Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 385
GDK ตอนที่ 385 วิวัฒนาการของอสูรมิติมืด เมษายน 05, 2563
ท่ามกลางโลกสีขาวดำแห่งนี้ หานซั่วจ้องมองไปยังแสงสุกสว่างสีฟ้านั้นอย่างตกตะลึงถึงขีดสุด
ตรงใจกลางบ่อน้ำพุสีดำสนิท กิ่งก้านสาขาที่แห้งเหี่ยวของต้นไม้น่าเกลียดน่ากลัวนั้นได้แผ่กลุ่มควันจาง ๆ สีฟ้าออกมา ภายในกลุ่มควันนั้น มีไพลินสีฟ้าทรงหยดน้ำกำลังเปล่งรัศมีออกมาอย่างงดงาม
หานซั่วมั่นใจว่ากลุ่มควันสีฟ้าที่แผ่กระจายออกไปทั่วทั้งหุบเขาต้องมาจากต้นไม้ที่อยู่ตรงใจกลางของบ่อน้ำพุนี้อย่างแน่นอน ซึ่งแหล่งกำเนิดของมันก็คือหยดน้ำตรงใจกลางนี้เอง
บ่อน้ำสีดำสนิทนี้เอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกเปลี่ยวร้างและนิ่งสงัด สิ่งใดก็ตามที่ถูกหล่อเลี้ยงโดยบ่อน้ำพิศวงแห่งนี้จะต้องเป็นพืชพรรณหรือแม้แต่อสูรที่ดุร้าย โหดเหี้ยมอำมหิต และไม่เป็นมิตรกับสิ่งอื่นอย่างแน่นอน
หานซั่วค่อย ๆ สำรวจบ่อน้ำสีดำนั้นอย่างระมัดระวัง และเห็นว่ามีพืชที่ดูคล้ายสาหร่ายสีดำจำนวนมากลอยอยู่บนผิว พืชเหล่านั้นกลมกลืนไปกับมวลน้ำที่กำลังหลั่งไหลเป็นระลอกจนทำให้ดูเหมือนมีรยางค์มากมายกำลังแหวกว่ายเริงระบำอยู่ภายใน และพร้อมที่จะดึงสิ่งใดก็ตามที่เข้ามาใกล้ให้จมลงไปในส่วนที่ลึกของบ่อให้จงได้
เมื่อเขาสำรวจบริเวณโดยรอบหุบเขาเรียบร้อยแล้ว หานซั่วก็มองไปยังบริเวณรอบนอกน้ำพุ ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตว่ามีอสูรมิติมืดกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ไม่ไกลจากบ่อน้ำสีดำแห่งนั้น
ขุนพลมัมมี่ และ โหงพราย ที่ล่องลอยอยู่ตนหนึ่ง พร้อมกับอัศวินปีศาจที่มีความสูงถึง 5-6 เมตรขณะนั่งอยู่บนหลังม้าศึกปีศาจที่หายใจเป็นไฟพร้อมดาบใหญ่ที่กวัดแกว่งอยู่ในมือ อสูรมิติมืดระดับสูงทั้ง 3 ตนนี้กำลังยืนล้อมเป็นวงโดยมีบ่อน้ำพุอยู่ตรงกลาง ขณะที่แต่ละตนกำลังต่อสู้กันเองอย่างดุเดือด
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
เมื่อหานซั่วกวาดตามองดู สายตาของเขาก็ไปสะดุดที่อัศวินร่างยักษ์ที่ขี่อยู่บนหลังม้า ดาบใหญ่ที่มันถืออยู่เต็มไปด้วยสนิมเกรอะกรังที่ยาวกว่า 2 เมตรที่ให้ความรู้สึกถึงความกัดกร่อนผุพังอย่างบอกไม่ถูก แม้ลักษณะภายนอกจะเหมือนกันกับอัศวินปีศาจทั่วไป แต่มันมีเงี่ยงบางอย่างงอกออกมาจากรอบ ๆ แขน เข่า และไหล่ รวมทั้งร่างกายก็ยังสูงกว่าอัศวินปีศาจมากทีเดียว
หานซั่วรู้สึกถึงบางอย่างในตัวอัศวินร่างยักษ์ตนนี้ นานมาแล้ว ครั้งหนึ่งที่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กยังคงอ่อนแอ หานซั่วเคยได้รับการสื่อสารจากมันจนทำให้ต้องรีบอัญเชิญมันออกมายังอาณาจักรแห่งความลึกล้ำด้วยความกังวล อย่างไรก็ตาม ด้วยสายสัมพันธ์ทางพันธสัญญาที่แข็งแกร่ง ก็ทำให้หานซั่วมองเห็นอสูรทรงพลังที่ไล่ตามเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กอยู่อย่างชัดเจน และอสูรทรงพลังตนนั้นก็คืออัศวินร่างยักษ์ตนนี้นี่เอง
