เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 724
ตอนที่ 724 การประชุมผู้นําโลกปีศาจ(ตอนต้น)
“ยามสายวันนี้ หน่วยสืบข่าวได้รายงานว่ากองทัพฝั่งอสูรได้ปักหลักอยู่อีกฟากฟังของป่าอสูร ซึ่งจํานวนที่ยังไม่ได้รับการยืนยันที่แน่ชัด กล่าวว่าพวกมันมีจํานวนมากกว่าสามพันถึงห้าพันตัว” จื่อหมิงกล่าว
“ห้าพัน!!?”
จํานวนที่ได้ยินทําให้ผู้นําทั้งหลายตกตะลึงอยู่ไม่น้อยไม่สามารถรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้
ประวัติศาสตร์ สัตว์อสูรทั้งหนึ่งร้อยตัวได้เข้าปะทะกับกองกําลังฝั่งปีศาจ ซึ่งในครั้งนั้นถูกเรียกว่าเป็นสงครามที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด
ทว่าในครานี้ ทัพอสูรยกกําลังพลมามากกว่าห้าพันตน!!?
มันมากเกินกว่าที่ได้คาดการณ์เอาไว้หลายสิบเท่า ด้วยจํานวนขนาดนี้มันแทบจะครึ่งนึงของเผ่าอสูรทั้งหมดจากข้อมูลที่รวบรวมมาหลายพันปี
“แต่…จากการตรวจสอบ กองทัพของพวกมัน มีอยู่ไม่น้อยที่ยังเป็นอสูรวัยเยาว์ยังมิโตเต็มที่” จื่อหมิงต่อ สงครามใหญ่ในอดีต อสูรทั้งหนึ่งร้อยตัวล้วนเป็นอสูรโตเต็มวัยทั้งสิ้น ซึ่งสัตว์อสูรที่ยังไม่โตเต็มที่นั้นก็เปรียบนักรบ เผ่าปีศาจดั่งเด็กและผู้ใหญ่นั่นแล แน่นอนพละกําลังและศักยภาพย่อมอ่อนด้อยกว่าอสูรโตเต็มวัยที่มีทั้งประสบการณ์ ผ่านร้อนผ่านหนาวเชี่ยวชาญมากทักษะรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตน ความคิดความอ่านก็ย่อมมากกว่าเป็นธรรมดา
“ต-แต่ห้าพันมันก็ไม่ใช่จํานวนน้อยๆนะท่านจื่อหมิง”
“จากที่ท่านกล่าว หมายความในทัพอสูรยังมีอสูรที่โตเต็มวัยปะปนอยู่หนะสิ”
“พวกมันมีเท่าไหร่ จํานวนสัตว์อสูรที่โตเต็มวัยแล้วมีทั้งหมดเท่าไหร่!!?” ภายในห้องประชุมเต็มไปด้วยความโกลาหลทันที
“…สองพัน” จื่อหมิงกล่าวอย่างช้าๆ
“สองพัน!!” ชายชราผมหงอกรายหนึ่งลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ ทวนซ้ําตัวเลขที่พึ่งได้ยินมาด้วยใบหน้าซีดขาวเป็นไก่ต้ม
“ใช่สองพัน แต่ว่าจํานวนนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงตัวเลขคร่าวๆที่หน่วยสอดแนมได้คาดคะเนเอาไว้เท่านั้น บางทีอาจจะมีน้อยกว่านี้ก็ได้” จื่อหมิงรีบหยุดความแตกตื่น
“ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่ามีโอกาศที่จะมีอสูรโตเต็มวัย…มากกว่านั้นหนะสิ!!” ชายชรากล่าวเสียงสั่น
จื่อหมิงผงกหัวเป็นคําตอบ
“จํานวนกว่าสองพัน มันมากมหาสงครามในอดีตถึงยี่สิบเท่าเลยมิใช่รี” บุรุษวัยกลางคนสวมใส่เกราะสีฟ้าผู้นําทัพแห่งวารีผู้มีนามว่าจอฮว่าน นั่งอยู่บริเวณกึ่งกลางโต๊ะลุกขึ้นกล่าวด้วยน้ําเสียงแหบพร่า
“มิใช่แค่สองพัน ห้าพันตั้งหาก เจ้าอย่าได้ดูถูกอสูรร้ายเหล่านั้นเชียว แม้พวกมันจะยังไม่โตเต็มที่แต่ความ แข็งแกร่งก็ยังมากกว่าพวกเรานักรบผู้กล้าเผ่าปีศาจของเราหลายเท่าตัวอยู่ดี” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมรายหนึ่งกล่าว
