หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 32
สวรรค์!
ต่งซูผู้นี้ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ ลักลอบรักกันก็แล้วไปเถิด ถึงกับไปพึงใจหัวผักกาดใจแดงจอมเจ้าชู้ผู้นี้ จนถูกทอดทิ้งไม่พอ ยังคิดจะคลอดบุตรให้ผู้อื่นอีก
มิน่าต่งซูถึงดึงดันจะให้นางปักสินเดิมเจ้าสาวด้วยตนเอง ไม่ใช่เพราะชอบฝีมือการปักของนาง ที่แท้เพราะคิดจะหยิบยืมความโชคร้ายของนาง แช่งสวินเหลียนให้เป็นเหมือนต่งจง ขึ้นสู่สรวงสวรรค์แต่เร็ววัน!
ฟังมาถึงตรงนี้ ถึงหลวนอวิ๋นชูจะเป็นคนในสมัยปัจจุบันที่เปิดกว้าง ก็อดที่จะอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ มือไม้สั่นไปถูกหินเข้า หินก้อนหนึ่งตกลงมา คิดจะยื่นมือไปคว้าก็ไม่ทันแล้ว…
เสียงหินตกกระทบพื้นดังขึ้นเบาๆ หลวนอวิ๋นชูตกใจจนหน้าไม่มีสีเลือด ยืนนิ่งไม่ขยับราวกับเป็นท่อนไม้อยู่ที่นั่น กลั้นหายใจฟังเสียงเคลื่อนไหวจากข้างนอก ผ่านไปพักใหญ่ไม่เห็นมีการเคลื่อนไหวอะไร นางจึงเอามือทาบอก แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ค้อมตัวมองไปข้างนอกอยู่พักใหญ่ พบว่าเงียบกริบ ไม่มีเสียงใดๆ อีก หลวนอวิ๋นชูจึงเกาะผนังถ้ำ เดินออกไปอย่างระมัดระวัง
ยืดเหยียดแขนขาตามอำเภอใจ
แสงแดดยามนี้ดียิ่งนัก!
สวรรค์คุ้มครอง ข้ายังไม่ถูกพบเห็น หาไม่ ต้องไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้แน่นอน
หลวนอวิ๋นชูท่องคำว่าอมิตาภพุทธออกมาไม่หยุดปาก เดินอ้อมภูเขาจำลองออกมาด้วยความดีใจ ทว่าพอเงยหน้าขึ้นก็ยืนทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้นราวกับเป็นรูปปั้นดินเผาไปแล้ว…
ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนอยู่กลางถนน สายตานางจับจ้องอยู่ที่รองเท้าพื้นนุ่มสีน้ำเงินอมดำที่แสนจะคุ้นตาคู่นั้น ไม่ต้องคิดหลวนอวิ๋นชูก็รู้ คนผู้นี้ก็คือเจียงเสียนจอมเสเพลที่แอบนัดพบกับต่งซู
แตกต่างจากลู่เซวียนที่สุขุมนุ่มนวลสุภาพงดงาม เจียงเสียนเป็นแบบฉบับของคนทางเหนือ รูปร่างสูงกว่าลู่เซวียนหนึ่งช่วงศีรษะครึ่ง ท่าทางดูกล้าได้กล้าเสียเฉกเช่นคนทางเหนือ แต่ดูไม่หยาบกระด้าง
มิน่าอยู่ข้างนอกจึงได้ชื่อว่าเป็นคนเจ้าชู้ ต่งซูยังไม่กลัวกระโดดเข้าหา คนผู้นี้มีต้นทุนที่จะเจ้าชู้อย่างแท้จริง น่าเสียดาย เขาก็แค่หมอนปักลายใบหนึ่ง ข้างนอกดูสวยงามข้างในกลับมีแต่ปุยฝ้ายที่แห้งเหี่ยว!
