เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 155 ถ้าผมปฏิเสธล่ะ
ตอนที่ 155 ถ้าผมปฏิเสธล่ะ
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนในห้องส่วนตัวชะงักไป เสี่ยหวงยังไม่ทันได้พูดอะไร ซ่งจื่อเซวียนก็เริ่มควบคุมจังหวะเสียแล้ว
แต่ที่จริงคำพูดของซ่งจื่อเซวียนนั้นไม่ได้บกพร่อง หวงฟาไม่ได้นัดเขามาในวันนี้แต่เป็นเขาที่นัดหวงฟา เขาเปิดปากพูดถึงจุดประสงค์ของการนัดหมายในวันนี้ก็สมเหตุสมผล
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ คนทั่วไปก็ไม่กล้าพูดแบบนี้ อย่างไรเสี่ยหวงก็นั่งอยู่ตรงนั้น ยังไม่ถึงตาที่จะเอ่ยปาก
หวงฟาย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา เขามองซ่งจื่อเซวียนอย่างเย็นชา แอบไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มคนนี้เอาความกล้าจากไหนมาอวดดีแบบนี้ต่อหน้าเขา
“สองเรื่องงั้นเหรอ ลองบอกมาสิ” เสี่ยหวงเอ่ยเสียงเรียบ
พูดจบ หวงฟาก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ เห็นได้ชัดว่ากำลังวางมาด ซ่งจื่อเซวียนนายจะพูดก็พูดไป แต่ฉันจะไม่ตั้งใจฟัง
ทว่าซ่งจื่อเซวียนกลับไม่รีบเร่งที่จะพูด เขารอให้หวงฟาวางถ้วยชาลงก่อนแล้วจึงเอ่ยปาก “เรื่องแรก ผมรู้ว่าเสี่ยหวงคิดว่าผมมีสิ่งที่เรียกว่าบันทึกหย่งซั่นอยู่ในมือ วันนี้ที่ผมนัดคุณมาเพราะอยากจะบอกว่าผมไม่มีครับ!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยความเร็วปานกลางและหนักแน่น ไม่ได้ขี้ขลาดตาขาวสักนิดเพียงเพราะต้องเผชิญหน้ากับเสี่ยหวง
หวงฟาแค่นหัวเราะเบาๆ “ไม่มีงั้นเหรอ พูดด้วยลมปากเท่านั้นน่ะเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจและกล่าวต่อ “เรื่องที่สอง…เรื่องที่เสี่ยหวงทำกับร้านอาหารร่ำรวยเมื่อไม่นานมานี้ผมก็ทราบดี ผมหวังว่าคุณจะไม่ทำอีก ยังไงการกระทำเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ก็ส่งผลเสียกับสถานะของเสี่ยหวงไม่ใช่เหรอ”
หวงฟาได้ยินก็มีน้ำโห เห็นได้ชัดไอ้เด็กนี่ว่าขี้เกียจแม้แต่จะพูดเกริ่นและเลือกต่อปากต่อคำกับตัวเองตรงๆ เลย อีกอย่างเขาไม่ได้สนใจสิ่งที่เสี่ยหวงเพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้ ยังคงพูดสิ่งที่จะพูดต่อไป จองหองเกินไปแล้ว
“หึ ซ่งจื่อเซวียน ถือดีเอาตัวเองเป็นคนสำคัญแล้วงั้นเหรอ” เถียนเหวินคุ่ยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากโดยไม่รอให้หวงฟาพูด
อย่างไรหวงฟาก็เป็นคนระดับเจ้าพ่ออย่างไม่ต้องสงสัย ในเวลานี้จำเป็นต้องมีปืนที่จะยิงแทนเขา ไม่อย่างนั้นจะขัดกับสถานะของเขา
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองเถียนเหวินคุ่ย “เหอะๆ ท่านนี้คือ…”
สายตาของซ่งจื่อเซวียนแฝงแววดูถูก ในพื้นที่ตู้เหมินนี้ ไม่ว่าใครก็มีอำนาจและตำแหน่งมากกว่าซ่งจื่อเซวียน แต่เขาไม่สนใจ วันนี้คนที่เขานัดคือเสี่ยหวงไม่ใช่คนอื่น!