“ท่านจื่อหมิง จํานวนนี้มันไม่มากเกินไปหรือ? หน่วยสอดแนมของท่านสืบข่าวมาผิดพลาดหรือเปล่า?” สตรีสูงวัยผมขาวกล่าวถามแก่จื่อหมิง นางมีนามว่าจื่อฉีผู้ปกครองเมืองทางตะวันออก
“ย่อมไม่ผิด ตอนนี้บุตรชายข้าอู่เฉินและนักรบเมืองฮวางฉือ รับหน้าที่สืบการเคลื่อนไหวของศัตรู ด้วยพลังวายุของพวกข้าสามารถตรวจจับศัตรูที่เข้ามาในขอบเขตพลังได้ ฉะนั้นมันย่อมไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน” ชายฉกรรจ์จื่อเฟิงผู้นําแห่งทัพวายุกล่าวตอบคําถามแทนจือหมิง
“และในจํานวนนั้น มีสายพันธ์พิเศษอย่างแวมไพร์และมิโนทอร์รวมอยู่และสัตว์อสูรที่ไม่ทราบเผ่าพันธ์ชัดเจนอีกหลายสิบชนิด” มันกล่าวต่อ
“จํานวนเท่าไหร่ไม่สําคัญ ตอนนี้พวกเราควรคิดหาวิธีรับมือก่อน-” จื่อเหยาผู้นําทัพอัคคีกล่าว
“จํานวนไม่สําคัญ? เจ้าฝันอยู่รึไง นั่นมันตั้งห้าพันตนนะ” จื่อฮว่านผู้นําทัพวารีกล่าวแทรก
“ห้าพันแล้วมันยังไงล่ะ? ถ้าวัดด้วยจํานวนอย่างไรฝ่ายเราก็เยอะกว่าอยู่แล้ว หากมันมีห้าพันฝ่ายเราก็มีห้าล้าน ห้าสิบล้าน ข้าไม่เชื่อว่าอสูรตนเดียวจะสามารถต้านพลังของพวกเราเผ่าปีศาจได้นับพันนับหมื่นตนพร้อมกันหรอก” จื่อเหยาตอบโต้
“ข้าเห็นด้วยกับพี่เหยา เรามิควรยกตัวอย่างสงครามในอดีตขึ้นมาเทียบกับปัจจุบัน สงครามครั้งนั้นมันผ่านมา นับพันปีแล้ว กว่าพันปีที่พวกเรามิได้อยู่ที่เดิม ทักษะวิทยายุทธของพวกเราก้าวหน้าไปทุกยุคทุกสมัย” จือมู่ ผู้นําทัพแห่งพฤกษาออกความเห็น
“ที่ท่านพูดมาก็ถูก พวกเราพัฒนาขึ้นมากทั้งยุทธโธปกรณ์และฝีมือการต่อสู้ แต่พวกท่านมิคิดหรือว่าหลายพันปีมานี้พวกสัตว์อสูรเองก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นมดไฟ ตอนนี้พวกมันสามารถวิวัฒนาการเปลี่ยนรูปร่างจนไม่เหลือเคร้าโครงเดิมแล้ว แถมพลังต่อสู้ของพวกมันก็ยังเพิ่มสูงขึ้นอีกต่างหาก” หญิงชราจื่อฉีกล่าว
“ท่านหญิงกล่าวได้ใกล้เคียงกับที่ข้าคิดไว้ยิ่งนัก พวกท่านไม่คิดว่ามันแปลกหรือที่สัตว์อสูรจะระดมกําลังมาได้มากขนาดนี้ในเวลาอันสั้น ข้าคิดว่าพวกมันต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าเอาไว้ก่อนแล้ว และที่ข้าได้ยินมา มันมีกระทั่งการโจมตีทางอากาศที่ไม่เคยมีมาก่อน ข้าได้ตรวจสอบซากหนอนยักษ์ที่ท่านจื่อหมิงได้นํากลับมาแล้ว พบว่าพวกมันไม่มีคุณสมบัติที่จะเคลื่อนที่บนอากาศได้โดยตนเอง” ชายอีกรายกล่าวเสริม
“ความหมายของท่านคือ พวกสัตว์อสูรมีสติปัญญาคิดค้นกลยุทธ์ได้งั้นรี?” นับเป็นเรื่องน่าตกใจสําหรับเผ่าอสูรที่แทบจะเรียกได้ว่าสัตว์เดรัจฉานผู้มีแต่สัญชาตญาณรูป
