Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 384
GDK ตอนที่ 384 สิ่งที่เรียนรู้ในมิติมืด
ในมิติมืดอันกว้างใหญ่ไพศาล และมืดมนจนทั้งโลกแต่งแต้มไปด้วยสีเทา อสูรมิติมืดมากมายจมจ่อมอยู่กับการต่อสู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ไร้ซึ่งสัญญาณแห่งชีวิต
ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีทั้งกลางวันและกลางคืน ไร้ซึ่งสัมผัสของกาลเวลาที่ผ่านเลย มีเพียงความตายที่นิ่งสงัด และความเหน็บหนาวที่เย็นเยียบ บนแผ่นดินรกร้างที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีเทา อสูรมิติมืดทำได้เพียงปฏิบัติตามกฏโบราณที่สืบทอดต่อกันมา ในการต่อสู้เพื่อขยายเขตแดนของพวกมันออกไปให้กว้างขวางที่สุด โดยที่ไม่เข้าใจเหตุผลของการทำเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
หานซั่วตามหาสายสัมพันธ์เชื่อมโยงที่เขามีกับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก เขาล่องลอยราวกับวิญญาณไปยังทิศทางที่มันอยู่ และในเมื่อที่นี้ไร้ซึ่งกาลเวลา หานซั่วก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าเขาอยู่ในมิติมืดนี้มานานเท่าไรแล้ว ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าไปหาเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก เขาก็ลอยข้ามผ่านอสูรมิติมืดหลากหลายชนิด
อสูรมิติมืดมากมายต่างกวัดแกว่งกรงเล็บแหลมคมของพวกมันมายังหานซั่ว และต้องการจะกลืนกินหานซั่วที่กำลังดูอ่อนแรง เมื่อพวกมันโดนเวทย์กระตุกวิญญาณของหานซั่ว อสูรชั้นต่ำเหล่านั้นก็ถูกทำลายจนสิ้นซากด้วยการโจมตีโดยตรงเข้าที่วิญญาณของพวกมัน
สำหรับอสูรที่มีระดับสูงกว่า จิตของหานซั่วสามารถสัมผัสถึงพวกมันได้อย่างชัดเจน ด้วยความสามารถในการรับรู้ของเขาเช่นนี้เอง จึงทำให้หานซั่วสามารถแยกแยะความแข็งแกร่ง และหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับอสูรโบราณอันทรงพลังเหล่านั้นได้ โดยการเดินทางอ้อมอาณาเขตของพวกมัน และมุ่งหน้าไปหาเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กอย่างปลอดภัยต่อไป
หลังจากที่เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง หานซั่วก็รู้สึกว่าระยะทางระหว่างตัวเขากับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสายสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เขาก็ตระหนักได้ว่าเจ้าโครงกระดูกเองก็กำลังรีบเร่งมาหาเขาเช่นกัน
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ในมิติมืด ปราณแห่งความตายนั้นหนาแน่นเป็นอย่างมาก ในขณะที่หานซั่วอยู่ในรูปของวิญญาณและพยายามฟื้นฟูพลังจิตของตนเองอยู่ตลอดเวลา เขาตั้งใจที่จะควบคุมปราณแห่งความตายในโลกนี้ด้วยพลังของเวทย์ปีศาจ ซึ่งก็ค่อย ๆ พบหนทางมากขึ้นทีละน้อย