“กระผมแซ่เถียน รับผิดชอบจัดการเรื่องต่างๆ ให้เสี่ยหวงครับ” เถียนเหวินคุ่ยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าว
ประโยคนี้ถูกต้อง ทุกคนบนเส้นทางนี้รู้ดีว่าแม้ว่าเถียนเหวินคุ่ยจะตั้งหลักได้ด้วยตัวเองแล้ว แต่เขากลับเป็นกุนซืออยู่ข้างกายหวงฟา ด้วยสถานะนี้ หวงฟาจึงปกป้องเขาให้อยู่อย่างราบรื่นตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ยิ้มให้ “เหอะๆ ดูเหมือนว่าวันนี้ผมจะนัดผิดคนแล้ว ไม่ควรจะนัดเสี่ยหวงแต่น่าจะเป็นคุณถึงจะถูกใช่ไหม”
“คุณ…”
เถียนเหวินคุ่ยไม่เคยคิดเลยว่าชายหนุ่มคนนี้ที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี และเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งในสายตาของเขา คำพูดคำจาที่ออกมากลับคมกริบราวกับมีดและขัดคอเขาทุกประโยค
ความหมายนี้ของซ่งจื่อเซวียนชัดเจนมาก ในเมื่อคุณจัดการเรื่องต่างๆ ของเสี่ยหวงได้หมด ถ้าอย่างนั้นเสี่ยหวงก็ไร้ประโยชน์แล้ว หากมีธุระอะไรผมควรพูดคุยกับคุณ คำพูดนี้เป็นการบอกหวงฟาและเถียนเหวินคุ่ยอย่างชัดเจนว่าให้พวกนายออกมาคุยกับฉันแค่คนเดียวพอ!
เมื่อพูดถึงคุณสมบัติ ประสบการณ์และลำดับอาวุโส ซ่งจื่อเซวียนไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนี้แต่เขาก็พูดไปแล้ว รัศมีของเขาบดบังเจ้าพ่อทุกคนที่อยู่ที่นี่ทันที
บรรยากาศทั่วทั้งห้องส่วนตัวเหมือนว่าจะพลันแข็งทื่อไป ทุกคนมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรสักคำ กระอักกระอ่วนอยู่เช่นนั้นนานสิบกว่าวินาที
ในที่สุดหวงฟาก็ฉีกยิ้มเล็กน้อย “เหอะๆ ซ่งจื่อเซวียน นายนัดฉันน่ะถูกแล้ว งั้น…เรามาเริ่มคุยสองเรื่องที่นายว่ามาดีกว่า บันทึกหย่งซั่น…นายบอกว่าไม่มีก็แปลว่าไม่มีงั้นเหรอ”
“เหอะๆ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วจะยังไงล่ะ เสี่ยหวง จริงๆ แล้วผมอยากถามอย่างหนึ่ง ถ้ามี…แล้วจะเป็นยังไงล่ะ”
ประโยคนี้ถือว่าถามเพื่อหยุดหวงฟา ถ้าตอบแบบปกติก็คือถ้านายมีก็ต้องส่งมาให้เสียดีๆ ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้ชีวิตนายไม่เป็นสุข
แต่สำหรับเจ้าพ่อในวงการใต้ดิน หากพูดเช่นนั้นจากปากตัวเองจะเสียภาพพจน์มากเกินไป
ทว่าหากเขาไม่ยอมรับว่าวางแผนจะเอาบันทึกมาเป็นของตัวเอง วันนี้ซ่งจื่อเซวียนป่าวประกาศประโยคนี้ต่อหน้าผู้คน ในอนาคตหวงฟาจะเอาสูตรข้าวผัดจักรพรรดิมาด้วยวิธีอะไรล่ะ
ทันใดนั้นหวงฟาก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง…เขาไม่ควรเรียกเสี่ยเจียงและเคอซานมาที่นี่ เดิมทีอยากจะสอนบทเรียนให้พวกเขา แต่ตอนนี้มันกลายเป็นอุปสรรคสำหรับเขาไปแล้ว
