Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 389 (2)
GDK ตอนที่ 389 สถานการณ์ของสาขาศาสตร์แห่งความตาย Part 2
ในฐานะสถาบันบ่มเพาะยอดฝีมือและผู้มีพรสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิแลนซล็อต วิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลนคือสถานที่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหนุ่มสาวจากตระกูลขุนนางชั้นสูงหรือครอบครัวสามัญชน ต่างก็กระตือรือร้นอยากที่จะเข้าเรียน โดยมีเป้าหมายว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะกลายนักเวทย์หรืออัศวินที่มีชื่อเสียง ซึ่งหากใครที่เรียนไปแล้วรู้ตัวว่าตนเองมีทักษะด้านเวทมนตร์ไม่มากพอ การผันตัวมาเป็นนักดาบแทนก็ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี
การเปิดรับสมัครนักเรียนใหม่ประจำปีของวิทยาลัยบาบิโลน ในฐานะสถาบันการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดจึงจัดขึ้นในเมืองหลวงที่มักเต็มไปด้วยผู้คนและความมีชีวิตชีวา เมื่อเหล่ายอดฝีมือของจักรวรรดิแห่มารวมตัวกันด้วยหวังว่าจะมีโอกาสได้เข้าเป็นนักเรียนของวิทยาลัยแห่งนี้
ตามปกติแล้ว ตราบใดที่เด็กสักคนสามารถเข้าเรียนในวิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลน และเรียนจบได้สำเร็จ ก็เท่ากับว่ามีอนาคตที่สวยงามรออยู่ โดยไม่สนว่าจะเป็นสามัญชนหรือชนชั้นสูง แต่ก็แน่นอนว่าหากมาจากตระกูลใหญ่โต และยังร่ำเรียนเวทมนตร์ โอกาสที่จะเด็กคนนั้นจะได้รับในอนาคตก็ยิ่งสดใสมากขึ้นเท่านั้น
เด็กนักเรียนจะต้องผ่านบททดสอบมากมาย เพื่อที่จะเลือกสาขาวิชาหลักที่เหมาะสมกับพลังจิตที่สัมพันธ์กับธาตุเวทมนตร์นั้น ๆ โดยทั่วไปแล้ว คนที่สามารถสัมผัสถึงธาตุเวทมนตร์ใด ๆ ได้มากเป็นพิเศษ ก็แปลว่าจะเรียนรู้เวทมนตร์ธาตุนั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่นี่ก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่แน่นอนเสมอไป ยกตัวอย่างคนที่มีสัมผัสต่อธาตุมืดที่อ่อนมาก แต่ด้วยความสนใจส่วนบุคคลและหมั่นเรียนรู้ ก็ทำให้เขาสามารถกลายเป็นจอมขมังเวทย์ธาตุมืดได้เช่นกัน เรียกได้ว่ารากฐานของธาตุเวทมนตร์เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ และความสำเร็จของแต่ละคนก็ขึ้นอยู่กับการทุ่มเทความพยายามของตนเองมากกว่า
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
เมื่อบรรดานักเรียนเข้ารับการทดสอบมากมายจนเสร็จสิ้นแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเลือกสาขาหลักที่ตนเองต้องการ แต่ประเด็นสำคัญในการเลือก มักจะขึ้นอยู่กับความสนใจส่วนตัว และความแข็งแกร่งของสาขานั้น ๆ มากกว่าที่จะเลือกตามหลักพื้นฐานว่าตนเองสัมผัสถึงธาตุเวทมนตร์ใดได้ชัดเจนที่สุด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา วิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลนจะยึดมั่นและเคารพในการตัดสินใจของพวกนักเรียน ไม่ว่าสาขาใดก็ไม่มีสิทธิ์บังคับนักเรียนที่มีความสามารถโดดเด่นให้เข้าเรียนในสาขานั้นได้ สุดท้ายแล้ว นักเรียนก็จะเป็นผู้เลือกเส้นทางของตนเอง จึงทำให้ในช่วงเวลานั้น แต่ละสาขาต่างพากันแสดงผลงานและความสามารถของตนเพื่อดึงดูดความสนใจให้นักเรียนเก่ง ๆ มาเข้าร่วม
เช่นเดียวกันกับสาขาศาสตร์แห่งความตาย ที่ถูกเมินเฉยมาตลอดหลายปีจนกลายเป็นเพียงสาขาย่อยของสาขาเวทมนตร์ธาตุมืด แต่ในเมื่อสาขาศาสตร์แห่งความตายและสาขาธาตุมืดไม่ถือว่าเป็นสาขาเดียวกัน เมื่อถึงเวลารับสมัครนักเรียนใหม่ สาขาศาสตร์แห่งความตายจึงมีสิทธิ์ที่จะเปิดรับนักเรียนได้อย่างอิสระ