สำหรับอัศวินประหลาดที่สามารถไล่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กให้จนมุมจนต้องระเห็จหนีออกจากมิติมืด ก็แปลว่ามันต้องมีพลังแข็งแกร่งอย่างมหาศาลเลยทีเดียว หานซั่วไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตนเองจะได้มาเผชิญหน้ากับอัศวินร่างยักษ์ตนนี้อีกครั้ง แม้ว่าหานซั่วจะรู้จักขุนพลมัมมี่เป็นอย่างดีแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม โหงพรายที่ล่องลอยอยู่ตนนั้นก็ยังไม่คุ้นตาสำหรับเขาอยู่ดี
แต่ที่ทำให้หานซั่วรู้สึกตกตะลึงยิ่งกว่า คือการที่ขุนพลมัมมี่ตนนี้กำลังแบกโลงหินโบราณที่มีขนาดใหญ่พอจะใส่มันเข้าไปได้ทั้งตัว เห็นได้ชัดว่ามันใช้โลงต่างอาวุธขณะโจมตีคู่ต่อสู้ได้อย่างเชี่ยวชาญ ทำให้การจู่โจมที่น่าสะพรึงกลัวของอัศวินร่างยักษ์ถูกป้องกันโดยโลงหินโบราณนั้นไว้ได้แทบทั้งหมด
ส่วน โหงพราย ที่กำลังล่องลอยอยู่ หานซั่วไม่รู้เลยว่ามันเป็นอสูรมิติมืดประเภทใด แต่อย่างไรก็ตาม หานซั่วก็ยังพอสัมผัสจากร่างนั่นได้ว่ามันคล้ายกันกับ เจตภูต อสูรที่มีอยู่ทั่วไปในมิติมืดแห่งนี้ เพียงแต่ว่า ออร่าจากโหงพรายนั้นกลับแข็งแกร่งกว่าเจตภูตอีกเป็นเท่าตัว
โหงพรายนั้นมักจะซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของขุนพลมัมมี่ โดยทำตัวเหมือนกับเหล่านักเวทย์ของอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ พลางใช้พลังวิญญาณของตนเองโจมตีอัศวินร่างยักษ์ คลื่นพลังสีเทาถูกยิงออกไปเป็นระลอกจากทิศทางของโหงพราย และพุ่งเข้าใส่ร่างของอัศวิน
ขณะที่หานซั่วกำลังเฝ้ามองอย่างสนใจ ดาบใหญ่สนิมเขรอะที่ยาวถึง 2 เมตรของอัศวินร่างยักษ์ก็แทงออกไปในทันที พร้อมกันกับที่สายโยงในมือของขุนพลมัมมี่เริ่มเคลื่อนไหว และทำให้โลงหินโบราณที่อยู่เหนือหัวตอบโต้ดาบยาวนั้นกลับไปอย่างรุนแรง ตอนนั้นเองที่เกิดแรงปะทะน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมา เมื่อดาบยาวนั้นฟาดเข้าใส่และส่งให้โลงหินโบราณกระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศ
อัศวินฉวยโอกาสนั้นเร่งกระทุ้งม้าศึกให้พุ่งไปหาขุนพลมัมมี่ทันที แม้แต่ม้าศึกตัวนั้นก็พ่นไฟออกมา เปลวไฟนั้นม้วนเป็นเกลียวตรงไปยังขุนพลมัมมี่ที่กำลังตระหนกตกใจ เมื่อโลงหินโบราณที่ลอยคว้างอยู่เหนือหัวไม่สามารถสั่งการให้เคลื่อนไหวโต้กลับได้ไวขนาดนั้น
ชั่ววินาทีนั้นเอง โหงพรายที่ลอยอยู่ด้านหลังก็ปลดปล่อยคลื่นพลังวิญญาณแปลกประหลาดออกมา เจตภูตจำนวนนับไม่ถ้วนลอยกรูกันออกมาจากร่างของโหงพรายตนนั้น พวกมันรวมตัวกันอย่างแน่นหนา และสามารถป้องกันเปลวไฟจากม้าศึกได้ในที่สุด
