจะได้เป็นจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตาย และอาจจะใช้เวทมนตร์ใหม่ ๆ ได้ไม่คล่องแคล่วนัก การท้าดวลระดับพลังที่ไม่ถึงขั้นเอาเป็นเอาตายก็เลยน่าจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาทั้งคู่น่ะ”
เอ็มม่ายิ้มอย่างมีเมตตา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นขณะอธิบายกับเอมีส
“ถ้าอย่างนั้น ท่านคิดว่าใครจะชนะล่ะครับ?”
เอมีสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ฮะ ๆ ๆ ข้าว่าเรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้ดีมากกว่าข้าเสียอีกนะ?”
เอ็มม่ายิ้มเล็กน้อยขณะมองไปที่เอมีส และพูดโดยสื่อนัยยะบางอย่าง
เอมีสหัวเราะเมื่อได้ยินคำตอบของเอ็มม่า เขาพยักหน้าโดยไม่ตอบอะไร ในฐานะ 1 ในผู้ทรงอิทธิพลแห่งองครักษ์ชุดดำ เอมีสตระหนักถึงความแข็งแกร่งของหานซั่วในตอนนี้เป็นอย่างดี ในฐานะผู้ที่ผ่านภยันตรายและเหตุการณ์นองเลือดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งยังเป็นนักเวทย์ผู้ใช้ความตายที่ฝึกฝนศาสตร์อันลี้ลับ จนประสบความสำเร็จในภารกิจลับที่ยิ่งใหญ่มาแล้วมากมาย
นอกจากเซลท์ อัศวินผู้ขี่มังกร ผู้บัญชาการกองกำลังอัศวินบุปผาแดงแล้ว หานซั่วยังได้ต่อสู้กับอาร์คบิชอปคอสส์แห่งศาสนจักรแห่งแสงสว่างอีกหลายครั้ง เอมีสยังได้ข่าวอื่น ๆ มาอีกมาก รวมทั้งเรื่องที่สามารถสังหารจอมขมังเวทย์ธาตุแสงเฟอร์กูสันได้ ก่อนที่หานซั่วจะได้เป็นจอมขมังเวทย์เสียอีก ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร เขาก็คือผู้ที่มีโอกาสชนะมากกว่า
เหตุผลที่เอมีสสนใจมาเป็นผู้ตัดสินในการต่อสู้ครั้งนี้ เพราะเขาต้องการที่จะเห็นด้วยตาตนเองว่าหานซั่วมีพัฒนาการอย่างไร จริง ๆ แล้ว เอมีสก็ไม่ได้สนใจผลแพ้ชนะเท่าใดนัก เพราะการที่หานซั่วจะเอาชนะคราวลีย์ได้นั้นเป็นสิ่งที่ทั้งเอมีสและเอ็มม่าคาดไว้อยู่แล้ว
ผู้คนต่างเต็มไปด้วยความคาดหวังขณะเฝ้าดูจอมขมังเวทย์ทั้ง 2 ที่อยู่ตรงกลาง ในขณะที่สายตาของสาขาศาสตร์แห่งความตาย แฟนนี่ ลิซ่า และคนอื่น ๆ นั้นเป็นประกายยิ่งกว่าใคร ๆ พวกเขาทุกคนล้วนจับจ้องไปที่หานซั่ว เพราะต้องการเห็นความเคลื่อนไหวของเขาทุกฝีก้าว
“ภายในจักรวรรดิแลนซล็อต ใช่ว่าจะไม่มีจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตายคนอื่น ๆ แต่ไม่ว่ายังไง คนพวกนั้นก็มักจะยุ่งอยู่กับการค้นคว้าเรื่องเวทมนตร์และไม่ค่อยจะปรากฏตัวให้ใครเห็นนัก นี่อาจจะเป็นเพียงครั้งเดียว ที่พวกเจ้าจะได้เห็นการต่อสู้ของจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตายเลยก็ว่าได้ พวกเจ้าตั้งใจดูให้ดี ๆ ล่ะ”
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
แม้ว่าแฟนนี่จะเป็นห่วงหานซั่ว เธอก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในฐานะอาจารย์ของสาขาศาสตร์แห่งความตาย แฟนนี่จึงให้คำแนะนำกับนักเรียน และบอกให้พวกเขาคอยตั้งใจดูให้ดี ซึ่งแฟนนี่เองก็ใจจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ด้วยเช่นกัน
“อาจารย์แฟนนี่ อย่าห่วงไปเลยค่ะ พวกเราจะคอยดูการเคลื่อนไหวของไบรอันให้ดีที่สุดเลย!”
