หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 33
สิบไม้?
เฉียนหมัวมัวกับลู่หมัวมัวต่างตะลึงงัน ไม่รู้หลวนอวิ๋นชูเกิดเสียสติอะไรขึ้นมา ถึงกับลงโทษคนมาใหม่โดยไม่มีสาเหตุ ทั้งยังเป็นโทษหนักอีกด้วย
“สะใภ้สี่ นี่…” เฉียนหมัวมัวมองหลวนอวิ๋นชูอย่างระแวดระวัง ยิ้มสู้แล้วบอก “เฉิงชิงเสวี่ยอายุยังน้อย ทั้งเพิ่งมาใหม่ ไม่เข้าใจเรื่องราว พูดอะไรผิดไป สะใภ้สี่สั่งสอนสักหลายคำก็แล้วกัน ไม่ถึงกับต้องโบยตีหรอกเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ได้โมโหอะไรนาง เพียงอยากจะเห็นจิตใจที่จงรักภักดีของนางเท่านั้น” หลวนอวิ๋นชูสีหน้าเอาแต่ใจ น้ำเสียงก็ฟังดูเหลวไหล “ข้าลงโทษนาง ถ้านางกล้าใช้กำลังภายในคุ้มครองร่างกาย ก็แสดงว่าไม่จงรักภักดี จะได้ไล่ออกไปทันที!”
“เอ่อ…ในจวนไม่เคยมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้” เฉียนหมัวมัวยิ้มเจื่อน “หากนายหญิงใหญ่รู้เข้า เกรงว่า…สะใภ้สี่ ท่านว่า…”
“ข้าเพิ่งจะพูดไป ในเรือนลู่ย่วนแห่งนี้ ข้าก็คือกฎระเบียบ!” หลวนอวิ๋นชูมองเฉียนหมัวมัวแล้วยิ้ม “เฉียนหมัวมัวไม่ได้ฟังชัดเจน หรือว่าไม่อยากอยู่ที่เรือนลู่ย่วนแล้ว”
เรือนลู่ย่วนเพิ่งจะเปลี่ยนบ่าวไพร่ใหม่ พวกนางได้อยู่ต่อนับเป็นพระคุณใหญ่หลวง จะตัดอนาคตตนเองเพื่อสาวใช้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่คนหนึ่งได้อย่างไร
เห็นหลวนอวิ๋นชูดื้อรั้น เฉียนหมัวมัวก็ไม่กล้าพูดมากอีก และไม่กล้าลงมือเฆี่ยนตีคน ได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นราวท่อนไม้ นางยังคงไม่เชื่อว่าคุณหนูญาติผู้น้องที่เพียงเหยียบมดตายก็ปวดใจผู้นั้น เหตุใดพอมาเป็นสะใภ้ได้ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นโหดร้ายทารุณ เห็นการทรมานสาวใช้เป็นเรื่องสนุกไปเสียแล้ว
เห็นสองคนยังงงงันอยู่ หลวนอวิ๋นชูจึงมองเล็บมือแล้วแตะเล็บเล่นไปมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแผ่วเบา
“ฟังให้ดี ในสิบไม้ข้าต้องเห็นโลหิต หาไม่ ข้าก็จะเฆี่ยนพวกเจ้า ดูว่านางใช้กำลังภายในคุ้มครองร่าง หรือพวกเจ้าไม่ได้ลงมือเต็มที่”
“สะใภ้สี่…”
ฝูหรงเรียกเสียงเบา นางคิดจะขอความเมตตาแทนเฉิงชิงเสวี่ย เพิ่งได้คลุกคลีกันมาครึ่งวัน นางก็ชอบเด็กสาวร่างสูงชาวแคว้นหลีที่พอยิ้มก็มีลักยิ้มสองข้างแก้มผู้นี้แล้ว
ทว่านางเพิ่งเอ่ยปาก สายตาน่าเกรงขามของหลวนอวิ๋นชูก็พุ่งมา คำพูดจึงค้างติดอยู่ที่ลำคอ
ในห้องโถงพลันเงียบกริบ อึดอัดจนทำให้คนหายใจไม่ออก ทุกคนจึงกลั้นหายใจเสียเลย
เฉียนหมัวมัวกับลู่หมัวมัวไปยกม้านั่งยาวมาตัวหนึ่งกับไม้พลองกลมสีแดงอีกสองอัน เดินเข้ามาลากตัวเฉิงชิงเสวี่ยออกไป กดให้นอนคว่ำลงบนม้านั่งยาว เฉิงชิงเสวี่ยก็ไม่ได้ดิ้นรน เพียงเอามือกุมศีรษะนอนคว่ำลงแต่โดยดี ไม่ขยับหนีไปไหน
หญิงรับใช้สูงวัยทั้งสองกวักมือเรียกสาวใช้รุ่นเล็กสองคนเข้ามากดขาและศีรษะเฉิงชิงเสวี่ยไว้ เฉียนหมัวมัวกับลู่หมัวมัวเงื้อไม้พลองในมือขึ้นสูง
“หยุดมือ!”