ขณะที่โหงพรายสามารถป้องกันเปลวไฟไว้ได้ โลงหินโบราณที่กระเด็นลอยขึ้นไปก็ตกลงมาสู่มือของขุนพลมัมมี่อีกครั้ง และปัดป้องการจู่โจมครั้งต่อไปของอัศวินร่างยักษ์ได้พอดิบพอดี แล้วอสูรมิติมืดทั้ง 3 ตนก็เริ่มต่อสู้กัน และพัวพันอยู่ในสถานการณ์ที่แต่ละฝ่ายต่างเอาชนะกันไม่ได้อีกครั้ง
ในขณะที่อสูรมิติมืดชั้นต่ำที่อยู่โดยรอบก็ยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด พวกมันสัมผัสได้ถึงออร่าทรงพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของหานซั่วได้ แต่ทุกตนต่างเพิกเฉยต่อตัวตนของหานซั่วอย่างสิ้นเชิง และนี่เองที่ทำให้หานซั่วสามารถเฝ้ามองการสู้รบที่เกิดขึ้นได้อย่างสงบและปลอดภัย โดยเฉพาะประจักษ์พยานในการต่อสู้ระหว่างอสูรมิติมืดที่แปลกประหลาดทั้ง 3 ตนนั้น
หานซั่วจ้องมองโหงพรายที่ล่องลอยอยู่นาน ก่อนจะเข้าใจในที่สุด ว่าการที่จะสามารถควบคุมเหล่าเจตภูตและกักเก็บออร่าของพวกมันในจำนวนมากมายถึงขนาดนั้น โหงพรายตนนี้จะต้องเป็นอสูรมิติมืดระดับสูงที่วิวัฒนาการมาจากเจตภูตทั่วไปอย่างแน่นอน ส่วนอัศวินปีศาจร่างยักษ์นั้นก็ต้องวิวัฒนาการมาจากอัศวินปีศาจธรรมดา ๆ ด้วยเช่นกัน
ภายในมิติมืด ระดับคือสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ยิ่งมีระดับสูงมากเท่าใด ก็ยิ่งมีพลังความแข็งแกร่งในการต่อสู้มากเท่านั้น แต่ก็ไม่เสมอไปเสียทีเดียว อสูรมิติมืดชั้นต่ำก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดวิวัฒนาการและกลายเป็นอสูรมิติมืดชั้นสูงได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่าง โดยปกติแล้ว ราชากระดูกที่แข็งแกร่งที่สุดพอ ๆ กับมังกรกระดูกนั้นเป็นอสูรที่ถือกำเนิดขึ้นมาเองทั้งอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีราชากระดูกบางตนที่สามารถวิวัฒนาการตนเองมาจากนักรบโครงกระดูกชั้นต่ำที่สุด หลังจากผ่านการวิวัฒนาการมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนได้เช่นกัน
แม้ว่าความเป็นไปได้ที่ว่านั้นจะต่ำมาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้จริง เมื่อเหล่าวิญญาณภายในมิติมืดแห่งนี้สามารถกลืนกินกันและกันได้ ก็แปลว่าหากมีอสูรระดับต่ำที่สามารถกลืนกินวิญญาณของอสูรทรงพลังอย่างมังกรกระดูกเข้าไปได้ พวกมันก็จะยิ่งวิวัฒนาการขึ้นแบบก้าวกระโดด เพียงแต่ว่า ความเป็นไปได้นั้นก็ต่ำมากเช่นกัน เพราะโดยปกติแล้ว พวกอสูรมิติมืดระดับต่ำ ๆ ก็มักทำได้แค่หลบหนีและเอาตัวรอดจากอสูรที่ระดับสูงกว่าเท่านั้นเอง หากปราศจากคำสั่งของนายเหนือหัวแล้วล่ะก็ พวกมันไม่มีทางที่จะกล้าโจมตีและเอาชีวิตตนเองเข้าไปเสี่ยงเป็นแน่