ลิซ่าตะโกนอย่างตื่นเต้น ดวงตาสดใสของเธอจับจ้องไปที่ร่างของหานซั่วตั้งแต่แรกเริ่ม
“ถึงจะเป็นเพียงแค่การดวลระดับพลัง ท่านคราวลีย์ก็ไม่ต้องออมมือหรอกนะ ฮะ ๆ ๆ ข้าเป็นนักเวทย์ผู้ใช้ความตาย ถ้าท่านปล่อยให้ข้ามีเวลาอัญเชิญอสูรมิติมืดล่ะก็ ข้าเกรงว่านั่นคงทำให้ท่านเสียเปรียบมากแน่ ๆ”
หานซั่วยิ้มอย่างสบายใจขณะที่เขาพูดกับคราวลีย์ที่เอาคทาเวทมนตร์สีเขียวออกมา
หานซั่วมั่นใจอย่างมากในการจัดการกับคราวลีย์ ตั้งแต่ที่กลับมาจากมิติมืด พลังจิตของเขาก็ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อหานซั่วบรรลุสู่อาณาจักรพลังแยกร่างปีศาจ เขาสามารถจับความเคลื่อนไหวของคราวลีย์ทุกฝีก้าวด้วยความช่วยเหลือของปีศาจอาคมจำนวนหนึ่ง ในขณะที่ความแข็งแกร่งและความเร็วของร่างกายหานซั่วก็เป็นสิ่งที่คราวลีย์ไม่สามารถเทียบได้อยู่แล้ว เรียกได้ว่าหานซั่วเหนือกว่าคราวลีย์ในทุก ๆ ด้าน เขาจึงมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้น ข้าคงไม่เกรงใจล่ะนะ เคานต์ไบรอัน โปรดระวังตัวด้วย”
คราวลีย์ได้รับรู้ถึงวีรกรรมของหานซั่วจากดีโอและเอมีสก่อนที่จะเข้ามาในบริเวณสนามฝึกซ้อม ซึ่งเขาจะไม่ปรามาสในฝีมือเพียงเพราะอายุยังน้อย และจะถือว่าหานซั่วคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยพานพบในชีวิตเสียด้วยซ้ำ คราวลีย์จึงไม่กล้าวางใจ เมื่อพูดจบ คทาเวทมนตร์ในมือของเขาก็เริ่มปลดปล่อยแสงสีน้ำตาลเทาออกมา แล้วมวลหนาแน่นของธาตุมืดก็แผ่ปกคลุมภายในสนามฝึกซ้อมราวกับภูติพรายที่มีชีวิต ขณะที่คราวลีย์กำลังร่ายเวทย์อย่างช้า ๆ หัตถ์มรณะขนาดใหญ่จำนวน 6 มือ ก็ก่อร่างขึ้นรอบตัวของหานซั่ว หมายจะขยี้ร่างเขาให้แหลก
จอมขมังเวทย์คราวลีย์มีความสามารถที่โดดเด่น เขาถึงกับใช้เวทย์หัตถ์มรณะที่ทรงพลังและมีขนาดมหึมาในการโจมตีระลอกแรก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถร่ายเวทย์ออกมาได้ถึง 6 ฝ่ามือภายในครั้งเดียว เห็นได้ชัดว่าเขามองหานซั่วราวกับศัตรูคู่อาฆาต
หัตถ์มรณะทั้ง 6 นั้นดูเหมือนมีชีวิตมากกว่าที่เอมิลี่เคยร่ายออกมา อีกทั้งยังปรากฏลักษณะของเส้นเลือดดำที่ชัดเจนบนฝ่ามือเหล่านั้น ราวกับว่าพวกมันคือมือของอสูรสักตนในมิติมืด นิ้วที่หยาบกร้านและเรียวยาวนั้นมีเล็บที่แหลมคมเหมือนตะขอ แลดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ดูเหมือนว่าคราวลีย์นั้นจะระมัดระวังอย่างมากและไม่ได้รีบร้อนจู่โจมหานซั่วอย่างรุนแรง เขาเพียงแต่ควบคุมให้หัตถ์มรณะทั้ง 6 ค่อย ๆ พุ่งเข้าใส่หานซั่ว เช่นนั้นแล้ว เขาจะสามารถสร้างความกดดันให้กับหานซั่ว ในขณะที่ยังอยู่ภายใต้กฏของการดวลระดับพลัง