ในตอนนี้ หวงฟายังไม่รู้จะตอบอย่างไรจริงๆ เขาเหลือบมองเถียนเหวินคุ่ยอย่างเคยชินและอีกฝ่ายก็เข้าใจความหมายทันที
“เหอะๆ ถ้ามี…ซ่งจื่อเซวียน เราจะยอมรับว่าฝีมือของคุณยอดเยี่ยมมาก แต่เพื่อการพัฒนาวงการอาหารตู้เหมิน ของบางอย่าง…ก็ควรแบ่งปันกับทุกคนถูกไหม” เถียนเหวินคุ่ยถาม
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็เงยหน้าจ้องมองเขา “คุณคือเสี่ยหวงเหรอ”
ได้ยินคำพูดนี้ จู่ๆ สีหน้าของเถียนเหวินคุ่ยก็เปลี่ยนไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกวัยรุ่นบีบคั้นแบบนี้ ช่างขายขี้หน้าจริงๆ
แต่มีตัวอย่างเมื่อครู่นี้แล้ว เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกจึงกระแอมสองครั้งและมองไปที่หวงฟาอีกครั้ง
เคอหงเทาและเสี่ยเจียงที่อยู่ด้านข้างฟังบทสนทนานี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ในใจพวกเขาเป็นเหมือนกับกระจกใส โดยเฉพาะเสี่ยเจียง เขาแอบชื่นชมมันสมองและความใจกล้าของซ่งจื่อเซวียน โชคดีที่ตนเลือกทางเดิมและไม่ได้กระโดดลงไปในน้ำขุ่นนี้
ต้องรู้ไว้ว่าทันทีที่เข้าไปมีส่วนร่วมก็จำเป็นต้องเลือกข้าง ฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าพ่อของวงการอาหารตู้เหมิน และอีกฝ่ายคือคนรุ่นใหม่ที่โดดเด่นในฝูงชน ไม่ว่าจะล่วงเกินฝ่ายไหนก็ไม่สมควรเด็ดขาด
เคอหงเทากระอักกระอ่วนมากขึ้นแล้ว ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้…ดูเหมือนเขาจะไปล่วงเกินทั้งสองฝ่ายแล้ว ทางฝั่งของหวงฟา เขาไม่ได้ทำตามคำสั่งของเสี่ยหวงอย่างเต็มที่ และทางซ่งจื่อเซวียน…คงจะเกลียดขี้หน้าเขาแทบตายด้วยซ้ำ
“สิ่งที่เหวินคุ่ยพูดตรงกับที่ฉันคิดไว้เลย ซ่งจื่อเซวียน ถ้าฝีมือธรรมดาทั่วไป…ฉันคิดว่านายทำให้ร้านอาหารของตัวเองร่ำรวยแบบเงียบๆ ได้ แต่ข้าวผัดจักรพรรดินั้น…ในวงการอาหารตู้เหมินจำเป็นต้องมีมัน” หวงฟากล่าว
“แล้วยังไงต่อ” ซ่งจื่อเซวียนถามกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด ขณะเดียวกันก็มองไปที่หวงฟา
หวงฟาเงียบไปครู่หนึ่ง “เรื่องทุกอย่างต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ซ่งจื่อเซวียน นายจะใช้สมบัติชิ้นนี้เพื่อความร่ำรวยของตัวเอง หรือจะยอมใช้มันเพื่อส่งเสริมการพัฒนาของธุรกิจอาหารตู้เหมินกันล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็แอบหัวเราะ นี่จะผลักดันฉันให้ก้าวไปสู่ระดับสูงของหน่วยงานที่สร้างและพัฒนาธุรกิจอาหารเหรอ แต่น่าเสียดายที่นายไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่อย่างนั้นฉันคงกดดันอยู่บ้างจริงๆ