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกมันจู่โจมจริง ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรระดับสูงกว่า พวกมันก็ไม่มีทางที่จะบังเอิญโชคดีได้รับชัยชนะ แต่มักจะลงเอยด้วยการถูกสังหารจนสิ้นซาก และถูกพวกอสูรระดับสูงกลืนกินพลังวิญญาณของตนเองไปเสียมากกว่า เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกอสูรชั้นต่ำที่สามารถวิวัฒนาการได้จริง ๆ มักจะเป็นพวกที่บังเอิญได้ไปเจออสูรระดับสูงที่ใกล้ตายขณะสู้กับอสูรระดับสูงขึ้นไปอีกตน ซึ่งมันจะต้องฉกฉวยโอกาสที่อสูรระดับสูงกว่ายังไม่ทันตั้งตัว กลืนกินพลังวิญญาณของอสูรระดับสูงอีกตนที่พลาดท่าให้ทันเท่านั้นเอง
และยกตัวอย่างมังกรกระดูกที่สามารถทำร้ายนักรบแห่งความเกลียดชังจำนวนมากได้ด้วยการหายใจเพียงครั้งเดียว แต่ทว่าพลังวิญญาณของอสูรระดับต่ำกว่าพวกนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่มังกรกระดูกสนใจ และหากบังเอิญว่ามีนักรบโครงกระดูกหรือนักรบผีดิบอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหลังจากมังกรกระดูกจากไปแล้ว พวกมันก็สามารถรีบมากลืนกินพลังวิญญาณของนักรบแห่งความเกลียดชังที่เพิ่งถูกกำจัดไปได้ทันที
ซึ่งถ้าเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ยากนั้นเกิดขึ้นติด ๆ กันกับอสูรระดับต่ำสักตนหนึ่ง มันก็จะสามารถกลืนกินพลังวิญญาณของอสูรระดับสูงได้มากมายจนกระทั่งวิวัฒนาการเป็นอสูรระดับสูงที่ก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดตอนถือกำเนิดของตัวมันเองได้ในที่สุด และโหงพรายตนนี้ก็น่าจะเป็นตัวอย่างของอสูรมิติมืดที่บังเอิญโชคดีอย่างยิ่ง
หานซั่วเฝ้ามองความร่วมมือระหว่างโหงพรายและขุนพลมัมมี่ที่กำลังต้านทานการโจมตีของอัศวินร่างยักษ์ ก่อนจะหันไปมองไพลินสีฟ้าทรงหยดน้ำที่แฝงพลังงานประหลาดบางอย่างเอาไว้ท่ามกลางกิ่งก้านสาขาของต้นไม้น่าเกลียดน่ากลัวตรงใจกลางบ่อน้ำพุแห่งนั้น ในใจของเขาเต็มไปด้วยความลังเล โดยไม่รู้ว่าควรฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ชิงหยดน้ำไปดีหรือไม่
ดูเหมือนว่าอสูรทรงพลังทั้ง 3 ตนจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงหยดน้ำตรงใจกลางน้ำพุ ซึ่งอัศวินร่างยักษ์น่าจะมีพลังความแข็งแกร่งมหาศาลอย่างน่าตกใจ ซึ่งร่างราชาโครงกระดูกของหานซั่วอาจจะต้านทานดาบใหญ่ของอัศวินตนนั้นไม่ไหวเลยก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีทั้งโหงพรายและขุนพลมัมมี่เป็นศัตรูอีก หานซั่วจึงไม่มั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับพวกมันได้โดยปราศจากร่างที่แท้จริงของเขา
แต่อย่างไรก็ตาม หานซั่วรู้ดีว่าไพลินทรงหยดน้ำนั้นสามารถฟื้นฟูพลังจิตของเขาได้ ซึ่งนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับอาณาจักรแห่งความลึกล้ำมากทีเดียว หลังจากที่มาถึงที่ได้อย่างยากลำบาก ความละโมบในจิตใจก็มิอาจถูกข่มไว้ได้อีกต่อไป หลังจากที่หานซั่วเฝ้าแต่ลังเลอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็สัมผัสได้ว่าเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กกำลังเข้าใกล้ตำแหน่งของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นเอง