เวทย์ปีศาจนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของการทำให้มีชีวิตเป็นอมตะได้ ตราบใดที่ “จิต” ไม่ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง ในอาณาจักรพลังแยกร่างปีศาจ วิญญาณของผู้ฝึกฝนจะสามารถกลายเป็น “จิต” และมีพลังความสามารถพิเศษอีกหลายอย่าง แม้ว่าร่างกายของผู้ฝึกฝนจะถูกทำลายไป ตราบใดที่จิตยังคงมีความแข็งแกร่งพอที่จะครอบครองร่างอื่น ผู้ฝึกฝนก็จะสามารถใช้ร่างใหม่นั้นฝึกฝนเวทย์ปีศาจต่อไปได้อีกครั้ง แต่ก็จำต้องใช้เวลาอีกนับ 100 ปี เพื่อที่จะได้ความแข็งแกร่งในระดับเดิมกลับคืนมา
เมื่อถูกดึงเข้ามายังโลกอันแปลกประหลาดแห่งนี้ หานซั่วก็พยายามหาทางที่จะกลับไปยังอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ รวมทั้งการใช้จิตที่ยังหลงเหลืออยู่เพื่อแสวงหาหนทางที่จะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตนเอง ก่อนที่เขาจะสามารถหาทางกลับไปยังอาณาจักรแห่งความลึกล้ำได้ เขาจำต้องแน่ใจก่อนว่าเขาจะสามารถรอดชีวิตอยู่ในโลกที่แปลกประหลาดนี้ได้อย่างปลอดภัยและไม่สูญสลายไป
จิตที่เหลืออยู่ของหานซั่วค่อย ๆ มีปฏิกิริยาแปลกประหลาดกับปราณแห่งความตาย ขณะที่หานซั่วยังคงทดลองต่อไป ในที่สุดเขาก็สามารถดูดกลืนและจัดการกับปราณแห่งความตายที่อยู่ในโลกนี้ได้ และมากพอที่เขาจะใช้ปราณแห่งความตายเป็นอาวุธในการโจมตีอสูรตนใดก็ตามที่มุ่งร้ายกับเขา
หานซั่วเริ่มสกัดกลั่นให้ปราณแห่งความตายควบแน่นจนก่อร่างเป็นลูกธนู และควบคุมลูกธนูนั้นด้วยจิตของเขา แต่มันก็มีผลกับพวกอสูรชั้นต่ำ อย่างนักรบโครงกระดูกและนักรบผีดิบ เทียบไม่ได้กับพลังของเวทย์คมหอกกระดูกเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่จิตของหานซั่วเริ่มเข้าใจวิธีการใช้ปราณแห่งความตายมากขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้เขาก็สามารถใช้จิตของตนเองในการสร้างการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว ก็แปลว่าตราบใดที่เขามีเวลามากพอ ความรุนแรงของการโจมตีนี้อาจจะมากกว่าเวทย์กระตุกวิญญาณเสียด้วยซ้ำ
หลังจากเวลาผ่านไป 2-3 วัน จิตของหานซั่วสามารถรวบรวมปราณแห่งความตายและใช้มันให้เกิดประโยชน์อย่างชาญฉลาดมากขึ้น หานซั่วได้ทดลองกับนักรบโครงกระดูกที่ยังสมบูรณ์ร่างหนึ่ง สกัดกลั่นปราณแห่งความตายที่อยู่ภายใน และสร้างร่างกระดูกสำหรับตนเองขึ้นมา
ภายในร่างกระดูกสีขาวบริสุทธิ์นั้นเต็มไปด้วยปราณแห่งความตายที่สกัดกลั่นโดยจิตของหานซั่ว ปราณเหล่านั้นกลายเป็นจุดเล็ก ๆ ราวกับคริสตัลที่ซ่อนเร้นไว้ภายในกระดูก อย่างไรก็ตาม พลังความแข็งแกร่งของซากนักรบโครงกระดูกนั้นก็ไม่มากนัก เมื่อหานซั่วพยายามผสานปราณแห่งความตายเพิ่มเข้าไปในกระดูก มันก็ไม่สามารถทานทนต่อพลังปราณแห่งความตายได้ และเริ่มปริแตกออกทันที