เมื่อหานซั่วเห็นว่าหัตถ์มรณะทั้ง 6 กำลังบีบอัดเข้ามา เขาก็ตระหนักว่าคราวลีย์ไม่ได้ต้องการที่จะเอาชีวิตเขา และยังปฏิบัติตามคำแนะนำของเอ็มม่าที่บอกให้ต่อสู้กันอย่างขาวสะอาด ทำให้หานซั่วที่กำลังเตรียมตัวรับการโจมตีอย่างกะทันหัน เกิดความประทับใจในตัวของคราวลีย์เป็นอย่างมาก
เขาเรียกคทากระดูกสีขาวออกมา และร่ายเวทย์ศาสตร์แห่งความตาย “เวทย์หลุมวิญญาณ” ทันใดนั้นเอง เหล่าเจตภูตินับร้อยก็ปรากฏขึ้น พวกมันบินอย่างรวดเร็วกลายเป็นกระแสมิติที่หมุนวนเบื้องหน้าหานซั่ว และดูดกลืนธาตุเวทมนตร์ต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบเข้าไป แม้กระทั่งหัตถ์มรณะทั้ง 6 ที่กำลังบีบอัดหานซั่วก็ได้รับผลจากแรงกดดันของเวทย์หลุมวิญญาณ และค่อย ๆ ถูกดูดกลืนเข้าสู่หลุมมิติที่อยู่เบื้องหน้าหานซั่วจนหมดไปในที่สุด
เวทย์หลุมวิญญาณ เป็นเวทย์ในระดับจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตายที่หานซั่วเพิ่งฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ เวทย์ศาสตร์แห่งความตายนี้เป็นการใช้พลังของเหล่าเจตภูติในมิติมืด เพราะพลังของเจตภูติเพียงตนเดียวแทบจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสามารถควบคุมเจตภูตินับร้อยตนได้ด้วยพลังจิต และทำให้กลายเป็น “หลุมวิญญาณ” ตามหลักของศาสตร์แห่งความตาย หานซั่วก็สามารถใช้ประโยชน์มันได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว
สำหรับเวทมนตร์โจมตีใดก็ตามที่ประกอบไปด้วยธาตุเวทมนตร์ “เวทย์หลุมวิญญาณ” นี้จะก่อให้เกิดแรงมหาศาลที่ดูดกลืนการโจมตีเหล่านั้นเข้าไปภายในหลุม และใช้เจตภูติจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นให้ค่อย ๆ บดสลายพลังโจมตีดังกล่าวไปทีละน้อย ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ ถูกดูดเข้าสู่ “เวทย์หลุมวิญญาณ” แล้วล่ะก็ เหล่าเจตภูติก็จะกระชากวิญญาณของผู้นั้นออกจากร่าง และลากลงสู่มิติมืดในทันที
สำหรับทุกสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ เมื่อถูกลากเข้าไปยังมิติมืดแล้ว วิญญาณของพวกเขาจะไม่สามารถหาทางกลับมาได้อีกเลย และจะถือว่าเขาตายจากอาณาจักรแห่งความลึกล้ำนี้ไปแล้วด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ “เวทย์หลุมวิญญาณ” ก่อตัวขึ้น พลังจิตของหานซั่วที่มีรูปร่างคล้ายเส้นไหมก็หลั่งไหลไปสู่เหล่าเจตภูติและหลุมมิตินั้น