เห็นอยู่ว่าไม้พลองกำลังจะฟาดลงมาแล้ว หลวนอวิ๋นชูร้องเสียงดังขึ้นมาคำหนึ่ง
บอกแล้วว่าหลวนอวิ๋นชูไม่จิตวิปริตเพียงนี้ ที่แท้ก็เพียงขู่ให้กลัว!
ได้ยินเสียงตะโกน หมัวมัวทั้งสองพลันโล่งใจ วางไม้พลองลง จะพยุงเฉิงชิงเสวี่ยให้ลุกขึ้น กลับได้ยินหลวนอวิ๋นชูบอกว่า
“ถอดกางเกงนางลงมา…ค่อยเฆี่ยน”
คนในห้องโถงล้วนเป็นอิสตรี เผยก้นออกมาต่อหน้าผู้คนก็ไม่มีอะไร หลวนอวิ๋นชูที่เคยเรียนแพทย์แผนจีนรู้ดี ถ้าจะให้เห็นโลหิตจริง เส้นใยผ้าที่กางเกงจะต้องถูกฟาดจนเข้าไปในเนื้อ ตอนดึงออกมาทีละเส้นๆ เจ็บปวดทรมานไม่พูดถึง เวลารักษายังยากเย็นอีกด้วย ดีไม่ดีก็จะมีรอยแผลเป็นเต็มก้น
อิสตรีรักสวยรักงาม แม้จะเป็นก้น แต่มีรอยแผลเป็นก็ไม่น่าดู
พอได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนต่างดวงตาเบิกค้าง สายตาที่มองเฉิงชิงเสวี่ยเต็มไปด้วยความเวทนาสงสาร
จะอย่างไรก็เป็นอิสตรีคนหนึ่ง เห็นหมัวมัวทั้งสองจะเข้ามาถอดกางเกงของตน เฉิงชิงเสวี่ยก็ดิ้นรนขึ้นมา นางเป็นคนฝึกยุทธ์ หญิงรับใช้สูงวัยสองคนไหนเลยจะเป็นคู่ต่อกรของนาง ครู่เดียวก็ถูกผลักซวนเซลงไปนั่งกับพื้น
เฉิงชิงเสวี่ยสองมือรวบเสื้อผ้าไว้แน่น มองพวกนางด้วยความโกรธ ไม่ยอมให้เข้าใกล้
เฉียนหมัวมัวกับลู่หมัวมัวเดิมในใจก็รู้สึกเห็นใจอยู่แล้ว เวลานี้ถูกผลักล้มจนเจ็บก้นก็ไม่นึกโกรธ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมามองหลวนอวิ๋นชูด้วยสีหน้าเหยเก หวังว่านางจะเปลี่ยนความคิด อย่ากลั่นแกล้งเด็กสาวที่น่าสงสารผู้นี้อีก
เฉิงชิงเสวี่ยยังไม่ได้ทำผิด หลวนอวิ๋นชูเพียงต้องการจะทดสอบความจงรักภักดีของนางก็โบยตีแล้ว แต่ครั้งนี้นางต่อต้านอย่างโจ่งแจ้ง ทำผิดกฎระเบียบ ไยมิใช่ต้อง…
เด็กสาวหลายคนที่สนิทสนมกับเฉิงชิงเสวี่ยไม่อาจคำนึงถึงสิ่งใดอีก คุกเข่าตึงลงกับพื้น โขกศีรษะวิงวอนขอร้องแทนนาง
เมื่อครู่จะโบยเฉิงชิงเสวี่ย คนใหม่ไม่มีใครพูดแทนนางสักคน มีเพียงเฉียนหมัวมัวแม่เฒ่าผู้นี้ไม่อาจทนดูจึงพูดเพื่อความเป็นธรรมออกมาคำหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้หลวนอวิ๋นชูรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว แอบทอดถอนใจ คำว่า ‘น้ำใจ’ ยามอยู่ต่อหน้าอำนาจและการข่มขู่คุกคามช่างดูเล็กกระจิริดและไร้ค่าเพียงนี้