หลวนอวิ๋นชูมองรูปโฉมหล่อเหลาคมคายที่ทำให้คนไม่อาจละสายตาซึ่งมีสีหน้าเย็นยะเยียบราวกับน้ำแข็งตรงหน้านี้แล้วก็ย่นหัวคิ้ว
เขามาขวางทางนางอยู่ที่นี่ จะต้องเป็นเพราะรู้ว่านางซ่อนตัวอยู่ในถ้ำตรงภูเขาจำลองแน่นอน
เขาคงไม่ใช่จะปิดปากข้ากระมัง
มือขาวผ่องกดหน้าอกเบาๆ หลวนอวิ๋นชูพยายามควบคุมหัวใจที่เต้นรัวไม่หยุด ทางหนึ่งก็พยายามคิดหาหนทาง ทางหนึ่งก็กัดฟันเดินไปข้างหน้า
เพิ่งจะก้าวเท้าออกไป พลันรู้สึกอากาศรอบตัวหยุดนิ่ง หลวนอวิ๋นชูขาสั่นล้มตึงลงกับพื้น ก่อนได้ยินเสียงเบาๆ เสียงหนึ่งที่แทบไม่ได้ยิน เข็มเงินเล่มหนึ่งปักอยู่บนต้นไม้ด้านหลังตน
น่าหวาดเสียวยิ่งนัก!
ในชั่วเวลานี้หลวนอวิ๋นชูก็พบว่านางไม่เพียงประสาทสัมผัสทั้งหกดีกว่าคนทั่วไป ร่างกายนี้ยังดูเหมือนรู้ถึงอันตรายล่วงหน้า เมื่อครู่ก็คือช่วงเวลาที่เจียงเสียนลงมือ นางรู้ล่วงหน้าด้วยความเฉียบไว ร่างจึงล้มลงไปก่อน หลบพ้นอันตรายไปได้อย่างหวุดหวิด
ไม่ได้หันกลับไป หลวนอวิ๋นชูคลานขึ้นมาอย่างงุ่มง่าม มองสบสายตาคมกริบดุจนกอินทรีที่มองมา ยิ้มอย่างโง่งมแล้วว่า “ออกมาข้างนอกก็หกล้ม ไม่เป็นสิริมงคลเสียเลย ทำให้คุณชายเจียงขบขันแล้ว”
พูดพลางหลวนอวิ๋นชูก็มาถึงเบื้องหน้าเขา ด้านหลังไม่มีทางให้ถอยแล้ว นางจะต้องทำให้เจียงเสียนล้มเลิกความคิดที่จะปิดปากนางให้เร็วที่สุด
เจียงเสียนมองหญิงสาวตัวเล็กงุ่มง่ามที่อยู่ตรงหน้า มุมปากมีแววหยามหยันผุดขึ้นจางๆ มือพลันขยับ เข็มเงินอีกเล่มหนึ่งหนีบอยู่กลางนิ้วมือ
หลวนอวิ๋นชูรู้สึกว่าใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาอีก นางที่กำลังจะยอบกายคารวะ มือพลันแตะไปที่มือของเจียงเสียนตามสัญชาตญาณ กดเข็มเงินที่กำลังจะถูกปล่อยออกมาเล่มนั้นเอาไว้
มือขาวผ่องแตะลงมาเบาๆ ความรู้สึกสั่นไหวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนขุมหนึ่งแผ่ลามจากมือขึ้นมา เจียงเสียนสีหน้าดำคล้ำ
“มิน่าเล่า เพียงเพราะคำพูดปลุกปั่นไม่กี่คำของแม่นางหลวน คุณชายถังถึงกับโลหิตสาดท้องพระโรง” มุมปากมีรอยยิ้มเสียดสีประดับอยู่จางๆ เจียงเสียนน้ำเสียงเย็นยะเยียบ “ได้ยินว่าแม่นางหลวนเป็นแม่ม่ายได้ไม่ทันไร แม้แต่ลู่เซวียนผู้มีจิตใจงดงามมีคุณธรรมสูงเช่นนั้น ยังกลายเป็นแขกประจำของจวนกั๋วกง ฝีมือในการยั่วยวนบุรุษของแม่นางหลวนนับว่าพิเศษจำเพาะไม่เหมือนใครจริงๆ”
“ท่าน…”
ตัวท่านเองเจ้าชู้หลายใจ ก็เข้าใจว่าคนทั้งโลกล้วนเจ้าชู้หลายใจหรือ!