ไฟสลัวภายในห้องไหววูบครู่หนึ่ง ก่อนมุมห้องจะปรากฏร่างของชายคนหนึ่งสวมใส่เครื่องแต่งกายสีดําตั้งแต่หัวจรดเท้า ชุดพอดีกับร่างกายปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคาดศรีษะ
ขณะที่เหล่าอ๋อง กลุ่มผู้นํากําลังโต้เถียงออกความเห็นกันอย่างดุเดือด ชายชุดดําย่างก้าวเข้ามาหาซื่อหมิงกhมลงกระซิบกระซาบข้างหูของมัน เมื่อหมดหน้าที่มันเดินถอยหลังเข้ามุมอับและอันตธานหายไปไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าน้องสาม?” จักรพรรดิปีศาจกล่าวถามหลังเห็นสีหน้าของชื่อหมิงหลังได้รับข้อความจากชายชุดดํา ตอนนี้สีหน้ามืดหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
“พี่ใหญ่…หน่วยสอดแนมรายงานว่า…สิบสองผู้พิทักษ์เคลื่อนไหวแล้ว” จื่อหมิงกล่าวบางเบา
“สิบสองผู้พิทักษ์!!” แม้เหล่าผู้นําจะโต้เถียงกันอยู่ก็ตาม แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่จื่อหมิงกล่าวพวกมันหันควับมองมายังหัวโต๊ะเป็นสายตาเดียวกัน
“ข-ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม? สิบสองผู้พิทักษ์แห่งเผ่าอสูรเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วย?” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมกล่าวเสียงสั่น
จื่อหมิงผงกหัวอย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ตกอยู่ในความวิตกเช่นเดียวกัน
“หน่วยสอดแนมตรวจสอบพบ อสูรสิบสองตนที่มีร่างกายใหญ่โตมโหฬารสูงนับร้อยเมตร สองตนเคลื่อนที่อยู่บนท้องนภาที่เหลืออีกสิบดํารงอยู่บนภาคพื้นดิน ทั้งลักษณะภายนอกของมันคล้ายคลึงกับอสูรผู้พิทักษ์ในตํานานอย่างยิ่ง…” จื่อหมิงกล่าว อันที่จริงมิจําใช่เฉพาะหน่วยสอดแนมที่ตรวจพบ กระทั่งทหารราบธรรมดายัง มองเห็นเงาเลือนรางของอสูรยักษ์พวกนั้นข้ามฟากป่าอสูรเลยทีเดียว
“พ-พวกเราจะทํายังไงกันดีล่ะ?” เหล่าผู้นํานั่งไม่ติดทันที
“สิบสองผู้พิทักษ์อะไรกัน พวกมันก็แค่สัตว์อสูรสายพันธ์เก่าแก่ เทียบแล้วมันก็ไม่ต่างจากสัตว์อสูรปกติเท่าไหร่หรอก”
“ช-ใช่แล้ว มันเพียงถูกบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน อสูรทั้งสิบสองปรากฏตัวขึ้นต่อกรกับปฐมจักรพรรดินี แต่นี่กว่าหนึ่งปีแล้วที่พวกมันหายสาบสูญไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ในหมื่นปีก่อนพวกมันเก่งกาจสามารถก็จริง แต่ตอนนี้เจ้าพวกนั้นอาจจะตกตายสิ้นอายุขัยไปหมดแล้วก็เป็นได้ ที่ปรากฏตัวในครั้งนี้อาจเป็นลูกหลานหรือเลือดเนื้อเชื่อไขที่พวกมันทิ้งไว้”
“ความประมาทเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้ มันจะเป็นอสูรผู้พิทักษ์จริงหรือเป็นเพียงลูกหลานของมันก็ตาม ด้วยขนาดร่างกายใหญ่โตเพียงนั้นย่อมครอบครองพละกําลังมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย” จื่อฮว่านผู้นําทัพวารีกล่าว