มาบัดนี้เห็นยังมีคนที่ไม่กลัวตายยอมขอความเมตตาแทนเฉิงชิงเสวี่ย หลวนอวิ๋นชูมองพวกนางเงียบๆ ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ทว่าสีหน้ากลับยิ่งเยียบเย็นลง
ฉับพลันนั้นห้องโถงใหญ่ที่สว่างไสวคล้ายกลายเป็นวัดโบราณที่เงียบสงบเคร่งขรึมในภูเขาลึก เงียบวิเวกไร้สุ้มเสียง เพียงได้ยินเสียงลมพัดเสียดสีช่องหน้าต่างเป็นระยะ เงาของโคมไฟที่แขวนอยู่ใต้ชายคาสูงทอดยาวสั่นไหวไปมาอยู่บนหน้าต่าง ทำให้คนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างบอกไม่ถูก หัวใจค่อยๆ ลอยขึ้นมาถึงลำคอ
ผ่านไปพักใหญ่ เพียงเห็นหลวนอวิ๋นชูลุกยืนขึ้นมา เดินช้าๆ มาถึงเบื้องหน้าเฉิงชิงเสวี่ย มองนางแล้วกล่าวเน้นย้ำทีละคำ
“นี่ก็คือความจงรักภักดีที่เจ้าบอก”
เสียงเย็นยะเยือกประดุจหยกไข่มุกร่วงหล่นลงสู่จาน แผ่กระจายไปทั่วห้องโถงที่เงียบสงบ เฉิงชิงเสวี่ยเพียงรู้สึกหูสั่นสะเทือนดังอึงอล ร่างสั่นเทา
วันนี้ในเรือนจัดการงานนางเห็นความชื่นชมในดวงตาของหลวนอวิ๋นชู นักรบยอมตายเพื่อผู้รู้ใจ มองหลวนอวิ๋นชูทุ่มเทสติปัญญารับมือกับสี่จวี๋และพ่อบ้านเฮ่อ นางสาบานไว้ถ้าอีกฝ่ายรับตนเองไว้ได้ นางจะปรนนิบัติรับใช้หลวนอวิ๋นชูด้วยความจงรักภักดี ตอบแทนที่ช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูนาง ชั่วชีวิตนี้ไม่มีใจเป็นอื่น
เพียงแต่พอหลวนอวิ๋นชูกลับมาก็จะลงโทษนางอย่างไม่มีคำอธิบายใดๆ แม้จะบอกว่าเหตุผลเหลวไหลยิ่ง นางก็ยอมแล้ว นางยินดี…ยินดีใช้ความเจ็บปวดบนร่างกายแลกกับความไว้วางใจของผู้เป็นนาย แสดงความจริงใจของนางให้หลวนอวิ๋นชูเห็น
แต่หลวนอวิ๋นชูกลับจะให้ถอดกางเกงโบย ลบหลู่นางต่อหน้าธารกำนัล เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจยอมรับได้ หรือว่านางดูคนผิดไปแล้วจริงๆ เจ้านายผู้นี้ความจริงแล้วเป็นคนโหดร้ายทารุณ
มองสบนัยน์ตาเยียบเย็นของหลวนอวิ๋นชู เฉิงชิงเสวี่ยคุกเข่าลงเงียบๆ
“สะใภ้สี่คิดจะพิสูจน์ยืนยันความจงรักภักดีของบ่าว บ่าวก็ยินยอมให้โบยตี ไม่ต่อต้านขัดขืนเด็ดขาด ขอเพียงสะใภ้สี่สบายใจ เชื่อใจบ่าวก็พอ เพียงขอ…สะใภ้สี่ได้โปรดเหลือศักดิ์ศรีให้บ่าวบ้าง!”