ความโกรธพลุ่งพล่านอยู่ในสมอง หลวนอวิ๋นชูอยากจะถอนหัวผักกาดใจแดงจอมเจ้าชู้นี่ขึ้นมาทั้งราก แล้วกระทืบให้แบน ขยี้ให้เละ ก่อนเอาไปโยนในหลุมส้วมยิ่งนัก ไม่ตีเขานับว่าเกียจคร้านเกินไปแล้ว!
ทว่าเข็มเงินที่อยู่ใต้ฝ่ามือแผ่ความเย็นออกมาจางๆ ทำให้นางต้องสะกดกลั้นอารมณ์ไว้
“ไยผู้มีพระคุณกล่าวเช่นนี้” สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน หลวนอวิ๋นชูยังคงกุมมือเจียงเสียนไว้ “ผู้มีพระคุณสีหน้าเขียวคล้ำ ในดวงตามีเส้นโลหิตแตกกระจาย เห็นชัดว่าในร่างกายถูกพิษรุนแรง ข้าพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง เห็นแก่บุญคุณที่ผู้มีพระคุณเคยช่วยชีวิต จึงคิดจะตรวจชีพจรให้ท่านเท่านั้น ข้าทำไปด้วยเจตนาดี คิดไม่ถึงว่าจะถูกผู้มีพระคุณลบหลู่เช่นนี้”
เจียงเสียนสีหน้าชะงักอึ้ง เก็บเข็มเงินอย่างไม่เผยพิรุธใดๆ ดวงตายังคงจ้องหลวนอวิ๋นชูเขม็ง ยิ้มหยันแล้วบอก
“พอรู้วิชาแพทย์? บัณฑิตหญิงผู้โด่งดังแห่งเมืองหลวนเฉิงศึกษาวิชาการแพทย์ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
รับรู้ได้ว่าจิตสังหารของอีกฝ่ายสลายไปแล้ว หลวนอวิ๋นชูก็หดมือกลับ กล่าวเสียงราบเรียบ
“คุณชายถูกพิษมายาวนาน พิษเข้ากระดูกแล้ว ถ้าไม่รีบรักษา เกรงว่าไม่เกินหนึ่งปีจะต้องโลหิตไหลออกมาทั่วร่างและถึงแก่ความตาย!”
สีหน้าที่ผ่อนคลายลงมาพลันแปรเปลี่ยน เจียงเสียนยกมือขึ้นเชยคางหลวนอวิ๋นชู จ้องนัยน์ตาทั้งสองข้างของนางเขม็ง พูดเสียงเยียบเย็น
“ต่งกั๋วกงสอนให้เจ้าพูดเช่นนี้หรือ เขายังบอกอะไรอีก”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้อากาศหยุดนิ่งขึ้นมาทันที รับรู้ได้ว่าข้างกายเจียงเสียนมีจิตสังหารขุมหนึ่งแผ่กระจายออกมารำไร หัวใจของหลวนอวิ๋นชูเต้นถี่รัวขึ้นมาอีกครั้ง
ต่งกั๋วกง?
บอกว่าเขาถูกพิษ เกี่ยวอะไรกับต่งกั๋วกงกันเล่า ที่เขาดูตื่นเต้นเพียงนี้ หรือว่า…
“สะใภ้สี่!”
“สะใภ้สี่…”
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็มีเสียงเรียกอย่างร้อนรนของพวกสี่จวี๋กับจางหมัวมัวดังมาจากด้านนอกป่า
“ข้าอยู่นี่!”
ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดก็มีคนมาช่วยแล้ว
หลวนอวิ๋นชูเบี่ยงหน้าหลบจากมือของเขาแล้วพยายามตะโกนออกไป ในพจนานุกรมของจอมเสเพลผู้นี้ เกรงว่าคงไม่มีคำว่า ‘ถนอมพฤกษาอาลัยหยก’* นางจะต้องคว้าโอกาสทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือตนเอง
กระทั่งเห็นเงาร่างของสี่จวี๋ หลวนอวิ๋นชูจึงระบายลมหายใจออกมา พร้อมๆ กับความโล่งใจนางก็นึกได้ว่าตนเองยังยืนอยู่กับหัวผักกาดใจแดงจอมเจ้าชู้ผู้นั้นด้วยท่าทางคลุมเครือ
ลุงสองมันเถอะ** เจียงเสียนผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้ นางก็เพิ่งเป็นม่าย ถ้าถูกพบเห็นว่าอยู่ด้วยกันในป่าเงียบไร้ผู้คนเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทิน***!
ปลายจมูกมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาทันที หลวนอวิ๋นชูหันขวับไป ไหนเลยจะยังมีเงาร่างของเจียงเสียน ขณะงุนงงอยู่นั้นข้างหูก็มีเสียงแผ่วเบายิ่งดังขึ้นมา
“ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ดีต่อไป เรื่องในวันนี้ ทางที่ดีเจ้าจงปิดปากให้แน่น!”
หลวนอวิ๋นชูร่างสั่นสะท้าน แววตาคมกริบดุจนกอินทรีวาบผ่านไป ประหนึ่งมีเข็มปักตรึงอยู่กลางหลัง ทำให้นางเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งคล้ายเคยรู้จักกันมาก่อน เหมือนเคยพบเจอกันที่ไหน พลันรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา
“สะใภ้สี่ เหตุใดจึงเดินมาถึงที่นี่ได้ บ่าวตามหาอยู่ตั้งนาน”
หันไปเห็นใบหน้าของสี่จวี๋ นอกจากความร้อนใจก็ไม่มีอะไรผิดปกติ หลวนอวิ๋นชูร่างอ่อนระทวยพิงไปที่ต้นไม้
“เหตุใดจึงจุดโคมไฟมากเพียงนี้”
เพิ่งถึงเวลาเข้าไต้เข้าไฟ ในลานยังพอมองเห็นเงาร่างคน ที่เรือนลู่ย่วนทั้งด้านนอกด้านในแสงไฟสว่างไสว มีกลิ่นอายของการเฉลิมฉลองเจืออยู่รำไร หลวนอวิ๋นชูมองสี่หลันกับฝูหรงที่ยืนรอรับอยู่หน้าประตูด้วยความฉงน ถึงจวนกั๋วกงจะมีเงินก็ไม่ควรใช้สิ้นเปลืองเช่นนี้
“เรียนสะใภ้สี่ บ่าวไพร่ที่มาใหม่รอพบท่านอยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ” สี่หลันชายตามองฝูหรงแล้วชิงเอ่ยขึ้น “บ่าวเห็นว่าทำเช่นนี้จะแสดงถึงความมีสง่าน่าเกรงขามของท่านได้เด่นชัดขึ้น จึงสั่งให้คนจุดโคม”
ความมีสง่าน่าเกรงขามของคนผู้หนึ่งไม่ใช่สิ่งที่โคมไฟไม่กี่ดวงจะขับให้เด่นออกมาได้
หลวนอวิ๋นชูมองสี่หลันแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร นึกถึงเด็กสาวที่เลือกไว้ ในใจก็ลิงโลด มุมปากนางมีรอยยิ้มสดใสผุดขึ้น เท้าก็ยิ่งก้าวเร็ว
เห็นหลวนอวิ๋นชูพึงพอใจ สี่หลันก็ดีใจ เดินตามไปด้วยความชื่นมื่น
“สะใภ้สี่เปี่ยมด้วยบุญวาสนา สุขภาพแข็งแรง!”
เสียงทักทายดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ดังก้องกังวานไปไกลท่ามกลางความเงียบ หลวนอวิ๋นชูร่างชะงักงัน หยุดฝีเท้าไปชั่วขณะ สายตากวาดไปข้างหน้าช้าๆ
ในห้องโถงที่แสงโคมสว่างไสวมีสาวใช้กับหญิงรับใช้สูงวัยยืนเรียงกันอยู่สองแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เหมือนที่ผ่านมาที่ไร้ระเบียบวินัย แม้แต่เฉียนหมัวมัวและลู่หมัวมัวก็กลั้นลมหายใจ สองมือแนบลำตัวยืนตัวตรง ไม่กล้าชะล่าใจ เห็นหลวนอวิ๋นชูมองมาก็รีบมองตอบด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ ขาดก็แต่ไม่ได้เอ่ยปากสาบาน ‘จะจงรักภักดีต่อสะใภ้สี่ไปจนตาย’ ต่อหน้าธารกำนัลเท่านั้น
หลวนอวิ๋นชูพยักหน้าน้อยๆ ด้วยความพึงพอใจ ไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินช้าๆ มาที่โถงด้านหน้า นั่งลงบนเก้าอี้ ยื่นมือไปรับน้ำชาที่ฝูหรงส่งมาให้ เปิดฝาถ้วยเป่าเบาๆ จิบไปทีละคำ
ดื่มน้ำชาหมดถ้วย หลวนอวิ๋นชูจึงเงยหน้าขึ้น ฝูหรงถือโอกาสพูดขึ้น
“เรียนสะใภ้สี่ นับรวมเฉียนหมัวมัวกับลู่หมัวมัวแล้ว ทั้งหมดมีสิบเก้าคน ล้วนอยู่ที่นี่ทั้งหมด เชิญท่านให้โอวาท”
ให้โอวาท?
ฝูหรงผู้นี้ช่างรู้จักจัดการเสียจริง!
หลวนอวิ๋นชูปรายตามองฝูหรง ในใจรู้สึกขบขัน กำลังจะบอกไม่ต้อง กลับพลันฉุกคิดขึ้นมา คนเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานในการดำรงชีวิตของนางในวันข้างหน้า ล้างสมองสักหน่อยก่อนก็ดี ให้ในใจของทุกคนมีนางเพียงคนเดียว ไม่มีนายหญิงใหญ่…และไม่มีเหยาหลัน
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยหลวนอวิ๋นชูก็พูดขึ้นไม่กี่คำ ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำพูดทำนองว่า…ต่อไปในเรือนแห่งนี้นางก็คือกฎระเบียบ
ภายใต้สายตาหวาดหวั่นพรั่นพรึงของสี่จวี๋ สี่หลัน หลวนอวิ๋นชูก็ยุติการแสดงคำพูดล้างสมองอย่างสบายใจ
ขณะจะให้แยกย้ายกันไปหลวนอวิ๋นชูก็เหลือบไปเห็นเฉิงชิงเสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างหลังสุด สูงโดดเด่นราวกับยีราฟ ในสมองนางพลันปรากฏภาพที่ทำให้ใจหายใจคว่ำในป่าผุดขึ้นมา นางแอบกัดฟันกรอด ไม่ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนมากเพียงใด นางจะต้องรั้งเฉิงชิงเสวี่ยที่เป็นวรยุทธ์ผู้นี้ไว้ข้างกายให้ได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ คำพูดที่ว่า ‘สามวันสามารถส่งคืนได้’ ดังขึ้นมาที่ข้างหูอีกครั้ง หลวนอวิ๋นชูหัวคิ้วขมวดมุ่น
“เฉิงชิงเสวี่ย!”
“คารวะสะใภ้สี่!”