เป็นการเสริมพลังที่ช่วยหล่อเลี้ยงเหล่าเจตภูติและหลุมมิติให้สามารถหมุนวนได้อย่างต่อเนื่อง ความรุนแรงในการดูดกลืนนั้นค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นเมื่อหานซั่วใช้พลังจิตเข้าไปเสริม ทำให้หัตถ์มรณะทั้ง 6 ที่กำลังจะบีบอัดร่างของหานซั่วเกิดความหน่วงอย่างรุนแรง ก่อนที่พวกมันจะค่อย ๆ ถูกดูดเข้าสู่หลุมวิญญาณทั้งหมดในที่สุด
คราวลีย์และหานซั่วอยู่ห่างจากกันมากพอควร ดังนั้น คราวลีย์จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการดูดกลืนของหลุมวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้น แรงดูดที่เกิดขึ้นจากหลุมวิญญาณนั้น จะมีผลโจมตีเฉพาะกับธาตุเวทมนตร์และสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณที่อยู่ใกล้ ๆ และจะไม่มีผลกระทบต่อสิ่งของธรรมดาทั่วไปและการโจมตีทางร่างกาย
เมื่อคราวลีย์เห็นว่าหัตถ์มรณะทั้ง 6 ถูกดูดกลืนหายไปในที่สุด ท่าทางของเขาเริ่มไม่สู้ดี และตระหนักว่าความแข็งแกร่งของหานซั่วในฐานะจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตายนั้นน่าเกรงขามยิ่งนัก หัตถ์มรณะทั้ง 6 ที่อันตรธานหายไปทำให้คราวลีย์เกิดความกลัว และพร้อมกันนั้นก็ทำให้เขาระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
จากนั้นคราวลีย์ก็ร่ายเวทย์ขึ้นมาอีกครั้ง คทาเวทมนตร์สีเขียวในมือของเขาค่อย ๆ ปล่อยแสงขมุกขมัวออกมาอย่างช้า ๆ เมื่อร่ายเสร็จ เขาก็ชี้คทาเวทมนตร์สีเขียวไปที่หานซั่ว ก่อให้เกิดความเชื่อมโยงลึกลับบางอย่างขึ้นระหว่างตัวเขาเองและหานซั่วขึ้นมาในทันที
มวลธาตุมืดมากมายรวมตัวเข้าด้วยกัน ทำให้บรรยากาศโดยรอบหานซั่วอบอวลและหนาแน่นขึ้นอย่างรุนแรง ร่างกายของหานซั่วเริ่มเกร็งและไม่สามารถขยับได้ ไม่เพียงแต่แขนขาของเขาถูกพันธนาการ แม้แต่ปากก็ถูกปิดเอาไว้ มวลธาตุมืดที่มองแทบไม่เห็นนั้นราวกับเชือกที่ค่อย ๆ เกี่ยวกระหวัดรอบตัวเขา
“คุกแห่งความมืด” เป็นเวทย์ชั้นสูงของเวทมนตร์ธาตุมืด ซึ่งต้องใช้พลังจิตรวบรวมธาตุมืดและก่อร่างขึ้นมาจองจำศัตรู ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้
เพียงเสี้ยววินาที นอกจากพลังจิตและแก่นมนตราที่ยังสามารถโคจรอยู่ได้ ร่างกายของหานซั่วก็ถูกพลังของธาตุมืดพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา ระหว่างกระบวนการนี้ คราวลีย์โบกคทาเวทมนตร์สีเขียวอีกครั้ง ส่งให้ “เวทย์ทำลายล้าง” จำนวน 5 ลูก ก่อร่างขึ้นอย่างช้า ๆ และพุ่งเข้าใส่หานซั่ว