เสียงสั่นเครือ ในดวงตาเฉยเมยของเฉิงชิงเสวี่ยปรากฏแวววิงวอนขอร้องขึ้นเป็นครั้งแรก หลวนอวิ๋นชูตะลึงงัน นางลืมไปเสียสนิท นี่คือยุคสมัยโบราณ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของสตรีสามารถใช้ชีวิตแลกได้ เฉิงชิงเสวี่ยจะอย่างไรก็เป็นเด็กสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน…
ชั่วขณะนั้นหลวนอวิ๋นชูเองก็กลัดกลุ้ม หัวคิ้วขมวดมุ่นเป็นปม ผ่านไปพักใหญ่นางก็หมุนตัวมองไปที่ทุกคน
“หันหลังไป ไม่ว่าใครก็ห้ามแอบดู หาไม่ ข้าจะควักตาพวกเจ้าเสีย!”
ฉับพลันนั้นเสียงที่คมกริบ สายตาที่ดุดันสยบใจคน ยิ่งเน้นย้ำให้เห็นถึงความโหดร้ายทารุณของผู้พูด
ทุกคนเนื้อตัวสั่นขึ้นมาทันที หมุนขวับไปอย่างรวดเร็ว กลัวมากว่าถ้าช้าไปเพียงก้าวเดียวก็จะถูกควักลูกตา เด็กสาวที่อายุยังน้อยหลายคนส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมา ร่างอ่อนระทวยลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น
หลวนอวิ๋นชูมองเฉิงชิงเสวี่ยที่ยังคงรวบเสื้อผ้าไว้แน่นไม่คลายมือ
“เจ้าจะให้ข้าลงมือด้วยตนเองหรือ”
เฉิงชิงเสวี่ยจ้องนัยน์ตาเยียบเย็นคู่นั้น แรกเริ่มเดิมทีในดวงตาคู่นั้นเคยมีความเชื่อมั่นและชื่นชมในตัวนาง ความอบอุ่นในดวงตาคู่นั้นเป็นสิ่งที่นางไม่เคยได้รับในช่วงกว่าครึ่งปีมานี้ นางเกือบจะถูกทำให้ลุ่มหลง ร่วงหล่นลงไปในนั้น ยังคิดจะใช้ความเจ็บปวดบนร่างกายแลกกับความไว้วางใจอย่างน่าขัน คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนโหดเหี้ยมทารุณคนหนึ่ง ในดวงตาของเฉิงชิงเสวี่ยเริ่มมีเพลิงโทสะลุกโชนขึ้น
แววตาของหลวนอวิ๋นชูก็ยิ่งเยียบเย็นมากขึ้นทุกที
น้ำแข็งกับไฟคุมเชิงกัน เพียงแตะก็พร้อมจะปะทุ ฝูหรงคุ้มกันอยู่ข้างหน้าหลวนอวิ๋นชูตามสัญชาตญาณ
ใบหน้าของเฉียนหมัวมัวซีดขาวราวกระดาษ ขยับตัวไปทางประตูเงียบๆ
ไม่นานนักเปลวไฟที่ร้อนแรงก็มอดดับ เฉิงชิงเสวี่ยหลับตาลงอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง
ไม่ผิด นางเพียงยื่นมือออกไปก็สามารถสังหารเจ้านายวิปริตผู้นี้ได้ แต่หนีออกจากเรือนหลังนี้ไป นางยังจะไปที่ไหนได้
ใต้หล้ากว้างไพศาล ไหนเลยจะมีที่ให้นางซุกหัว บิดาไม่มีแล้ว เพื่อมารดาที่สูงวัยนางจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่อย่างอัปยศอดสูต่อไป!