ด้วยการใช้ประโยชน์จากโครงกระดูกที่เปล่งประกายราวกับหยกนี้ หานซั่วสามารถข่มขู่อสูรมิติมืดที่ตั้งใจจะทำร้ายเขาได้บ้าง แม้แต่อสูรระดับสูงอย่างอัศวินปีศาจกลุ่มหนึ่ง ยังถึงกับมองโครงกระดูกร่างยักษ์ที่ส่องประกายด้วยแสงสีขาวตนนั้นด้วยความหวาดกลัว
อัศวินปีศาจคิดว่าโครงกระดูกสีขาวราวหยกของหานซั่วคือราชาโครงกระดูก ซึ่งเป็นหนึ่งในอสูรระดับสุดยอดของเหล่าอสูรมิติมืดทั้งมวล ราชาโครงกระดูกและมังกรกระดูกคือผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุด ร่างกายของราชาโครงกระดูกจะเต็มไปด้วยพลังปราณแห่งความตายจำนวนมหาศาล ทำให้มันมีความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัว อสูรชั้นต่ำจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม หานซั่วรู้ดีว่าปราณแห่งความตายที่ควบแน่นอยู่ในร่างของโครงกระดูกตนนี้นั้นเทียบไม่ได้เลยกับร่างจริงของราชาโครงกระดูก และกระดูกของมันก็ยังอ่อนแอกว่าอสูรกระดูกเสียด้วยซ้ำ แต่หานซั่วก็ยังไม่ถอดใจ และพยายามค้นหาวิธีใช้จิตของตนในโลกนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดพร้อมกันกับที่หาทางกลับไปยังอาณาจักรแห่งความลึกล้ำไปด้วย ตอนนั้นเอง ที่เขารู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเขาและเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กนั้นเริ่มเข้ามาใกล้กันมากขึ้นทุกที
เมื่อหานซั่วผ่านหุบเขาที่เต็มไปด้วยปราณแห่งความตาย จิตของเขาตรวจจับออร่าอันน่าสะพรึงกลัวจำนวนหนึ่งได้ ออร่าเหล่านั้นทั้งสับสนวุ่นวายและไม่แน่นอน ราวกับว่าพวกมันกำลังพัวพันอยู่ในการสู้รบครั้งใหญ่ ในขณะที่รอบข้างเต็มไปด้วยอสูรชั้นต่ำมากมายที่กำลังต่อสู้กัน เห็นชัดว่าพวกมันมาจากต่างพรรคต่างพวกกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อมองหุบเขานั้นจากระยะไกล หานซั่วสังเกตเห็นกลุ่มก้อนของปราณสีฟ้าอยู่ท่ามกลางปราณแห่งความตายที่หนาแน่น ปราณสีฟ้าเหล่านี้หมุนวนและค่อย ๆ กระจัดกระจายไปภายในหุบเขา ในขณะที่เหล่าอสูรชั้นต่ำกำลังต่อสู้กัน พวกมันต่างชูคอเพื่อดูดกลืนกลุ่มควันสีฟ้าเหล่านั้นด้วยความตื่นเต้นราวกับเป็นงานเลี้ยงฉลอง
ภายในดินแดนมิติมืดที่ว่างเปล่า ไม่มีสีสันใดปรากฏออกมานอกจากโทนสีขาวดำ ตลอดระยะเวลาที่หานซั่วเข้ามาอยู่ในโลกแห่งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองเห็นสีฟ้า ทำให้หานซั่วรู้สึกประหลาดใจขณะที่มองไปยังการสู้รบที่น่าตื่นตาตื่นใจนั้น เมื่อสัมผัสได้ถึงการต่อสู้ระหว่างออร่าแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งที่เกิดขึ้นภายใน เขาก็รู้สึกสงสัยไม่น้อยต่อสิ่งที่ได้พบเห็น