คราวลีย์มีท่าทีพอใจ เพราะนี่คือเวทมนตร์ที่เขาเชี่ยวชาญและมีความมั่นใจมากที่สุด ด้วยเข้าใจว่าหานซั่วที่เพิ่งเป็นจอมขมังเวทย์ได้ไม่นาน ก็ไม่น่าจะมีพลังจิตที่พื้นตัวเร็วเทียบเท่ากับเขาที่มีประสบการณ์มานานกว่า ซึ่ง “เวทย์คุกแห่งความมืด” ก็สามารถจองจำนักเวทย์ที่มีความแข็งแกร่งของพลังจิตน้อยกว่าเขา และทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้เลย
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
คราวลีย์จึงเจาะจงจุดอ่อนนี้ของหานซั่วมากเป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าความแข็งแกร่งของหานซั่วจะต้องด้อยกว่า นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาร่ายเวทย์ “คุกแห่งความมืด” และเมื่อคิดว่าหานซั่วถูกพันธนาการโดย “คุกแห่งความมืด” ได้สำเร็จเป็นที่แน่นอนแล้ว คราวลีย์ก็รู้สึกพอใจในตัวเองไม่น้อย
เอ็มม่าและเอมีสที่นั่งอยู่ข้างกันต่างเฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อ การที่คราวลีย์ต้องการใช้ประโยชน์จากหานซั่วเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตนเอง เขาย่อมไม่ได้วางแผนที่จะฆ่าหานซั่วอย่างแน่นอน ดังนั้น เมื่อเวทย์ทำลายล้างก่อร่างขึ้น คราวลีย์จึงไม่ได้สั่งให้พวกมันโจมตีหานซั่วในทันที แต่กลับค่อย ๆ ส่งให้มันพุ่งใส่เขาอย่างช้าๆ
“เคานต์ไบรอัน ท่านแพ้แล้ว รีบยอมรับก่อนที่เวทย์ทำลายล้างจะถึงตัวท่านดีกว่านะ!”
คราวลีย์มีท่าทีมั่นอกมั่นใจ และยิ้มขณะที่มองหานซั่วซึ่งขยับตัวไม่ได้
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้ชมโดยรอบก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นมาทันที โดยเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าว่าเหตุการณ์จะออกมาเป็นแบบนี้ นักเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตายที่เข้าเรียนเพราะชื่อเสียงของหานซั่วต่างแสดงสีหน้าฉงนสงสัย และลังเลใจ ลิซ่าที่เห็นท่าทีเหล่านั้น จึงตะโกนขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าพวกโง่! ทำหน้าตาแบบนั้นหมายความว่ายังไง ไบรอันไม่แพ้ตาแก่นั่นหรอกน่า!”
ท่าทางโวยวายเหมือนคนคุ้มคลั่งของลิซ่าทำให้นักเรียนใหม่ต่างพากันกลัว และไม่กล้าหันหน้าไปมองลิซ่าที่เกรี้ยวกราด เพื่อไม่ให้ลิซ่าโวยวายใส่พวกเขาอีก
“หึหึ สมกับเป็นคราวลีย์จริง ๆ เมื่อเขาพุ่งเป้าไปยังจุดอ่อนเรื่องความแข็งแกร่งทางพลังจิตของเจ้าเด็กนั่น เขาก็รีบใช้เวทย์คุกแห่งความมืดกักตัวเขาไว้ ก่อนที่จะทันได้ร่ายเวทย์อัญเชิญอสูร ใครจะไปคิด ดูเหมือนว่าคราวลีย์จะชนะจริง ๆ เสียแล้วสิ!”