น้ำตาสองหยดไหลรินลงมาช้าๆ มุมปากเฉิงชิงเสวี่ยหยักยกเป็นรอยยิ้มฝืดฝืนจางๆ ผ่านอะไรต่ออะไรมามากมาย เหตุใดยังไร้เดียงสาเพียงนี้ ถึงกับลืมว่าอีกาบนท้องฟ้าโดยทั่วไปมีสีดำ ในบ้านที่มีเงินมีอำนาจจะมีความอบอุ่นอ่อนโยนได้อย่างไร จะมีคนที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ ได้อย่างไร!
นางเป็นนักโทษของทางการที่ถูกสักหน้าคนหนึ่ง ในสายตาของคนมีเงินจะมีศักดิ์ศรีอะไรให้เอ่ยถึง!
คล้ายไม่เห็นความเกลียดชังใหญ่หลวงในดวงตาที่มีน้ำตาขังคลอ เห็นเฉิงชิงเสวี่ยคลายมือ หลวนอวิ๋นชูก็สั่งด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“ลงมือ!”
หลวนอวิ๋นชูต้องการให้สิบไม้เห็นโลหิต แม้จะมีความเห็นอกเห็นใจอยู่เต็มอก หมัวมัวทั้งสองก็ไม่กล้าเล่นเล่ห์ ทุกครั้งที่หวดลงไปล้วนใช้กำลังสิบสองส่วน กลัวยิ่งว่าหากสิบไม้ไม่เห็นโลหิต ตนจะพลอยได้รับโทษไปด้วย
เพียงโบยไปได้ห้าทีก้นของเฉิงชิงเสวี่ยก็แตกยับเยินเต็มไปด้วยโลหิต เฉิงชิงเสวี่ยเพียงเอามือกอดศีรษะพยายามกัดฟันทน ไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่คำเดียว
ดีมาก! เป็นพวกกระดูกแข็งคนหนึ่ง!
เห็นด้านหลังของเฉิงชิงเสวี่ยเนื้อแตกยับเยินเต็มไปด้วยโลหิต หลวนอวิ๋นชูก็เงยหน้าขึ้นร้องออกมาคำหนึ่ง
“หยุด!”