ในขณะที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้น ปราณสีฟ้าหนาแน่นได้แผ่กระจายเข้ามายังบริเวณที่หานซั่วอยู่อย่างช้า ๆ แล้วกลุ่มควันของปราณสีฟ้าก็เข้ามาในจิตของหานซั่วในที่สุด ทำให้พลังจิตที่เคยหดหายก็ดูเหมือนจะถูกเติมเต็มและฟื้นตัวมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
หานซั่วประหลาดใจเป็นอย่างมาก ในตอนแรกนั้น เขาเพียงยอมให้ปราณสีฟ้าสัมผัสเขาเพื่อซึมผ่านเข้าไปในร่างกาย อย่างไรก็ตามเมื่อหานซั่วตระหนักถึงประโยชน์ของปราณสีฟ้าที่มีผลต่อทั้งพลังจิตและจิตของเขา เขาจึงเริ่มคิดถึงวิธีที่จะจัดการกับจิตของตนอีกครั้ง โดยการใช้ปราณสีฟ้าที่อยู่ภายในหุบเขา ให้จิตค่อย ๆ ดูดกลืนปราณเหล่านั้นเข้ามาสู่ตนเองในที่สุด
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ หานซั่วใช้เวลาทุกวันในการค้นคว้าหาวิธีใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของจิต เพื่อควบคุมปราณแห่งความตายที่หนาแน่นอยู่ทั่วทุกที่ภายในโลกแห่งนี้ ในขณะที่ปราณสีฟ้านั้นกลับมีธรรมชาติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็มีสถานะเป็นปราณอยู่ภายในโลกนี้เช่นเดียวกัน แล้วหานซั่วก็ค้นพบเคล็ดลับที่จะดูดกลืนปราณสีฟ้าได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อหานซั่วสามารถจัดการกับจิตของเขาได้อย่างสมบูรณ์ ปราณสีฟ้าที่แผ่กระจายออกมาจากใจกลางของหุบเขาก็ถูกเขาดูดกลืนเข้าไปเป็นจำนวนมาก ทำให้พลังจิตที่เคยแห้งเหือดของหานซั่วค่อย ๆ ฟื้นตัวมากขึ้น
อสูรที่อยู่รายรอบหุบเขายังคงวุ่นวายกับการต่อสู้ พื้นดินสีเทาเต็มไปด้วยเศษกระดูกและเศษเนื้อหนังที่เน่าเปื่อย ภายใต้คำสั่งของเจ้านายที่พวกมันเคารพ อสูรชั้นต่ำเหล่านี้ต่างต่อสู้กันอย่างไม่ลดละ แต่ก็ไม่ลืมที่จะดูดกลืนปราณสีฟ้าเหล่านั้นเข้าไปด้วย
หลังจากที่พยายามอยู่ครู่หนึ่ง จิตของหานซั่วก็สามารถดูดกลืนปราณสีฟ้าได้เป็นจำนวนมาก และสามารถฟื้นฟูพลังจิตได้กว่า 80% จนกระทั่งไม่มีปราณสีฟ้าที่กระจายตัวออกมาจากใจกลางหุบเขาอีกต่อไป ซึ่งถ้าไม่ถูกดูดกลืนโดยอสูรมิติมืดจำนวนมาก ปราณเหล่านั้นก็แค่อันตรธานหายไปเอง
ในร่างของโครงกระดูกสีขาวบริสุทธิ์ หานซั่วยืนอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลจากหุบเขานั้นมาก หลังจากลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็มุ่งหน้าไปยังใจกลางหุบเขาแห่งนั้นทันที ซึ่งในขณะเดียวกัน หานซั่วยังคงสัมผัสได้ถึงเจ้าโครงกระดูกที่กำลังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ อีกเช่นกัน
หานซั่วรู้สึกว่ากลุ่มก้อนหนาแน่นของปราณสีฟ้าเมื่อครู่ที่แผ่ออกมาจากใจกลางหุบเขาจะต้องมีความลี้ลับบางอย่างแอบซ่อนอยู่อย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่สามารถเพิ่มพูนพลังจิตได้นั้นแทบไม่เคยได้ยินมาก่อนแม้แต่ในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ หานซั่วจึงไม่คิดเลยว่าในโลกที่มีแต่ความรกร้างไร้ที่สิ้นสุดจะมีสิ่งที่น่าพิศวงเช่นนี้อยู่ด้วย