อัศวินร่างยักษ์ที่กำลังไล่ต้อนขุนพลมัมมี่และโหงพรายอยู่ก็ดูเหมือนจะหัวเสียขึ้นมาอย่างรุนแรง หลังจากที่โจมตีกันไปมาอย่างไร้ประโยชน์ จู่ ๆ อัศวินก็ล้มเลิกกลางคันและกระทุ้งม้าศึกที่หายใจเป็นไฟให้พุ่งไปที่ต้นไม้ใจกลางบ่อน้ำพุทันที ขุนพลมัมมี่และโหงพรายนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะโจมตีอัศวินอย่างลังเล โลงหินโบราณหล่นโครมลงเบื้องหน้าอัศวินจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ขณะที่โหงพรายเองก็ปลดปล่อยเจตภูตออกมาจำนวนมากและส่งให้พวกมันพุ่งจู่โจมไปที่อัศวินร่างยักษ์ตนนั้นทันที
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
อัศวินร่างยักษ์ตวัดดาบยาวสนิมเขรอะของตนเองออกไปครั้งหนึ่ง ทำให้ออร่าที่กัดกร่อนแผ่กระจายออกไป และทำลายเจตภูตเหล่านั้นจนสิ้นซาก ขณะที่โลงหินโบราณก็กระเด็นออกไปอีกครั้งด้วยหมัดของมัน หลังจากนั้นเอง กระแสจิตบางอย่างก็แผ่ออกมาจากอัศวินร่างยักษ์
“เจ้าอสูรขี้ขลาดและต่ำช้าทั้งสอง อสูรจากปราสาทยอดเขามรณะกำลังมาทางนี้ ถ้าพวกเจ้าร่วมมือกับข้าเพื่อกำจัดมัน ก็เอาอัญมณีที่อยู่ในบ่อน้ำแห่งความตายนี่ไปได้เลย ข้าต้องการแค่พลังวิญญาณของเจ้านั่น พวกเจ้าคิดว่ายังไง?”
เมื่อขุนพลมัมมี่และโหงพรายเห็นว่าอัศวินร่างยักษ์ล้มเลิกการต่อสู้และเผยเจตนาเช่นนั้นออกมา พวกมันก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก หลังจากที่หารือกันอยู่ครู่หนึ่ง โหงพรายก็ส่งกระแสจิตสื่อสารกลับไป
“ตกลง งั้นพวกเราทั้ง 3 ตนก็ต้องลั่นสัตย์สาบานต่อกันไว้ด้วย”
หานซั่วเฝ้ามองท่าทีของอสูรทรงพลังทั้ง 3 ตนจากระยะไกล จากบทสนทนาของพวกมัน หานซั่วเข้าใจว่าอัศวินร่างยักษ์สัมผัสได้ถึงตัวตนของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก และดูจากน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนพวกมันจะเกรงกลัวเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กมากทีเดียว หานซั่วนึกไม่ถึงเลยว่า ในมิติมืด เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กแห่งปราสาทภูเขามรณะจะมีความแข็งแกร่งและอิทธิพลยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
เมื่ออัศวินร่างยักษ์ ขุนพลปีศาจ และโหงพรายตั้งใจจะจับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อจัดการกับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก เมื่อทั้ง 3 ตนรวมตัวกันเพื่อรอการเผชิญหน้า ก็แสดงว่าพวกมันค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียว หานซั่วที่เฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ มาโดยตลอดก็ครุ่นคิด ก่อนจะเดินออกมาจากท่ามกลางอสูรมิติมืดระดับต่ำเหล่านั้น
