Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 115
ตอนที่115 นักกีฬาทายาทคนรวย
การที่ได้ทำงานร่วมกับนักกีฬามากมายทำให้หลี่ไต้พบว่า มันยากที่จะตัวคนที่มีพรสวรรค์ระดับสูง พรสวรรค์มันคล้ายๆกับปีระมิต อิฐที่ฐานจะเยอะกว่าอิฐด้านบน และบนจุดสูงสุด มีอิฐได้แค่อันเดียว
ตลอดการฝึกที่หลี่ไต้เคยเจอกับนักกีฬามืออาชีพ 95%ในนั้นเป็นระดับC ซึ่งก็อยู่ในระดับโอเค ส่วนระดับBนานๆเจอที ส่วนคนอย่างหลินเฟ่ยเหลียงหรือหยูเฟ่ยเฟ่ย ที่มีระดับSนั้น เจอน้อยคนมาก
ด้วยพรสวรรค์ระดับAกับความพยายามในการฝึก คนๆนี้สามารถกลายไปเป็นนักกีฬาระดับโลกได้ หรือแม้กระทั้งชนะการแข่งระดับโลกได้ ถ้าโชคดีมากพอ ทั้งนี้ก็ต้องหวังให้คู่แข่งคนอื่นอ่อนกว่าด้วย นักกีฬามีโอกาสที่จะได้เหรียญทองเช่นกัน
และฝางไฮควาน คือคนที่มีพรสวรรค์ระดับAในกีฬากระโดดไกล
เหรียญทองในวงการกีฬานั้นได้มายาก นักกีฬาในประเทศแถบเอเชียนั้นมีความสามารถตามหลังประเทศอื่อนอยู่ ถ้าใครสามารถเป็นนักกีฬาระดับโลกได้ คนนั้นจะต้องเก่งมาก และถ้าเป็นแบบนั้น โค้ชก็จะได้คำชมและเลื่อนขั้นไปด้วย
ตอนที่หลี่ไต้ตรวจสอบฝางไฮควานได้พรสวรรค์ระดับAนั้น เขาก็รู้ทันทีว่านักกีฬาคนนี้มีพรสวรรค์ และไม่ว่ายังไง เขาก็ต้องเก็บฝางไฮควานไว้กับทีมตัวเองให้ได้
หลี่ไต้พูด “ฝางไฮควาน ผจก.ฝางอยากให้เธอไปกับเขา นายคิดว่ายังไงบ้าง”
“ทำไมผมต้องเชื่อฟังเขาด้วยละ! ผมพึ่งมาอยู่นี้เอง ทำไมผมต้องออกด้วย!” ฝางคนลูกพูดอย่างหนักแน่น
“ไม่! ยังไงแกก็ต้องกลับไปกับพ่อ!”ผจก.สั่ง
หลี่ไต้บอกได้ทันทีว่าการทะเลาะครั้งต่อไปกำลังจะเกิดขึ้น เขาเลยแทรกเข้าไปในทันทีแล้วพูด “เออ เดี๋ยวก่อนครับ ผจก.ฝาง แต่ทำไมคุณถึงอยากให้ฝางไฮควานออกละครับ? มีอะไรทำให้คุณไม่พอใจรึเปล่าครับ?”