“เหอะๆ เสี่ยหวง คุณใส่ใจกับการพัฒนาธุรกิจอาหารในท้องถิ่นจริงๆ เลยนะ ในจุดนี้ผมซ่งจื่อเซวียนขอยกย่อง!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเอนตัวพิงโซฟาและหยิบบุหรี่ออกมาจุด
การกระทำเช่นนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติ แต่ในสายตาของทุกคนกลับดูบ้าระห่ำจริงๆ
เสี่ยหวงอยู่ตรงนี้ เสี่ยอีกหลายคนก็อยู่ตรงนี้ ไม่มีใครจุดบุหรี่เลย แล้วนายสูบโจ่งแจ้งเลยงั้นเหรอ
แต่ดูจากสิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนทำเมื่อครู่ก็ไม่ได้แปลกใหม่แล้ว เขากล้าต่อต้านเสี่ยหวงตรงๆ แล้วทำไมจะไม่กล้าสูบบุหรี่ล่ะ…
หวงฟามองซ่งจื่อเซวียน ในใจรู้สึกโกรธจนพูดไม่ออก แต่บางครั้งก็เป็นเช่นนี้ คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนที่สวมรองเท้า เสี่ยหวงคุณมีสถานะไม่ใช่เหรอ ผมซ่งจื่อเซวียนไม่มีอะไรเลยและไม่กลัวสิ่งใดเช่นกัน
“นายเป็นดาวดวงใหม่ในวงการอาหารตู้เหมิน เราทุกคนรู้เรื่องนี้ และเพราะเหตุนี้ฉันก็หวังว่านายจะกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และเป็นคนที่ส่งเสริมอาชีพในท้องถิ่น” หวงฟาเอ่ยและหยิบซิการ์ออกมาจุด ราวกับว่าถ้าเขาไม่สูบ เขาคงจะพ่ายแพ้ซ่งจื่อเซวียนจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้ม “เสี่ยหวง สิ่งที่คุณพูดมันยิ่งใหญ่เกินไป ผมซ่งจื่อเซวียนไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าผมไม่มีบันทึกหย่งซั่นอยู่ในมือ!”
“เหอะๆ น้องชาย นายอย่ารีบปฏิเสธเลย จุดประสงค์ของหวงฟาอย่างฉันนั้นง่ายมาก นั่นคือหวังว่านายจะเอาสูตรลับของข้าวผัดจักรวรรดิมาแบ่งปันในธุรกิจอาหารเมืองตู้เหมิน แบบนั้นอาหารเลิศรสของตู้เหมินจะต้องก้าวไปอีกขั้นอย่างแน่นอน”
“แบ่งปันงั้นเหรอ แล้วผมจะได้อะไรล่ะ เสี่ยหวง ขนาดประเทศเวนคืนก็ยังได้เงินชดเชย เลวร้ายที่สุดก็ยังได้ประกาศนียบัตรระดับประเทศไม่ใช่เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้มกะล่อน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดของหวงฟาเลย!
หวงฟาเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “นายจะได้อะไรงั้นเหรอ ขอแค่นายเอามันออกมา หลังจากวันนี้ฉันจะถือว่านายเป็นพวกเดียวกัน ขอแค่นายยังอยู่ในวงการอาหารตู้เหมิน ฉันก็รักษาความมั่งคั่งของนายไว้ได้!”
แม้ว่าปากเขาจะพูดแบบนี้ แต่หวงฟามีเจตนาร้ายอยู่แล้ว เขาพูดในใจว่าถ้านายเอามันออกมาจริงๆ ฉันจะทำให้นายหายไปจากตู้เหมินอย่างสมบูรณ์เลย!
ในมุมมองของหวงฟา ในเมืองตู้เหมินมีหลายคนที่อาจเก็บไว้ได้ แต่มีคนเพียงประเภทเดียวเท่านั้นที่จะไม่ถูกเก็บไว้ นั่นคือคนที่ต่อต้านเขา!