ดีโอ อาจารย์ผู้ดูแลสาขาเวทมนตร์ธาตุมืดมีท่าทีดีอกดีใจ เสียงของเขาดูมีความสุขมากกว่าปกติ ขณะพูดให้อาจารย์และนักเรียนสาขาเวทมนตร์ธาตุมืดที่อยู่รอบ ๆ ฟัง
ตรงกันข้าม อาจารย์ใหญ่เอ็มม่าและเอมีสต่างมีท่าทีสงบ พวกเขาไม่ได้มีความวิตกกังวลใด ๆ และยังจ้องมองไปที่หานซั่วอย่างอารมณ์ดี ราวกับว่าต้องการรอดูว่าหานซั่วจะตอบโต้อย่างไรต่อไป
หลังจากที่ดูดกลืนอัญมณีบริสุทธิ์เข้าไป พลังจิตของหานซั่วก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าคราวลีย์เลย อย่างไรก็ตาม หานซั่วไม่ได้ใช้พลังจิตในการขัดขืนคราวลีย์ แต่กลับใช้แก่นมนตราทำให้ร่างกายของเขามีพลังขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อหานซั่วเริ่มต่อต้านอย่างจริงจัง เสียงระเบิดของพลังบางอย่างก็ดังขึ้นมา
เปรี้ยง…!!!
“ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย!“
หานซั่วยิ้มและพูดขึ้น ขณะที่เวทย์คุกแห่งความมืดถูกทำลายลง และหานซั่วก็โบกคทากระดูกสีขาวอีกครั้ง ส่งหอกกระดูกจำนวนมากพุ่งเข้าทำลายเวทย์ทำลายล้างทั้งหมดที่ยังเข้ามาไม่ถึงตัว จากนั้นเขาก็อัญเชิญผีดิบวิกลจริตออกมา และสั่งให้มันพุ่งเข้าโจมตีคราวลีย์ ก่อนจะอัญเชิญอัศวินปีศาจออกมาอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมกับกองทัพอสูรมิติมืดที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คราวลีย์แพ้แล้ว”
เอ็มม่ายิ้ม ก่อนจะหันไปมองเอมีสและพูดขึ้น
“ว่าแต่ไบรอันทำลายคุกแห่งความมืดของคราวลีย์ได้ยังไงกันน่ะ? ข้าตรวจจับกระแสพลังจิตของเขาไม่ได้เลย หึหึ เอมีส ท่านมองออกรึเปล่าว่าเขาทำได้ยังไง?”
เอมีสยักไหล่และตอบอย่างสง่างาม
“ขนาดอาจารย์ใหญ่ยังไม่ทราบ แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงกันล่ะครับ ฮ่า ๆ ยังไงซะ ไบรอันก็อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านคานไดด์ ข้าเชื่อว่าด้วยความสัมพันธ์ของท่านกับท่านคานไดด์ ท่านคงจะรู้เรื่องของไบรอันมากกว่าข้าเสียอีก”
ก่อนหน้านี้เอมีสพุ่งความสนใจไปที่หานซั่ว เพื่อดูว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร เขาไม่เคยแคลงใจในชัยชนะของหานซั่ว เพราะเขาเคยเอาชนะเซลท์และอาร์คบิชอปคอสส์มาแล้ว หานซั่วย่อมไม่ใช่ใครที่คราวลีย์จะสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เอมีสประหลาดใจแม้จะจับตาดูอย่างจริงจัง เขาก็ไม่รู้ว่าหานซั่วเอาชนะได้อย่างไร เช่นนั้นแล้ว สิ่งเดียวที่เอมีสมั่นใจก็คือหานซั่วไม่ได้ใช้พลังจิตเลยแม้แต่น้อย!
