เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 725
ตอนที่ 725 การประชุมผู้นําโลกปีศาจ(ตอนกลาง)
“แล้วไง? อสูรผู้พิทักษ์? หรือเผ่าพันธ์พิเศษเผ่าพันธ์ชั้นสูงอะไรนั่นข้าจะใช้พลังอัคคีเผาพวกมันให้ไหม้จนไม่เหลือแม้แต่กระดูก!จ่อฮว่านหากเจ้ากลัวทําไมไม่นําทัพของเจ้ากลับเมืองเทียนหลางไปเสียล่ะ?กลับเข้าไปหดหัวอยู่ในเมืองรอข้าจบสงครามเมื่อไหร่จะข่าวไปให้เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าค่อยออกมาเป็นไง?” ชื่อเหยาผู้นําทัพอัคคีกล่าว
“ข้าว่าพวกเราใช้วิธีนี้ไหม? ล่อให้พวกมันโจมตีเสียกําลังไปเรื่อยๆแล้วค่อยฉวยโอกาศเผด็จศึก?” อ๋องรายหนึ่งออกความเห็น
“เผด็จศึกในคราวเดียว? นี่เจ้าฝันไปหรือเปล่าเจ้าจะเผด็จศึกอสูรตั้งห้าพันตนในคราวเดียวได้อย่างไง” เจ้าเมืองแห่งหนึ่งโต้เถียง
“นี่เจ้าโง่หรือเปล่า ใครเขาจะโจมตีคราเดียวใส่ศัตรูทั้งห้าพันกันล่ะแต่ช่างเถอะเกรงว่าคําอธิบายของข้าคนโง่อย่างเจ้าคงไม่เข้าใจ”อ่องโต้กลับ
“เฮอะ!! เปลวไฟขยะของพวกเจ้า ข้าใช้พลังแค่เสี้ยวเดียวก็มอดดับจนสิ้น!!”จ่อฮว่านตวาด
“สามหาว!!!” จ่อเหยาเดือดดาลเลือดขึ้นหน้า
ป้งงง!!
“เหลวไหล!! ต่อหน้าจักรพรรดิ ให้พวกเจ้ามาเสียมารยาทเช่นนี้ได้!!!”ตอนนั้นเองจื่อหมิงลุกขึ้นใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่นทั้งห้องบังเกิดแรงสั่นสะเทือนบางเบาราวกับแผ่นดินไหว
เหล่าผู้นําทั้งหลายหุบปากตนเอง ทั้งห้องเงียบสงัดลงในบัดดล
“การประชุมครั้งนี้เพื่อให้พวกท่านออกความเห็นช่วยกันคิดแผนการรับมือมิใช่ให้พวกท่านมาทะเลาะกันเหมือนเด็กเช่นนี้หากเรื่องนี้รั่วไหลออกไปภายนอกเกรงว่าคงเป็นเรื่องขบขันของเหล่านักรบ!!”จ่อหมิงตวาด
พวกมันค่อมศรีษะมาทางหัวโต๊ะด้วยใบหน้าสํานึกผิดก่อนที่จะนั่งลงประจําที่โดยสํารวมรักษากิริยาอย่างยิ่ง
จ่อหมิงนั่งลงกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
“ท่านเทพโอสถ ท่านมีความเห็นเช่นไร” มันกล่าวถามแก่เทพโอสถผู้มีศักดิ์เป็นปู่ของตน
“ก่อนอื่น ข้อมูลเป็นสิ่งจําเป็น อันดับแรกเราควรรวบรวมข้อมูลมาให้ได้มากที่สุดจํานวนที่ชัดเจนของฝ่ายศัตรูระบุสายพันธ์และชนิดของเผ่าอสูรแยกแยะความสามารถจุดเด่นและจุดด้อยของพวกมันและให้นักรบเผ่าปีศาจของเราที่มีพลังเป็นปฏิปักษ์ชนะทางมันตามธรรมชาติเข้ารับมือ”เฒ่าโอสถกล่าว
เหล่าผู้นําที่โต้เถียงกันมาอย่างดุเดือดเผ็ดมันเมื่อได้ฟังล้วนผงกหัวเห็นด้วย
“แล้วอสูรที่ยังไม่เคยปรากฏตัวล่ะท่านพวกเราไม่มีข้อมูลของพวกมันเลยมิใช่รึ ข้าได้ยินว่าอสูรลึกลับไม่ทราบสายพันธ์เหล่านี้มีอยู่ไม่น้อย”ชายชราผู้ปกครองเมืองทางเหนือกล่าวถาม