“ขอโทษครับโค้ช อย่าเข้าใจผมผิดเลยนะครับ ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไรเลย ผมแค่อยากให้ลูกชายผมกลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน แทนที่จะมาโดดอยู่แถวๆบ่อทรายแบบนี้ ทุกคนในวัยของเขาก็เรียนที่โรงเรียนกันหมด”ผจก.ฝางพูด
กลับโรงเรียนเหรอ? เขาคงเป็นพ่อแม่คนหนึ่งที่คิดว่าการเป็น”ผู้คงแก่เรียน”เป็นสิ่งที่ดีที่สุดละมั้ง หลี่ไต้ถอนใจ เขาเข้าใจความคิดทันที
การเป็นนักกีฬาเป็นอาชีพที่ขึ้นอยู่กับอายุเพียงแค่ช่วงวัยเยาว์เท่านั้น ในสายตาของพ่อแม่ การเรียนหนักเข้ามหาลัยหางานที่มั่นคงทำเป็นอะไรที่ดีกว่าการเป็นนักกีฬา นักกีฬาอายุน้อยส่วนมากจะพึ่งเรียนจบจากโรงเรียนม.ต้น ดังนั้นการที่จะเข้าม.ปลายแล้วเข้ามหาลัยมันเลยดูมีเหตุผลมากกว่า
แต่นักกีฬาพรสวรรค์ระดับA สามารถเป็นนักกีฬาที่สุดยอดได้ ซึ่งมันดีกว่าการต้องไปหางานปรกติๆทำแน่นอน
หลี่ไต้พูด “ผู้จัดการฝางครับ เอาความเป็นจริงเลยนะครับ การเป็นนักกีฬาก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่หรอกนะครับ ผมจะไม่พูดถึงพวกนักกีฬาซุปเปอร์สตาร์อย่างหลินเฟ่ยเหลียงหรอกนะครับ แต่แค่แชมป์โลกธรรมดาก็สามารถได้งานดีๆทำหลังจากที่เขาเกษียรแล้วนะครับ พวกเขาสามารถไปเป็นโค้ชหรือทำงานอยู๋ในหน่วยงานของรัฐบาลก็ได้ มีที่ให้รองรับพวกเขาได้เสมอละครับ โดยเฉพาะกับนักกีฬาดังๆ พวกเขาหาเงินได้ง่ายๆจากค่าโฆษณา แถมยังหาเงินได้มากกว่าพวกที่จบปริญญาตรีอีกครับ อีกอย่าง เดี๋ยวนี้มันก็ยากที่จะหางานด้วย แม้แต่คนที่จบปริญญาโทยังหางานที่พอใจไม่ค่อยได้เลย ไม่ต้องพูดถึงเด็กจบใหม่เลยครับ”
ในระหว่างที่พูดนั้น หลี่ไต้หันไปมองฝางไฮควาน แล้วพูด “ผมคิดว่าฝางไฮควานคนนี้ เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการกระโดดไกลครับ ถ้าเขาได้ฝึกอย่างหนัก ผมเชื่อว่าเขาสามารถเป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยมได้คนหนึ่งเลยครับ ถึงแม้จะไม่ได้ดีขนาดหลินเฟ่ยเหลียง แต่เขามีความสามารถมากพอที่จะขึ้นไปเป็นนักกระโดดไกลระดับต้นๆของประเทศนี้ได้เลยครับ”
หลี่ไต้ไม่อยากใช้คำว่า”ระดับโลก”เขาเลยใช้คำว่า”ระดับต้นๆของประเทศ” เพื่อไม่ให้ดูอวดอ้างเกินไป
แต่ต่างออกไปจากที่หลี่ไต้คิด พ่อหัวเราะขึ้นมาอย่างอวดสู “ระดับต้นๆของประเทศเหรอ? ฉันไม่ยอมให้เขาไปเป็นนักกีฬาหรอก ถึงแม้เขาจะกลายไปเป็นหลินเฟ่ยเหลียงคนต่อไปก็ตาม!”
หลี่ไต้ประหลาดใจ หลินเฟ่ยเหลียงเป็นถึงสมบัติของประเทศ โดยเฉพาะหลังจากที่เขาทำลายสถิติโลกได้อีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว ชื่อเสียงของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มันก็ไม่ได้เกินจริงเลยถ้าจะพูดว่าหลินเฟ่ยเหลียงเป็นไอดอลประจำประเทศที่เต็มไปด้วยพลังงานแง่บวก
หลี่ไต้เชื่อว่าพ่อแม่ต้องดีใจที่ได้ยินว่าลูกของตัวเองกำลังกลายเป็นคนที่จะเก่งพอๆกับหลินเฟ่ยเหลียง แต่ทำไมผจก.ฝางถึงโลกแคบแบบนี้ละ?