“สะใภ้สี่ นางหนูผู้นี้มีความสามารถยิ่ง!” ชีวิตของเฉิงชิงเสวี่ยทุกข์ยากมากพอแล้ว เห็นหลวนอวิ๋นชูมองสาวใช้ผู้นั้นพลางขมวดหัวคิ้ว ฝูหรงก็เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ “วันนี้ช่วงบ่าย นางคนเดียวกวาดลานเรือนด้านหลังทั้งหมด ทำงานไม่ออมแรงแม้แต่น้อย เป็นมือดีคนหนึ่งเจ้าค่ะ”
“อืม” หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะ สายตากลับไม่ได้ละจากเฉิงชิงเสวี่ย “เฉิงชิงเสวี่ย ถ้าข้าจะให้เจ้าทำเรื่องที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบของจวน เจ้าจะทำหรือไม่”
ต่อให้เป็นเจ้านายคนหนึ่ง ถ้าฝ่าฝืนกฎระเบียบก็ต้องถูกทำโทษ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวใช้
คำถามนี้ใช่ทำให้คนตกตะลึงพรึงเพริดเกินไปหรือไม่
คล้ายมีกลิ่นอายของการวางแผนประทุษร้ายขุมหนึ่งแผ่กระจายอยู่ในอากาศจางๆ มีเสียงดังขึ้นมาชั่วขณะ ในความหวาดหวั่นพรั่นพรึงมีความเห็นใจเจืออยู่ขุมหนึ่ง สายตาสิบกว่าคู่พุ่งมารวมกันที่ร่างของเฉิงชิงเสวี่ย
“เรียนสะใภ้สี่” เฉิงชิงเสวี่ยตามองตรง สีหน้าไม่สะทกสะท้าน “บ่าวจะพยายามโน้มน้าวท่านให้ไม่ทำ”
“ถ้าข้ายืนกรานจะทำเล่า”
“บ่าวจะน้อมฟังคำสั่งของท่าน พยายามทำอย่างเต็มที่!”
เสียงไม่ดังแต่หนักแน่น บอกให้รู้อย่างชัดแจ้งถึงเจตนารมณ์ที่แน่วแน่และความตั้งใจจริงของผู้พูด
“ไม่ถูก!” บรรยากาศพลันตึงเครียด ทุกคนต่างตัวสั่นสะท้าน แม้แต่สี่จวี๋สี่หลันยังเปลี่ยนสีหน้า กำลังจะตักเตือนและตำหนิก็ได้ยินสวีฟางที่ยืนอยู่แถวหน้าพูดเสียงดังขึ้นมา “คำสั่งของผู้เป็นนายไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ ผู้เป็นบ่าวต้องพยายามตักเตือนห้ามปราม ขัดขวางสุดชีวิต จะเอาแต่รับปากปล่อยให้ผู้เป็นนายทำผิดจนถูกลงโทษได้อย่างไร!”
ในเรือนแห่งนี้ยังขาดสาวใช้รุ่นใหญ่อีกหนึ่งคน ตัวคนยังไม่ได้กำหนด สวีฟางย่อมต้องพยายามแสดงออก โอกาสเช่นนี้ไม่อาจปล่อยไป เห็นสี่จวี๋สี่หลันต่างผงกศีรษะด้วยความพอใจ สวีฟางก็ดีใจเป็นล้นพ้น ยืดอกเชิดหน้าขึ้นมองหลวนอวิ๋นชู นางขยับเข้าไปใกล้ตำแหน่งสาวใช้รุ่นใหญ่อีกก้าวหนึ่งแล้ว
หลวนอวิ๋นชูกวาดตามองสวีฟาง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ สายตาเบนกลับมาที่ร่างเฉิงชิงเสวี่ยอีกครั้ง
“ข้าได้ยินว่าวรยุทธ์มีแบ่งแยกเป็นภายในกับภายนอก* ที่เจ้าฝึกคืออะไร”
“ที่บ่าวฝึกฝนคือวิชากำลังภายใน บ่าวเชี่ยวชาญที่สุดคือวิชาตัวเบาเจ้าค่ะ” หน้าแดงเล็กน้อย เสียงของเฉิงชิงเสวี่ยเบาลงมา “อาจารย์บอกเด็กหญิงไม่ควรต่อยตีฆ่าฟัน ฝึกวรยุทธ์ก็เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ที่สำคัญที่สุดคือต้องฝึกวิชาตัวเบาให้ดี และให้จดจำหลักการไว้ข้อหนึ่ง เมื่อเจอศัตรูที่เข้มแข็ง สู้ไม่ได้ก็หนี ย่อมไม่ทิ้งชีวิตไว้”