“อืม…พวกนั้นเป็นปัญหาจริงเราจะต่อสู้โดยที่ไม่ทราบข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามก็มิได้…” เฒ่าโอสถลูบค้างใช้สมองครุ่นคิด
“เอาแบบนี้เป็นไง พวกเราล่อให้พวกมันใช้พลังใช้ความสามารถแบบนี้เราก็จะได้ข้อมูลของมันมา”ชายฉกรรจ์หนึ่งในผู้ร่วมประชุมกล่าว
“หืม? จะล่อพวกมันยังไงล่ะ?” จ่อหมิงสอบถามด้วยความกระตือรือร้นหมายต้องการคําตอบที่สามารถแก้ปัญหาคาใจนี้โดยไว
“ไม่เห็นยากเลยท่าน เราก็ส่งคนสักกลุ่มหนึ่งไปเป็นคู่ต่อสู้พวกอสูรแล้วเราก็แอบวางกําลังสอดแนมเอาไว้ในระยะปลอดภัยเพื่อเก็บข้อมูลไง”ชายฉกรรจ์กล่าว
“เหลวไหล! เราจะเอาชีวิตของนักรบเผ่าปีศาจเพื่อบรรลุจุดประสงค์แค่นี้ได้ยังไงกัน” หญิงชราผู้ปกครองจากเมืองทางตะวันออกตวาดเสียงดังส่งทหารกลุ่มหนึ่งไปเป็นคู่ต่อสู้งั้นหรือ? ส่งคนไปเป็นเป้าให้อสูรโจมตีมากกว่า
“โธ่ะ อย่าได้อ่อนต่อโลกไปหน่อยเลยท่านหญิงข้ามิได้บอกสักหน่อยว่าจะให้ส่งนักรบมีฝีมือไป พวกเราก็ส่งทหารเลวความสามารถต่ําไปสิข้าเชื่อว่าหากเราประกาศออกไปย่อมมีผู้กล้จํานวนไม่น้อยที่อาสารับสมัครพลีชีพเพื่อเผ่าของเราอย่างแน่นอน” ชายฉกรรจ์กล่าวต่อ
“โอ้” ข้อเสนอของท่านน่าสนใจอย่างยิ่งข้าว่าวิธีนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว”
“แม้มันจะดูโหดร้ายไปสักหน่อยแต่ข้าว่าวิธีนี้คงจะรวบรัดและเห็นผลได้มากที่สุดแล้วล่ะ” ผู้นําหลายรายแสดงความเห็นด้วยกับชายฉกรรจ์
“ไร้สาระสิ้นดี พวกท่านกําลังจะบอกว่าให้พวกเราส่งคนไปตายอย่างนั้นหรือ? ความคิดที่ไร้ศีลธรรมเช่นนี้ท่านก็ยังคิดออกมาได้
“นั่นสิ พวกเจ้าไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือนักรบแม้จะอ่อนด้อยไร้ฝีมือแต่ก็ยังเป็นนักรบในอนาคตพวกเขาย่อมสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างไม่สิ้นสุดท่านจะปล่อยให้บุคลากรเหล่านี้ไปตายเปล่าอย่างงั้นรี”
“ว่ากันด้วยเหตุผล วิธีของท่านก็ดีอยู่หรอกแต่ข้ามองไม่เห็นความสําเร็จเลยแม้แต่น้อยท่านคิดว่าสัตว์อสูรพวกนั้นจําเป็นต้องใช้พลังเพื่อต่อกรกับนักรบด้อยฝีมือขั้นรึ? ข้าคิดว่าพวกมันใช้แค่กําลังกายเพียงอย่างเดียวก็สามารถบดขยี้กลุ่มที่เราส่งไปได้โดยไม่จําเป็นต้องใช้พลังเสียด้วยซ้ําฉะนั้นมันต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน!!” ผู้นําอีกหลายรายแสดงความเห็นคัดค้าน
ทั้งสองฝ่ายอธิบายความคิดของตนยกข้อเสียมาโต้แย้งยกข้อดีมาปัดป้อง
มองไปยังหัวโต๊ะ จักรพรรดิปีศาจและเฒ่าโอสถมีใบหน้ามืดหม่นก้มหน้ากอดอกเงียบกริบไม่ส่งเสียงโดยเฉพาะแม่ทัพจอหมิงที่พึ่งห้ามทัพปรามการโต้เถียงได้เพียงครู่เดียว แต่เพียงแค่ไม่กี่ประโยคต่อมาภายในห้องระชุมลับแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเสียงเอะอะของเหล่าอ๋องแม่ทัพเจ้าเมืองผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายเสียแล้ว มันถึงกับต้องกุมขมับเลยทีเดียว