แต่ทันใดนั้นชายที่ดูจริงจังด้านซ้ายของเขา ก็เดินขึ้นมาข้างหน้า แล้วแนะนำผู้จัดการฝางให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขาพูด “ผู้จัดการฝางต้าหลูของเราเป็นประธานบริษัทคอนติเน็นทอลเลยนะ”
บริษัทคอนติเน็นทอล? ฝางต้าหลู? เดี๋ยวนะ ฝางต้าหลูเรอะ!!! หลี่ไต้นึกออกในที่สุดว่าเขากำลังพูดกับใครอยู่ พร้อมๆกับเขาใจว่าทำไมเขาถึงได้ไม่ได้สนใจหลินเฟ่ยเหลียงอะไรเลยด้วย เอาจริงๆแล้ว ฝางต้าหลูไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้สนใจหลินเฟ่ยเหลียงหรอก แค่พวกเขาอยู่กันคนละโลกแค่นั้นเอง
ถ้าเขาบอกแค่ชื่อมา หลี่ไต้อาจจะต้องใช้เวลาซักพักกว่าจะนึกออกว่าฝางต้าหลูเป็นใคร แต่พอพูดชื่อบริษัทคอนติเน็นทอลมาแค่นั้นละ นึกออกขึ้นมาทันที บริษัทคอนติเน็นทอลเป็นบริษัทที่ดังมากๆ
บริษัทคอนติเน็นทอลนั้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักใหญ่ ที่ก่อนหน้านี้ได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับอุสาหกรรมบันเทิงและธุรกิจออนไลน์แล้วด้วย ผู้บริหารอย่าง ฝางต้าหลู ถือเป็นคนที่รวยที่สุดในเขตฮั่นเบ แค่ทรัพย์สินส่วนตัวของเขา ก็มีมูลค่ามากกว่า20ล้านล้านหยวนแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่รวยที่สุดในประเทศ แต่20ล้านล้านมันก็เยอะโคตรๆสำหรับคนธรรมดาอยู่ดี
หลี่ไต้เข้าใจทันทีว่าทำไมผจก.ฝางถึงไม่สนใจที่เขาพูดเกี่ยวกับอนาคตของนักกีฬา ในฐานะคนที่รวยโคตรๆอยู่แล้ว ทำไมเขาต้องมาสนใจเรื่องค่าโฆษณาหรืองานที่มั่นคงที่นักกีฬาจะได้รับด้วยละ? ก็อย่างที่ฝางต้าหลูบอก ถึงแม้ลูกเขาจะสามารถกลายไปเป็นหลินเฟ่ยเหลียงคนต่อไป เขาก็ไม่สนใจหรอก ตลอดช่วงการทำงานของหลินเฟ่ยเหลียง เขาไม่สามารถทำรายได้เกินกว่า1ล้านล้านหยวน แต่บริษัทคอนติเน็นทอลที่คนๆนี้ควบคุมอยู่สามารถทำรายได้1ล้านล้านหยวนได้ง่ายๆเพียงแค่สร้างคฤหาสต์ซัก2-3หลัง
ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาคุยกับเศรษฐีล้านล้าน คนที่ดูจริงจังตรงนั้นน่าจะเป็นผู้ช่วยของเขา ส่วนตาคนกล้ามใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นต้องเป็นบอดี้การ์ดของฝางต้าหลูแน่ๆ เพราะว่าเขาดูเหมือนทหารเก่า แต่คนรวยโคตรๆอย่างฝางต้าหลู กลับมีบอดี้การ์ดที่อยู่กับเขาแค่คนเดียวเนี่ยนะ จะถ่อมตัวเกินไปแล้ว
หลี่ไต้มองฝางไฮควานตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาไม่เคยคิดเลยว่าว่าจะมีทายาทเด็กโคตรรวยอยู่ในทีมตัวเอง
ฝางไฮควานสูง1.80เมตรกว่าๆ เขาค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับเพื่อนๆของเขา เขาได้ผิวสีเข้มของฝางต้าหลูมา รวมถึง คิ้วหนาๆ ตาขนาดกลาง และ โหนกแก้มที่โดดเด่นที่ทำให้หน้าของเขาดูเหลี่ยม แล้วเขาก็ยังใส่ชุดกีฬาธรรมดาๆ ดูยังไงก็ไม่แตกต่างจากเด็กม.ปลายคนอื่นเลย
เขาไม่เห็นดูรวยเลย! หลี่ไต้คิดกับตัวเอง
ในความคิดของเขาเด็กบ้านรวยจะต้องแต่งตัวดีๆ ขับรถแพงๆ อวดเบ่งไปทุกที่ หยิ่งแล้วก็หยาบคาย แต่ไอ้คำพวกนั้นไม่ได้มีในฝางไฮควานเลย หลี่ไต้รู้สึกว่าถึงแม้ฝางไฮควานจะบอกคนอื่นว่าพ่อเขารวยมากๆ ก็คงไม่มีใครเชื่อเขาอยู่ดี
ใจเขาคิดอะไรอยู่นะ? ทำไมถึงอยากมาเป็นนักกีฬา? นักกีฬามันไม่ใช่งานง่ายๆนะ ถ้าฉันมีพ่อที่รวยมากๆละก็ ฉันคงไม่มาเป็นนักกีฬาหรอก