แต่ที่สิ่งที่ทำให้หานซั่วหวาดวิตกยิ่งกว่านั้น คือตอนที่หานซั่วดูดกลืนปราณสีฟ้าเข้าไป กลับเกิดเป็นความรู้สึกคุ้นเคยจาง ๆ ในตอนแรก หานซั่วไม่มีปฏิกิริยาอะไร เว้นเสียจากตอนที่หยุดดูดกลืนเมื่อปราณสีฟ้านั้นไม่ได้แผ่กระจายออกมาจากใจกลางหุบเขาอีกแล้วเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าตอนที่เขาอยู่ในสุสานแห่งความตาย หานซั่วก็เคยได้ดูดซึมพลังงานพิเศษบางอย่าง ที่ทำให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ความรู้สึกที่เขามีเมื่อเขาดูดซับพลังงานนั้นก็คล้ายกับตอนที่เขาดูดซับปราณสีฟ้าเมื่อครู่ อย่างไรก็ตาม พลังงานก่อนหน้านี้ไร้ซึ่งขีดจำกัด และทำให้หานซั่วมีพลังจิตในระดับจอมขมังเวทย์ ตอนที่เขาดูดกลืนปราณสีฟ้า ก็รู้สึกว่าแม้จะไม่เทียบเท่า แต่มันก็เป็นออร่าที่คล้ายคลึงกันอย่างแน่นอน
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“ใครจะไปรู้ว่ามีอะไรอยู่ในใจกลางหุบเขาที่ก่อให้เกิดปราณสีฟ้าอันลึกลับนี้กันนะ!”
เป็นข้อสงสัยที่ทำให้หานซั่วตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเพื่อค้นหาความจริง แม้เขาจะสัมผัสได้ถึงอสูรมิติมืดจำนวนหนึ่งที่อาจคุกคามเขาได้ก็ตาม
โครงกระดูกสีขาวราวกับหยกนั้นมีขนาดใหญ่กว่านักรบโครงกระดูกทั่วไป มันสูงถึง 1.8 เมตร และกำลังมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่มีการสู้รบอยู่ ในระหว่างทาง นักรบโครงกระดูกและนักรบผีดิบชั้นต่ำต่างพุ่งเข้าโจมตีหานซั่วเมื่อมันรู้สึกว่ามีศัตรูจากต่างฝ่ายกำลังมุ่งหน้ามาใกล้
ในตอนนั้น จิตของหานซั่วเริ่มจัดการกับปราณแห่งความตายได้แล้ว เมื่อนักรบโครงกระดูกและนักรบผีดิบต่างเข้ามารายล้อมอยู่โดยรอบ ลำแสงสีขาวเทารูปจันทร์เสี้ยวที่ก่อเกิดจากปราณแห่งความตายก็พุ่งออกไปจากตรงหน้าของโครงกระดูกร่างยักษ์ตนนั้น
นักรบโครงกระดูกและนักรบผีดิบนับสิบที่กรูเข้ามาล้อมในตอนแรกถูกจัดการด้วยลำแสงนั้นทันที วิญญาณที่อ่อนแอของพวกมันไม่สามารถทานทนต่อพลังนั้นได้ พวกมันทรุดตัวลงพร้อมกับเสียงการแตกหักที่ดังระรัว กระดูกของนักรบโครงกระดูกร่วงกราวลงไปกับพื้น ส่วนนักรบผีดิบเองก็ถูกจัดการจนกลายเป็นเพียงซากของเศษเนื้อเน่าเปื่อยที่กระจัดกระจาย
เมื่อลำแสงที่สกัดกลั่นมาจากปราณแห่งความตายพุ่งผ่านไป นักรบโครงกระดูกและนักรบผีดิบนับสิบร่วงล้มลง ทำให้นักรบโครงกระดูกและนักรบผีดิบอีกกลุ่มหนึ่งที่ตั้งใจจะเข้ามาต่างหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อได้เห็นพลังความแข็งแกร่งของหานซั่วที่ปลดปล่อยออกมา พวกมันก็ตระหนักได้ว่านักรบโครงกระดูกตนนั้นมีขนาดใหญ่กว่ามาก กระดูกของมันเป็นประกายและโปร่งแสง แตกต่างจากร่างของพวกมันอย่างสิ้นเชิง