ภายในลานกว้างที่แสนครึกครื้น แต่ละสาขาเวทมนตร์ของวิทยาลัยบาบิโลนต่างจับจองพื้นที่เป็นของตัวเอง แบ่งเป็นจุดรับสมัครของแต่ละสาขา ได้แก่ ธาตุแสง ธาตุมืด ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุดิน ธาตุสายฟ้า ตลอดจนศาสตร์อัญเชิญ ศาสตร์ห้วงมิติ และศาสตร์แห่งความตาย
ทุกสาขาต่างจัดแจงพื้นที่รับสมัครของตนให้โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการทำป้ายประกาศใหญ่โต การเชิญศิษย์เก่าผู้มีชื่อเสียงที่เรียนจบจากสาขานั้น ๆ มาช่วยดึงดูดความสนใจของกลุ่มเด็กนักเรียน หรือแม้แต่การรับประกันสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับหากเข้าเรียนในสาขานั้น ทุกสาขาจึงทุ่มเทสุดพลัง เพื่อเชิญชวนเด็กนักเรียนที่มีความสามารถให้เข้าร่วมในสาขาของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะพรสวรรค์และความสามารถคือรากฐานสำคัญสำหรับนักเรียนของวิทยาลัยบาบิโลน ไม่ว่าสาขาใดก็ตามที่สามารถผลิตนักเวทย์ยอดฝีมือขึ้นมาได้สักคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่จะเป็นการนำมาซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีของทั้งสาขา ยังจะเป็นการสร้างโอกาสและข้อได้เปรียบในวิทยาลัยอีกมากมายในอนาคต ซึ่งก็แปลว่ายิ่งสาขามีความแข็งแกร่งมากเท่าใด ก็จะยิ่งได้มาซึ่งงบประมาณและทรัพยากรต่าง ๆ ที่มากขึ้น
ยกตัวอย่างสาขาธาตุดิน ย้อนกลับไปราว 30 ปีก่อน สาขาธาตุดินที่กำลังตกต่ำ ณ ขณะนั้น ได้ต้อนรับ เด็มพัส ไกเยอร์ เข้ามาเรียน เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ได้แปรเปลี่ยนให้สาขาธาตุดินกลายเป็นผู้นำในการแข่งขันด้านต่าง ๆ ภายในวิทยาลัยราวกับพลิกฝ่ามือ กระทั่งปัจจุบัน เด็มพัส ไกเยอร์ ก็ได้กลายเป็นจอมขมังเวทย์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์ ที่โด่งดังไปทั่วทั้งจักรวรรดิแลนซล็อต ทำให้สาขาธาตุดินที่เคยตกต่ำได้ฉายแววโดดเด่นขึ้นมาและกลายเป็นสาขาที่แข็งแกร่งที่สุดของวิทยาลัยในที่สุด
ยังมีตัวอย่างในรูปแบบเดียวกันอีกมากมาย และในปัจจุบัน เหตุผลที่สาขาธาตุแสงและสาขาธาตุมืดต่างมีข้อได้เปรียบในวิทยาลัยมาโดยตลอด ก็เป็นเพราะผลงานที่โดดเด่นของบรรดานักเรียนในช่วงปีหลัง ๆ มานี้เอง ในขณะที่สาขาที่แสนอ่อนแอและเป็นผู้ถูกรังแกอยู่เสมออย่างสาขาศาสตร์แห่งความตายเองก็เริ่มมีหน้ามีตาขึ้นมาจากการปรากฏตัวของหานซั่ว กระทั่งมีสัญญาณบางอย่างที่แว่วมาว่าจะได้แยกตัวเป็นอิสระจากการเป็นสาขาย่อยของธาตุมืด และกลายมาเป็นหนึ่งในสาขาหลักของวิทยาลัยด้วยเช่นกัน
ณ มุมเปลี่ยว ๆ มุมหนึ่งด้านตะวันออกเฉียงเหนือของลานกว้าง นักรบโครงกระดูกร่างสูงจำนวน 5 ตนกำลังช่วยกันถือป้ายขนาดใหญ่ เขียนว่า “สาขาศาสตร์แห่งความตาย ขอต้อนรับนักเรียนใหม่ทุกคน!” พวกมันยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะลงทะเบียน ที่มีอาจารย์ 2 คน ซึ่งก็คือแฟนนี่และจีนนั่งอยู่ที่โต๊ะ ในขณะที่ลิซ่า เอมี่ อาธีน่า และนักเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตายคนอื่น ๆ กำลังร้องตะโกนเชิญชวนอย่างสุดเสียง
“ทำไมพวกเราต้องมาอยู่ในมุมนี้ด้วยเนี่ย ห่างจากพื้นที่ตรงใจกลางตั้งเยอะ เจ้าพวกสาขาธาตุมืดกีดกันเราเห็น ๆ เลย น่าโมโหชะมัด!”