“ให้ข้าร่วมวงด้วยคนสิ”
หานซั่วส่งกระแสจิตสื่อสารไปยังอสูรทั้ง 3 ตน
ตั้งแต่แรกเริ่ม หานซั่วเพียงยืนอยู่ท่ามกลางอสูรระดับต่ำมากมายที่กำลังต่อสู้ห้ำหั่นกันทั่วหุบเขา และเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ ในขณะที่อสูรทั้ง 3 ตนก็กำลังง่วนอยู่กับการต่อสู้จนไม่ทันสังเกตเห็นหานซั่ว เมื่อเขาค่อย ๆ เดินใกล้เข้ามา ก็ทำให้อสูรทั้ง 3 ตนถึงกับผงะไปในทันที
อสูรทั้ง 3 ตนหวาดกลัวถึงขีดสุดเพราะทีแรกคิดว่าตัวตนของหานซั่วคือราชาโครงกระดูก แต่อย่างไรก็ตาม อสูรทรงพลังทั้ง 3 ตนนั้นก็แตกต่างจากอสูรระดับต่ำที่ยอมให้ทางกับหานซั่วแต่โดยดี เมื่อเริ่มสัมผัสได้ว่าออร่าจากร่างกายของหานซั่วไม่ได้มีลักษณะเฉพาะ และความน่าสะพรึงกลัวอย่างออร่าของราชาโครงกระดูก
หลังจากที่รวบรวมสติได้ อัศวินร่างยักษ์ก็ส่งกระแสจิตเพื่อสื่อสารกับหานซั่วทันที
“เจ้าพวกสอดรู้จอมขี้ขลาด เจ้ามีอะไรมาแลก และต้องการอะไรกลับไปไม่ทราบ?”
“ข้าต้องการ 1 ใน 3 ของอัญมณีบริสุทธิ์นั่น และข้าช่วยพวกเจ้าต่อสู้กับอสูรที่กำลังมาตนนั้นได้”
หานซั่วส่งกระแสจิตตอบ
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า!”
อัศวินร่างยักษ์ตอบกลับมาอย่างกราดเกรี้ยว และกระทุ้งม้าศึกที่หายใจเป็นไฟให้พุ่งเข้ามาทันที ออร่าแห่งความเน่าเปื่อยผุพังแผ่ซ่านออกมาจากร่างของมัน พร้อมกับถือดาบยาวเพื่อเตรียมแทงใส่หานซั่ว
หานซั่วตกตะลึง พลางรีบร่ายเวทมนตร์ออกมา ด้านหนึ่งส่งให้หอกกระดูกมากมายพุ่งเข้าใส่อัศวินร่างยักษ์ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ใช้จิตสกัดกลั่นปราณแห่งความตายให้กลายเป็นดาบขนาดยักษ์ที่ฟาดฟันเข้าใส่อัศวินที่กำลังพุ่งเข้ามา เมื่อหอกกระดูกจำนวนมากพุ่งถึงร่างของอัศวิน มันก็ทำให้เกิดเพียงเสียงกระเทาะแตกของกระดูก และไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ ต่ออัศวินได้เลยแม้แต่น้อย และเมื่อดาบยักษ์ที่ควบแน่นมาจากปราณแห่งความตายหนาแน่นฟาดปะทะเข้ากับดาบใหญ่ของอัศวินเท่านั้นที่สามารถหยุดยั้งการโจมตีของมันเอาไว้ได้
เมื่ออัศวินปลอดภัยจากการโจมตีของหอกกระดูกและใกล้จะถึงเบื้องหน้าของหานซั่วเต็มที มันก็ดึงบังเหียนม้าศึกเอาไว้ และหันไปสื่อสารกับโหงพรายและขุนพลมัมมี่
“เขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแบ่งปัน 1 ใน 3 ของอัญมณีบริสุทธิ์ พวกเจ้าคิดว่ายังไง? เจ้าอสูรจากปราสาทยอดเขามรณะน่าสะพรึงกลัวมากทีเดียว พวกเราคงมีความหวังมากขึ้นอีก ถ้ามีตัวช่วยมาเพิ่มแบบนี้”
อสูรอีก 2 ตนลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อตระหนักถึงความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก และความปรารถนาในอัญมณีบริสุทธิ์ของตนเอง พวกมันจึงรีบตอบรับข้อเสนอของอัศวินร่างยักษ์ และนับหานซั่วเข้าร่วมในพันธมิตรในทันที