“อะแฮ่ม” จักรพรรดิปีศาจส่งเสียงกระแอม
ผลลัพธ์ยิ่งกว่าเสียงตวาดของจื่อหมิงโดยไม่ต้องเอ่ยแม้สักคํากลับได้ผลชะงัดอย่างยิ่ง เหล่าแม่ทัพใบหน้าถอดสีถูกดึงสติกลับฉับพลันนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสุภาพเงียบปากในบัดดล
“น้องสองน้องสาม เรื่องนี้พวกเจ้ามีความเห็นยังไง?”จักรพรรดิปีศาจกล่าว
“ส่วนตัวข้าคิดว่าวิธีการที่ท่านอ๋องกล่าวมานั้นโหดร้ายป่าเถื่อนเกินไปหากทําเช่นนั้นเราคงไม่ต่างอะไรกับพวกสัตว์เดรัจฉานแต่หากนับเพียงผลลัพธ์ก็นับว่าน่าสนใจและคุ้มค่าอย่างยิ่ง”ชายฉกรรจ์รายหนึ่งผู้ยืนอยู่ด้านหลังองค์จักรพรรดิเปร่งวาจามันคือผู้ติดตามหรือเรียกอีกนัยว่าผู้คุ้มกันมีศักดิ์เป็นถึงบุตรชายของจักรพรรดิพระองค์ก่อน เทพโอสถและเป็นน้องชายของจักพรรดิองค์ปัจจุบัน
“อืม…”จ่อหมิงกัมหน้าครุ่นคิดอย่างขมักเขม่นไม่ว่าแผนการที่คิดขึ้นจะดีหรือร้ายเหล่าผู้นําทั้งหลายก็ล้วนจดจ่อรอคําสั่งจากแม่ทัพจอหมิงแต่เพียงผู้เดียวด้วยอํานาจหน้าที่แม่ทัพใหญ่ที่เป็นผู้ตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย
ภายในห้องเงียบสงัด นานเลยทีเดียวที่ไม่ใครปริปากกระทั่งเสียงลมหายใจยังบางเบาเพื่อมสร้างเสียงรบกวนสมาธิของแม่ทัพจอหมิง
ในที่สุดก็ได้ข้อสรุป จ่อหมิงส่ายหัวเป็นคําตอบ
“ข้าเห็นด้วยว่าควรรวบรวมข้อมูลของศัตรูแต่วิธีการนั้นตัวข้าผู้ดํารงตําแหน่งแม่ทัพย่อมไม่สามารถตัดสินใจส่งนักรบผู้กล้ใต้บังคับบัญชาที่เสียสละละทิ้งความสุขในชีวิตจับอาวุธต่อสู้กับสัตว์อสูรปกป้องราษฎรเคียงข้างกันมาอย่างยาวนานได้”จ่อหมิงกล่าว
เหล่าผู้นําไม่มีใครคัดค้าน พวกมันเคารพการตัดสินใจของแม่ทัพใหญ่
“พวกเราใช้แผนการเดิมมิได้หรือ? ล่อศัตรูเข้ามาในป่าอสูรและกําจัดพวกมันด้วยรูปแบบการโจมตีผสานของ สี่เหล่าทัพอัคคีวารีพฤกษาและวายุ?” อ๋องฉกรรจ์กล่าวถาม ตอนนี้มันใช้น้ําเสียงธรรมดาสามัญไม่แข็งกร้าว
“ท่านคิดว่า!!!…” จ่อฮวงจากเมืองฮัวหงผู้ใช้พลังอัคคีเปร่งวาจาเสียงดังกล่าวยังไม่จบประโยคพลันสายตาเหลือบมองไปยังหัวโต๊ะใบหน้าของมันซีดขาวลงฉับพลัน
“อะอะแฮ่ม กว่าจะสร้างความเสียหายได้มากขนาดนั้นท่านรู้ไหมพวกเราต้องใช้พลังไปเท่าไหร่” จ่อฮวงสํารวมกิริยาในบัดดลกล่าวด้วยวาจาอ่อนโยนฟังแล้วรื่นหู
“แต่มันก็คุ้มค่ามิใช่หรือ? ใช่ว่าพวกท่านจะใช้พลังไปโดยเปล่าประโยชน์เสียเมื่อไหร่ ตอนนี้เราควรชิงความได้เปรียบทุกวิถีทางเอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก”ผู้สนับสนุนความคิดอีกรายกล่าวเสริม