ยังต้องโบยอีกห้าที ไม้พลองในมือหมัวมัวทั้งสองกำลังเงื้อขึ้นสูง พลันมีเสียงตวาดให้หยุดก็ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เพราะใช้แรงออกมาเต็มที่ จู่ๆ สั่งหยุดกะทันหัน ร่างของทั้งสองโงนเงนไปมาเกือบจะล้มลงไป
หลังจากยืนมั่นเฉียนหมัวมัวกับลู่หมัวมัวก็ยืนหอบแฮกๆ มองหลวนอวิ๋นชู ครั้งนี้พวกนางไม่กล้าเดินเข้าไปพยุงเฉิงชิงเสวี่ย ยิ่งไม่กล้าคิดไปเองว่าหลวนอวิ๋นชูมีจิตเมตตา ไม่รู้สะใภ้สี่จอมวิปริตผู้นี้จะมีลูกไม้ใหม่อะไรมาทรมานเด็กสาวที่น่าสงสารผู้นี้อีก
“พอแล้ว” หลวนอวิ๋นชูมองเฉิงชิงเสวี่ยที่เนื้อแตกยับเยิน ส่วนลึกในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสาร มีประกายวาววับของหยาดน้ำตาผุดขึ้นมาจางๆ “หามออกไปเถิด”
เห็นเฉิงชิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้น หลวนอวิ๋นชูรีบหมุนตัวไปเพื่อสงบจิตใจแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ
“ค่ำมากแล้ว แยกย้ายกันไปเถิด”
ปรนนิบัติหลวนอวิ๋นชูล้างหน้าบ้วนปากแล้ว ฝูหรงก็นั่งกึ่งคุกเข่าอยู่บนเตียงนวดหลังไหล่ให้นาง
สี่จวี๋สี่หลันยืนสงบเสงี่ยมอยู่ที่พื้น มองหลวนอวิ๋นชูอย่างซึมกะทือ ไม่รู้ควรทำอะไรดี ถึงกับรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
หลวนอวิ๋นชูโบยตีเฉิงชิงเสวี่ยอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ทำให้พวกนางสั่นสะเทือนหวั่นไหวอย่างถึงที่สุด นี่ไหนเลยจะใช่คุณหนูญาติผู้น้องที่มีเมตตาใจกว้างอ่อนน้อมผู้นั้น เห็นชัดว่าเป็นเจ้านายที่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายเอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้หนึ่ง เกรงว่าความนุ่มนวลอ่อนโยนก่อนหน้านี้ทำไปก็เพื่อจะประจบเอาใจนายหญิงใหญ่ จะได้แต่งเข้าตระกูลที่มีเงินและอำนาจโดยราบรื่น จึงได้เสแสร้งแสดงออกมากระมัง
มาถึงตอนนี้ทั้งสองคนต่างเกิดความรู้สึกหวาดกลัวหลวนอวิ๋นชูขึ้นมาสามส่วนแล้ว ไม่กล้าถือดีว่าเป็นคนของนายหญิงใหญ่ คิดเหลวไหลว่าจะครอบงำ ควบคุมสะใภ้สี่ผู้นี้อีกแล้ว
หลวนอวิ๋นชูนั่งตัวตรงราวกับพระพุทธรูปมาทั้งวัน แผ่นหลังแข็งไปหมดแล้ว ให้ฝูหรงนวดอยู่พักหนึ่ง รู้สึกสบายขึ้นบ้าง นางจึงลืมตาขึ้น ขยับศีรษะ เหยียดแขน มีอิสระไม่มีอะไรมาจำกัดเช่นนี้ค่อยสบายขึ้นมาหน่อย
พอเงยหน้าขึ้นเห็นสี่จวี๋สี่หลันยืนอยู่ที่นั่นราวกับท่อนไม้ หลวนอวิ๋นชูเกือบจะหัวเราะออกมา นางเพียงสั่งโบยเฉิงชิงเสวี่ยไปครั้งเดียวเท่านั้น ไม่คิดว่าจะได้ผลรับดุจเดียวกับเคาะภูผาข่มขวัญพยัคฆ์* นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย
ลำพังตอนอาหารค่ำเห็นในห้องโถงเงียบกริบอย่างประหลาด ถึงกับมีบรรยากาศเหมือนตอนนายหญิงใหญ่กินอาหาร หลวนอวิ๋นชูก็รู้แล้ว คนเหล่านี้กลัวนางจากใจจริง แม้ไม่ชอบให้ทุกคนเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้อธิบาย ไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่ทุกคนมีต่อนาง วันเวลายังอีกยาวนาน ทุกเรื่องปล่อยไปตามธรรมชาติก็พอ
“เหตุใดยังยืนอยู่ที่นั่น” เก็บความคิดที่ล่องลอยไปไกลกลับมา หลวนอวิ๋นชูขยับมานั่งตัวตรง ในน้ำเสียงเจือความอ่อนล้า “ดึกแล้ว ไปพักผ่อนกันเถิด”
“เอ่อ…สะใภ้สี่ คืนนี้ให้บ่าวอยู่เวร” สี่จวี๋มองฝูหรง กล่าวอย่างลังเล “ฝูหรงเข้าเวรติดต่อกันมาหลายคืนแล้ว”
“ไม่ต้อง ให้นางอยู่เวรต่อไป พวกเจ้าไปพักผ่อนเร็วหน่อยเถิด”
ติดกับห้องนอนหลวนอวิ๋นชูมีห้องอุ่นที่มีฉากกั้นห้องซึ่งทำจากแผ่นไม้กั้นอยู่ จัดเตรียมไว้สำหรับสาวใช้รุ่นใหญ่ที่จะอยู่เวรตอนกลางคืน เพื่อที่นางจะได้เรียกใช้สะดวกในตอนกลางคืน
ปกติสาวใช้รุ่นใหญ่สี่คนจะผลัดเปลี่ยนกันอยู่เวร คืนละสองคน นับแต่สี่จวี๋สี่หลันย้ายมา หลวนอวิ๋นชูก็ไม่เคยให้พวกนางอยู่เวร จากส่วนลึกของหัวใจนางนั้นยังคงรู้สึกไม่ไว้ใจสองคนนี้ สี่จวี๋กับสี่หลันกลับเข้าใจว่าหลวนอวิ๋นชูเห็นว่าพวกนางเป็นคนของนายหญิงใหญ่ จะอย่างไรการอยู่เวรตอนกลางคืนก็เป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย ไม่ได้นอนสบายตลอดคืน
ด้วยเหตุนี้จึงปล่อยให้ฝูหรงเหน็ดเหนื่อยอยู่คนเดียว วันนี้ได้เห็นความโหดเหี้ยมของหลวนอวิ๋นชูแล้ว พวกนางจึงจำต้องเป็นฝ่ายเสนอตัวจะอยู่เวร หลวนอวิ๋นชูจะได้ไม่คิดบัญชีกับพวกนางในภายหลัง ก้นของพวกนางไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับเฉิงชิงเสวี่ย
เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่ใช้พวกนาง ทั้งสองก็ไม่กล้ายืนกราน บอกราตรีสวัสดิ์อย่างนอบน้อม แล้วล่าถอยออกไปเงียบๆ
“วันนี้คนเหล่านี้ล้วนกลัวท่าน” ฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ หายไป ฝูหรงหัวเราะพรืดออกมา “ดูจากท่าทางของพวกนางเมื่อครู่ ยังนอบน้อมต่อท่านยิ่งกว่านายหญิงใหญ่เสียอีก”
“แล้ว…” หลวนอวิ๋นชูบิดขี้เกียจตามสบาย “เจ้าไม่กลัวข้าหรือ”
“บ่าวใกล้ชิดกับสะใภ้สี่ด้วยใจจริง รู้ดี ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ไม่โบยตีบ่าว”
เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่กลัว หลวนอวิ๋นชูมองค้อน
“สะใภ้สี่ บ่าวรู้สึกว่า…” มือไม่ได้หยุดนิ่ง เสียงของฝูหรงก็นุ่มนวลแผ่วเบาไปตามการเคลื่อนไหว “ชีวิตของเฉิงชิงเสวี่ยน่าสงสารยิ่ง”