อสูรมิติมืดชั้นต่ำพวกนี้ มีจำนวนมากที่ไม่เคยเห็นราชาโครงกระดูกมาก่อน แต่อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ตอนที่พวกมันถือกำเนิดขึ้นมา ก็มีความตระหนักรู้เกี่ยวกับอสูรมิติมืดระดับสูงฝังอยู่ในจิตวิญญาณของพวกมันเรียบร้อยแล้ว เมื่อพวกมันสำรวจร่างโครงกระดูกที่หานซั่วควบคุมอยู่อย่างถี่ถ้วน พวกมันก็เข้าใจทันทีว่าหานซั่วคือราชาโครงกระดูกที่อยู่เหนืออสูรมิติมืดทั้งปวง เส้นทางจึงถูกเปิดออกอย่างเต็มใจ แม้อสูรต่าง ๆ จะยังคงต่อสู้กัน แต่ไม่มีตนใดที่กล้าเข้ามาวุ่นวายกับหานซั่วอีก ราวกับว่ามันเพิกเฉยต่อการมีตัวตนอยู่ของเขาไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม หานซั่วรู้ว่านี่คือปฏิกิริยาทางสัญชาตญาณของพวกมันที่มีต่ออสูรมิติมืดระดับสูง และเส้นทางที่เกิดขึ้นโดยสมัครใจนี้จะนำไปสู่เบื้องลึกของหุบเขาโดยตรง อสูรชั้นต่ำเหล่านั้นรู้ว่าหานซั่วต้องการมุ่งหน้าไปยังเบื้องลึกของหุบเขา พวกมันจึงเปิดทางให้
แคร้ง… แคร้ง… !!!
จิตของหานซั่วควบคุมร่างโครงกระดูกตนนั้นและมุ่งหน้าไปยังหุบเขาอย่างช้า ๆ อสูรที่อยู่โดยรอบยังคงรบราฆ่าฟันกันอย่างดุเดือด แต่ไม่มีอสูรตนใดเข้ามาขวางทางหานซั่ว
ณ ใจกลางหุบเขา อสูรมิติมืดที่น่าเกรงขามจำนวนหนึ่งยังคงต่อสู้กันอยู่ หานซั่วสามารถรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกมันได้อย่างชัดเจน ขณะที่เขาเดินเข้าไปด้านใน หานซั่วก็ค่อย ๆ ชะลอฝีเท้าลง และเริ่มระแวดระวังสถานการณ์รอบข้าง เพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่อยู่เหนือความคาดหมายได้อย่างทันท่วงที
บริเวณนั้นเต็มไปด้วยอสูรมิติมืดที่กำลังต่อสู้กันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เมื่อเห็นว่าเริ่มมีนักรบแห่งความเกลียดชังจำนวนมากและอัศวินปีศาจปะปนอยู่ในหมู่อสูรเหล่านั้น หานซั่วก็รู้ดีว่าเขาใกล้เข้าไปถึงจุดหมายแล้ว หานซั่วยังคงรักษาท่าทีอันเด็ดเดี่ยวไว้ ขณะที่เขาเดินผ่านอสูรมิติมืดระดับสูงเหล่านั้นไป และในที่สุด เขาก็เข้าไปยังใจกลางหุบเขาได้สำเร็จ บ่อน้ำพุสีดำสนิทปรากฏแก่สายตาของหานซั่วทันที พร้อมกับพืชพรรณที่ดูชั่วร้ายชนิดหนึ่งเติบโตอยู่บนน้ำพุ กิ่งก้านมากมายแผ่ยื่นออกมา ดูชั่วร้ายแต่ทว่าสวยงามราวกับดอกไม้กินคน กิ่งก้านและใบของมันดูราวกับมือที่แห้งเหี่ยวจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ปล่อยกลุ่มควันสีฟ้าลอยคลุ้งออกมา และภายในกลุ่มควันสีฟ้าเหล่านั้น มีหยดน้ำขนาดเท่าลูกนัยน์ตาอยู่หยดหนึ่ง มันดูราวกับไพลินสีน้ำเงินที่เปล่งแสงสุกสว่างออกมาอย่างน่าประหลาด