เชี่ยวชาญวิชาตัวเบาอะไร เห็นชัดว่าเป็นวิชาหลบหนี ฟังคำพูดนี้แล้ว ทุกคนต่างหัวเราะออกมา บรรยากาศที่ตึงเครียดสลายไปโดยปริยาย
หลวนอวิ๋นชูเห็นด้วยกับความคิดนี้จากใจจริง คนฉลาดต้องรู้จักเอาตัวรอด หลบเลี่ยงจากสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อตนเอง ต่อสู้กับผู้อื่นเมื่อสู้ไม่ได้ก็ต้องหนี สู้ไม่ได้ยังจะโง่งมพุ่งเข้าหาอีก ต้องถูกซัดจนฟันร่วงเต็มพื้นจึงจะยอมแพ้หรือ
ในตำราพิชัยยุทธ์ก็มีบอก สามสิบหกกลยุทธ์…หนีคือสุดยอดกลยุทธ์
เดิมคิดจะชมเชยสักสองสามคำ แต่เห็นสีหน้าของทุกคนแล้ว ยังคงอย่าดีกว่า หลวนอวิ๋นชูเพียงกวาดตามองคนที่ส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจด้วยแววตาเยียบเย็น
ทุกคนรีบปิดปากทันที พริบตาเดียวก็เงียบลงมา หลวนอวิ๋นชูจึงเอ่ยถาม
“ข้าได้ยินมาว่าคนที่ฝึกกำลังภายใน ถ้าถูกเฆี่ยนจะโคจรกำลังภายในคุ้มครองร่างไว้ ทั้งไม่เจ็บไม่คัน ใช่หรือไม่”
“เรียนสะใภ้สี่ ใช่เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าจะควบคุมเจ้าได้อย่างไร” หลวนอวิ๋นชูยกมือขึ้นนวดคลึงจุดไท่หยางตรงขมับ ทำท่าว่าปวดหัวยิ่ง “หากเจ้าทำผิด ยามลงโทษเฆี่ยนโบยก็เหมือนไม่ได้โบย เจ้าย่อมไม่กลัวเกรง”
“เรียนสะใภ้สี่ ท่านเป็นนาย ท่านลงโทษบ่าว บ่าวย่อมไม่กล้าต่อต้านขัดขืน ยิ่งไม่กล้าใช้กำลังภายในคุ้มครองร่าง”
“ดี!” หลวนอวิ๋นชูหมุนตัวเดินไปที่ด้านหน้า “ข้าได้ยินว่าบ่าวไพร่ที่จงรักภักดีล้วนเป็นเช่นนี้ ปฏิบัติตามคำสั่งผู้เป็นนายอย่างไม่บิดพลิ้ว วันนี้ข้าจะดูซิว่าเจ้ามีจิตใจที่จงรักภักดีเช่นนี้หรือไม่!” เสียงดังขึ้นทันที “เข้ามา!”
ทุกคนเนื้อตัวสั่นเทา ยามกะทันหันถึงกับไม่มีอาการตอบสนองใดๆ ยังคงเป็นเฉียนหมัวมัวลู่หมัวมัวผู้สูงวัยสองคนนี้ที่ก้าวออกมาทำความเคารพ
“สะใภ้สี่มีอะไรจะสั่งการ”
“ลากตัวนางออกไป โบยตีให้หนัก” นางลังเลเล็กน้อย “สิบไม้!”
* ถนอมพฤกษาอาลัยหยก เป็นสำนวน หมายถึงบุรุษที่รักทะนุถนอมคอยเอาอกเอาใจอิสตรี
** ลุงสองมันเถอะ เป็นคำด่าคล้ายมารดามันเถอะ
*** กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทิน หมายถึงยากจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองได้ เนื่องจากน้ำในแม่น้ำหวงเหอ (ฮวงโห) มีสีเหลืองขุ่น เดิมทีใช้อุปมาว่าลงไปล้างตัวในแม่น้ำหวงเหอไม่มีทางสะอาดได้ ยิ่งล้างก็ยิ่งเลอะ แต่นานวันเข้าก็เพี้ยนมาเป็นต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทินได้
* วรยุทธ์ภายในเน้นการฝึกพลังลมปราณ วรยุทธ์ภายนอกเน้นการฝึกความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อและกระดูก