…ใช่แล้ว ต้องเป็นศาสตร์การต่อสู้ลึกลับนั่นอย่างแน่นอน คน ๆ นี้ถึงสามารถหลุดจากพันธนาการที่ทรงพลังได้โดยใช้ศาสตร์ที่ว่านั่น ด้วยความแข็งแกร่งของจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตาย และยังมีพลังจากสิ่งนั้นอีก ดูเหมือนว่าในอนาคต จักรวรรดิแลนซล็อตจะต้องตกอยู่ในกำมือของเขาจริง ๆ การที่เขามีศาสตร์การต่อสู้ลึกลับเช่นนั้นได้ ใครกันนะ ที่เป็นอาจารย์ของเขา? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อหรือแม้แต่เคยพบคนผู้นั้นมาก่อน? นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว… เอมีสครุ่นคิดอยู่ในใจขณะจ้องมองไปที่หานซั่ว
“เห็นมั้ย! เจ้าพวกโง่ เห็นรึยัง!?”
ลิซ่าตื่นเต้นดีใจอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ พร้อมกับตะโกนใส่พวกนักเรียนใหม่ เธอร้องเชียร์สุดเสียงหลังจากที่หานซั่วสามารถทำลายคุกแห่งความมืดได้อย่างง่ายดาย
เมื่อหานซั่วอัญเชิญอสูรมิติมืดออกมา เด็ก ๆ เหล่านั้นร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เด็กบางคนตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อขณะที่พวกเขาเห็นบรรดาอสูรมิติมืดที่แสนชั่วร้าย ก่อนจะร้องตะโกนคุยกับเพื่อนที่อยู่รอบ ๆ
“ดูนั่นสิ! นั่นเรียกว่าอัศวินปีศาจ มันมีพลังมากพอกับมนุษย์ที่เป็นถึงอัศวินปฐพีเลยนะ แต่ร่างกายของพวกมันแข็งแกร่งกว่าเยอะเลย!”
เด็กผู้หญิงต่างรู้สึกหวาดกลัวอสูรมิติมืดเหล่านี้ขึ้นมาโดยสัญชาติญาณ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยคำอธิบายของพวกนักเรียนคนอื่น ๆ พวกเธอจึงรู้สึกอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะเสียงตะโกนของลิซ่าทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายและเริ่มเฝ้ามองอสูรเหล่านั้นอย่างพิจารณามากขึ้น
ตั้งแต่วินาทีที่หานซั่วสามารถเปิดปากพูด คราวลีย์ก็รู้ตัวว่าเขาได้พ่ายแพ้แล้ว เมื่อเขาเห็นอสูรมิติมืดปรากฏตัวขึ้นมากมาย คราวลีย์ก็สูญเสียซึ่งความมั่นใจที่จะคว้าชัยชนะ
ในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ สิ่งที่ไม่ถูกกับนักเวทย์ผู้ใช้ความตายก็คือเหล่านักเวทย์ธาตุแสง นอกจากนั้นแล้ว ในการต่อสู้ของนักเวทย์ในระดับเดียวกัน เมื่ออสูรมิติมืดจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น มันก็เป็นเหมือนกับตัวบ่งบอกชัยชนะของนักเวทย์ผู้ใช้ความตายได้ในทันที ยกตัวอย่างในครั้งนี้ เมื่อผีดิบวิกลจริตปรากฏตัวขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้คราวลีย์ต้องปวดหัวมากพออยู่แล้ว และยังมีอสูรมิติมืดตนอื่น ๆ อีกเป็นกองทัพ นอกจากการชำระล้างพวกมันด้วยเวทมนตร์ธาตุแสงแล้ว นักเวทย์จากสาขาอื่น ๆ ก็แทบจะไม่เหลือทางเลือกใด ๆ ที่สามารถรับมือได้เลย
และแน่นอน ก่อนที่ผีดิบวิกลจริตจะเข้าถึงตัว คราวลีย์ก็ถอนหายใจอย่างยอมจำนน เขาวางคทาเวทมนตร์สีเขียวในมือลงบนพื้น และตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“เคานต์ไบรอัน ข้ายอมแพ้แล้ว!”