ค่ำคืนนี้หลวนอวิ๋นชู ‘ทารุณ’ เกินไปจริงๆ ก็แค่เด็กสาวที่น่าสงสารคนหนึ่งต้องการจะมีข้าวกิน เพียงให้อย่างเพียงพอนางย่อมจงรักภักดี ผู้เป็นนายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ การทำเช่นนี้ก็ดูไม่ใกล้เคียงกับนิสัยใจคอของนางเลย
หลวนอวิ๋นชูเข้าใจจิตใจของฝูหรง แต่กลับไม่ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงออกมา นางเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ข้ารู้”
“แล้วท่าน…”
“จริงสิ วันนี้พ่อบ้านเฮ่อเป็นคนส่งตัวคนเหล่านี้มาด้วยตนเองหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ เป็นตู้รุ่ยจยาผู้ดูแลห้องบัญชีให้ป้าอู๋พามา สะใภ้ใหญ่ยังให้อิ๋งชิวอิ๋งตงตามมาด้วย ควบคุมการรับช่วงงานของทุกส่วน” ฝูหรงย้ายมาที่ด้านหน้า ทุบขาให้หลวนอวิ๋นชูเบาๆ “บ่าวทำตามคำสั่งของท่าน ตามดูอยู่ตลอด สิ่งของต่างๆ ทุกส่วนตรวจนับตามรายการที่จดบันทึกไว้ และเปลี่ยนกุญแจใหม่ ลูกกุญแจก็เก็บกลับคืนมา”
“อืม” หลวนอวิ๋นชูพยักหน้า “มีอะไรผิดปกติหรือไม่”
“ทุกส่วนล้วนมีสมุดบัญชี สี่หลันและอิ๋งชิวพวกนางล้วนมีประสบการณ์ ก็ไม่มีอะไรขาด” มือพลันหยุดชะงัก ฝูหรงพลันนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ บ่าวพบว่าที่ห้องเก็บของด้านหลังยังมีสมุนไพรและยาต่างๆ อยู่จำนวนมาก”
“สมุนไพรและยา?!” แววตาสาดประกายวิบวับ หลวนอวิ๋นชูลุกขึ้นมานั่งตัวตรง “สมุนไพรและยาอะไรหรือ”
“มียาและสมุนไพรอยู่ครึ่งห้อง บ่าวก็ไม่รู้จัก” ฝูหรงหยุดมือ แล้วยกมือขึ้นมาทำท่าทำทาง “เพียงเห็นพวกนางตรวจนับดูตามรายการรอบหนึ่ง ได้ยินป้าหลี่ที่ดูแลห้องเก็บของบอก ส่วนใหญ่คนที่มาเยี่ยมไข้เอามามอบให้ และก็มีบางส่วนที่คุณชายสี่รวบรวมไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่”
“อ้อ” หลวนอวิ๋นชูลุกขึ้นมาจะลงจากเตียง “ลูกกุญแจเล่า ข้าจะไปดู”
ฝูหรงรั้งตัวหลวนอวิ๋นชูไว้ ชี้ไปที่นอกหน้าต่าง
“ลูกกุญแจล้วนอยู่ในลิ้นชัก วันนี้ดึกเกินไป ดับโคมไฟกันหมดแล้วเจ้าค่ะ ไม่ต้องรีบร้อน สะใภ้สี่ไม่สู้ไปพรุ่งนี้”
“ก็ดี” คิดอยู่ครู่หนึ่งหลวนอวิ๋นชูก็พยักหน้า “พรุ่งนี้เจ้าปลุกข้าเช้าหน่อย”
“พรุ่งนี้ยามเหม่าท่านยังต้องไปคารวะนายท่านกับนายหญิงใหญ่ ไม่สู้…”
“ไปดูก่อนไปคารวะผู้ใหญ่ จำไว้ต้องปลุกข้า” หลวนอวิ๋นชูหมุนตัวกลับไปที่เตียง มือแตะถูกสมุดผ้าไหมเล่มหนึ่งจึงหยิบมาพลิกดู “นี่คืออะไรหรือ”
* เคาะภูผาข่มขวัญพยัคฆ์ หมายถึงเจตนาแสดงการตักเตือน คล้ายสำนวนไทยที่ว่าเชือดไก่ให้ลิงดู