คือซ่งจื่อเซวียนชัดๆ
ได้ยินหวงฟาพูดเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็คลี่ยิ้มและพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว นั่นก็แปลว่า…นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับบันทึกหย่งซั่นเลย เสี่ยหวง คุณแค่หมายปองข้าวผัดจักรพรรดิของผมตั้งแต่แรกใช่ไหม”
หวงฟาชะงักกับคำถามนี้ นี่เป็นความจริง เพียงแต่ไม่ได้ถามตรงๆ แบบนี้
ต้องบอกว่าซ่งจื่อเซวียนทำให้เขาพูดไม่ออกอีกครั้ง
ไม่เพียงแต่หวงฟาเท่านั้น เสี่ยเจียง เคอซานและแม้แต่เถียนเหวินคุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ฟังออกว่าบันทึกหย่งซั่นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น สิ่งที่หวงฟาต้องการจริงๆ ก็คือสูตรข้าวผัดจักรพรรดิ
เพียงแต่สถานะของเขาในฐานะเจ้าพ่อ การแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้งนั้นทำให้เสียหน้าได้ง่าย ดังนั้นเขาจึงถามหาบันทึกหย่งซั่นเพื่อให้มีเหตุผลในการจัดการ กลยุทธ์นี้…ที่จริงไม่นับว่าดีเท่าไร
อย่างไรคนมีชื่อเสียงที่เอาตัวรอดได้ในวงการมีคนไหนบ้างที่โง่เขลา ใครจะมองข้ออ้างของคุณไม่ออกอีก แค่ไม่ได้เปิดเผยไปเพราะสถานะต่างหาก
เมื่อหวงฟาเห็นว่าพูดมาถึงจุดนี้แล้วจึงพยักหน้าไปเสียเลย “ถูกต้อง ในเมื่อนายบอกว่าไม่มีบันทึกหย่งซั่นอยู่ในมือ ฉันก็จะเชื่อ แต่…ฉันก็ยังหวังว่านายจะเอาสูตรข้าวผัดจักรพรรดิออกมาแบ่งปัน”
“ฮ่าๆๆ น่าสนใจ แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าเสี่ยหวงอยากให้ผมแบ่งปันวิธีไหน ผมต้องป่าวประกาศบนเว็บไซต์ท้องถิ่นตู้เหมินหรือเปล่า” ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ
“ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน ฉันตั้งใจทำแบบนี้เพื่อให้ระดับธุรกิจอาหารในตู้เหมินเหนือกว่าเมืองรอบๆ ถ้านายป่าวประกาศออกไป ทุกคนก็จะรู้เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นฉันหวังว่าจะประกาศในแวดวงเล็กๆ พอ!” หวงฟากล่าว
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวและยิ้ม พูดกับตัวเองว่าจิ้งจอกเฒ่าหนอ พูดวกไปวนมาไม่ใช่ว่าหวังให้ฉันเอาสูตรให้นายเพียงคนเดียวเหรอ อีกอย่างในแวดวงเล็กๆ…ก็มีนายอยู่ แล้วใครจะกล้าใช้สูตรนี้กัน
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้รีบ เขาค่อยๆ โน้มตัวลงไปดับก้นบุหรี่ในมือ จากนั้นหายใจออกและเอ่ย “ผมเข้าใจแล้ว แต่ว่า…เสี่ยหวง ผมมีเรื่องจะถามคุณ”
“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”
“ถ้าผมแบ่งสูตรนี้ให้ ต่อไปเสี่ยหวงก็จะรักษาความมั่งคั่งของผมได้ แล้วถ้าผมปฏิเสธที่จะแบ่งปันล่ะ”
เมื่อซ่งจื่อเซวียนพูดจบ พวกเคอหงเทาและเสี่ยเจียงที่อยู่ด้านข้างก็หน้าซีด ก่อนหน้านี้ไม่ว่าคำพูดของเขาจะคมกริบแค่ไหน อย่างมากก็แค่ยั่วยุ แต่ตอนนี้ประโยคนี้ทิ่มแทงเสี่ยหวงโดยตรง ไม่มีอ้อมค้อมใดๆ
หวงฟาก็เช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดนี้ไฟโกรธก็ลุกโชนขึ้นในใจทันที โมโหจริงๆ แล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนรุ่นใหม่ แม้แต่เจ้าพ่อท้องถิ่นในตู้เหมิน ใครจะกล้าปฏิเสธเขาแบบนี้บ้าง
……………………………………………..