ลิซ่าตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว ก่อนจะหันไปหาแฟนนี่ที่มีสีหน้าเรียบเฉย และร้องถาม
“อาจารย์แฟนนี่คะ ท่านคิดว่าไบรอันจะมารึเปล่า? เขาไม่ได้กลับมาที่สาขาศาสตร์แห่งความตายตั้งนาน แถมยังกลายเป็นคนดังของจักรวรรดิ สงสัยลืมเพื่อนเก่าที่นี่ไปหมดแล้วมั้ง เอ๊ะ อย่างงี้ก็ลืมท่านด้วยน่ะสิคะ?”
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปนาน จนลิซ่าลืมความขุ่นเคืองที่เคยมีต่อแฟนนี่และหานซั่วไปจนหมดสิ้น แต่อย่างไรก็ตาม มีเพียงลิซ่าคนเดียวที่รู้ตัวว่าเธอเองยังอาลัยอาวรณ์หานซั่วอยู่ และแม้แต่แฟนนี่ก็มองเธอไม่ออก
หลังจากผ่านโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่และสูญเสียครอบครัวไปหมดทั้งตระกูล ลิซ่าก็เข้มแข็งขึ้นมากกว่าที่แฟนนี่จะสามารถจินตนาการได้ เธอไม่ใช่เด็กสาวเอาแต่ใจที่คอยแต่จะสร้างปัญหาอีกต่อไป ในตอนนี้ เธอตั้งสติได้แล้ว และกำลังตั้งใจศึกษาเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายอย่างเต็มที่ ซึ่งด้วยความช่วยเหลือของแฟนนี่ เธอก็สามารถเลื่อนระดับเป็นนักเวทย์ระดับกลางได้ในที่สุด
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
แฟนนี่หันมามองลิซ่าและยิ้ม ก่อนจะอธิบายออกไป
“ข้าก็ขอให้ดีเร็คไปส่งจดหมายถึงเขาแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าเขาได้รับและบังเอิญว่าไม่ติดธุระอะไร ข้าก็คิดว่าเขาต้องมา ฮะ ๆ ๆ อย่ากังวลไปเลย ถึงตำแหน่งรับสมัครจะแยกตัวออกมาไกลขนาดนี้ ข้าก็เชื่อว่าต้องมีนักเรียนที่มาสมัครเพราะชื่อเสียงของสาขาเราแน่ ๆ”
แฟนนี่ไม่บอกลิซ่า ว่าทันทีที่หานซั่วเดินทางมาจากนครเบรทเทล คนแรกที่เขามาพบก็คือเธอ ในตอนนั้น ที่หานซั่วบอกเธอว่าเขารีบตรงมายังวิทยาลัยบาบิโลนเพื่อมาหาเธอทันทีที่มาถึงนครออซเซ็น ก็ทำให้แฟนนี่รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจไปพักใหญ่เลยทีเดียว
ในช่วงเวลานี้ หานซั่วมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วภายในจักรวรรดิ เมื่อเหล่าชนชั้นสูงและแม้แต่ประชาชนทั่วไปต่างพากันพูดถึงผลงานความสำเร็จที่น่าประทับใจของเขาอย่างไม่หยุดปาก โดยเฉพาะข่าวการสังหารหัวหน้ากองกำลังอัศวินบุปผาแดงของสมาพันธ์พ่อค้าบรุท เซลท์ รวมทั้งมังกรเขียวของเขา ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหงของจักรวรรดิ
ชื่อเสียงของหานซั่วจึงทำให้สาขาศาสตร์แห่งความตายโดดเด่นขึ้นมา แม้แต่ในวิทยาลัยบาบิโลน ก็ไม่มีนักเรียนในสาขาใดกล้ารังแกหรือกลั่นแกล้งสาขาศาสตร์แห่งความตายอีกต่อไปแล้ว และอาจารย์ใหญ่เอ็มม่าก็เข้าข้างสาขาศาสตร์แห่งความตายอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้แฟนนี่รู้สึกโล่งใจขึ้นอย่างมาก
“อาจารย์แฟนนี่ ท่านคิดว่าปีนี้จะมีนักเรียนมาสมัครสักกี่คนนะ?”
จีนถามแฟนนี่ที่นั่งอยู่ติดกัน เขาผู้ซึ่งเคยหลงใหลในตัวแฟนนี่ แต่กลับเคยเห็นเธอและหานซั่วกำลังพลอดรักกันโดยบังเอิญ และในตอนนี้ แฟนนี่ก็เป็นถึงจอมเวทย์ผู้ใช้ความตาย ความรู้สึกที่เขาเคยมีจึงค่อย ๆ จางลงไปในที่สุด
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด อาจารย์ที่เป็นเพียงนักเวทย์ระดับสูงอย่างเขาก็ช่างห่างไกลจากจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตายที่กำลังโด่งดังอย่างหานซั่ว และเมื่อแฟนนี่เองก็เลื่อนระดับเป็นจอมเวทย์ จีนจึงรู้สึกว่าตนเองได้พ่ายแพ้แล้วอย่างสิ้นเชิง
เช่นนั้นแล้ว จีนจึงหันมาเอาดีในหน้าที่การงานแทน ด้านหนึ่งก็ฝึกฝนเวทมนตร์อย่างหนัก ส่วนอีกด้านหนึ่งก็พยายามพัฒนาศักยภาพในการเป็นอาจารย์ให้มากขึ้น และความพยายามทุ่มเทเพื่อการเติบโตของสาขาศาสตร์แห่งความตายในช่วงที่ผ่านมาของเขาก็ถือว่าไม่ใช่น้อย ๆ เลย
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขากลับไปยังบ้านเกิด เพียงแค่เขาบอกว่าตนเองเคยเป็นอาจารย์ของเคานต์ไบรอัน เจ้าเมืองแห่งนครเบรทเทล ก็กลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่วทั้งเมืองเล็ก ๆ แห่งนั้น และเมื่อเขาเองก็ได้รับอานิสงส์จากตัวตนของหานซั่วด้วยเช่นกัน ความขุ่นเคืองที่เขาเคยมีต่อหานซั่วจึงค่อย ๆ จางหายไปด้วยในที่สุด
“ใครจะรู้ล่ะคะ? ฮิฮิ บางทีอาจจะน้อยก็ได้”
แฟนนี่ยิ้มตอบ
“ขอโทษนะครับ ขออนุญาตสอบถามสักหน่อย ตรงนี้คือสาขาศาสตร์แห่งความตาย ท่านเคานต์ไบรอันจบการศึกษาจากสาขานี้ใช่มั้ยครับ?”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งกายในชุดเรียบหรูและมีพ่อบ้านคนหนึ่งคอยตามรับใช้อยู่ด้านหลัง เดินเข้ามาถามอย่างสุภาพ
“ใช่แล้วล่ะ ไบรอันเรียนจบจากสาขาของเราเอง”
จีนรีบตอบอย่างกระตือรือร้น
“ฮ่า! เจอเสียที ทำไมพวกท่านถึงมาอยู่ในมุมเงียบ ๆ แบบนี้ล่ะครับ!”
เด็กหนุ่มคนนั้นร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะรีบพูดต่ออย่างร่าเริง
“พลังจิตของข้าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม แล้วก็สัมผัสถึงธาตุมืดได้ชัดเจนที่สุด แต่ข้าก็เลือกสาขาศาสตร์แห่งความตาย หวังว่าพวกท่านจะยอมรับข้านะครับ!”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็หันไปตะโกนบอกกับสหายอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินไปเดินมาอยู่ห่างออกไป
“พวกเรา! ข้าเจอสาขาศาสตร์แห่งความตายแล้ว อยู่ตรงนี้เอง รีบมากันเร็วเข้าสิ!”
เมื่อสิ้นเสียงตะโกน เด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นก็มีท่าทีตื่นเต้นดีใจไม่ต่างกันและวิ่งกรูกันเข้ามาทางแฟนนี่อย่างรวดเร็ว เด็กแต่ละคนล้วนมีผลการทดสอบพลังจิตที่ยอดเยี่ยม และมาจากตระกูลขุนนางชั้นสูง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่อาจารย์ทุกสาขาต้องการ ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า พวกเขาทุกคนจะวิ่งมาทางสาขาศาสตร์แห่งความตายอย่างพร้อมเพรียงกันเช่นนี้