หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 34
ฝูหรงตื่นตระหนก ชำเลืองมองปากประตูอย่างกระสับกระส่าย กดเสียงเบาลง
“คุณชายลู่เซวียนให้บ่าวนำมาให้ท่าน บทเพลง ‘หลีเสินฟู่’ ที่มีชื่อเสียงของท่านอาจารย์หลิ่วโม่”
ลู่เซวียนมอบให้?
หลวนอวิ๋นชูสีหน้าแดงระเรื่อ หัวใจเต้นรัวเร็ว นางพลิกเปิดดู แตกต่างจากอักษรเสี่ยวจ้วนที่พบเห็นได้ทั่วไปในจวน ข้างในนั้นนอกจากตัวโน้ตที่คล้ายลูกกบลูกเขียดแล้ว เนื้อเพลงก็ดูเป็นอักษรตัวเต็มแบบโบราณโดยแท้ เมื่อพิจารณาดูอย่างละเอียดจึงพอกล้อมแกล้มอ่านออก
“เหตุใดตัวอักษรนี้…”
“นี่คือภาษาหลี เป็นลายมือจริงของท่านอาจารย์หลิ่วโม่” เห็นนางฉงน ฝูหรงจึงอธิบาย “คุณชายลู่บอก กลัวท่านจะอ่านไม่ออก เขาจึงขอให้คนแปลไว้ แนบอยู่ข้างหลัง รู้ว่าท่านชื่นชมบทเพลงหลีเสินฟู่มานาน จึงมอบให้พร้อมต้นฉบับเดิมด้วย”
ภาษาหลี?
หลวนอวิ๋นชูก็นึกถึงที่เฉิงชิงเสวี่ยเคยพูดไว้ว่าแคว้นหลีกับแคว้นหลวนใช้ตัวอักษรต่างกัน พลิกดูด้านหลัง แล้วก็เห็นผืนผ้าไหมบางดุจปีกจักจั่นแนบติดอยู่สองสามหน้า ในนั้นเป็นตัวอักษรเสี่ยวจ้วนที่อ่านไม่ออก นางแอบถอนหายใจทีหนึ่ง แม้อักษรตัวเต็มแบบโบราณจะยากกว่าอักษรตัวย่อในสมัยปัจจุบัน แต่จะอย่างไรก็เขียนง่ายกว่าตัวอักษรเสี่ยวจ้วนมาก ถ้าตัวอักษรของสองแคว้นรวมกันเป็นหนึ่ง…ใช้อักษรหลีอย่างเดียวก็คงดี
แม้จะอ่านไม่ออก แต่ตัวอักษรที่ประณีตงดงามบนผ้าไหมคล้ายกับการแกะสลักบนปีกของจักจั่น เพียงดูก็รู้ว่าลู่เซวียนตั้งอกตั้งใจทำ เบื้องหน้าพลันปรากฏดวงหน้าหมดจดหล่อเหลา หลวนอวิ๋นชูรู้สึกว่าที่ใดที่หนึ่งในหัวใจเริ่มสั่นไหวขึ้นมา มุมปากนางมีรอยยิ้มอบอุ่นพาดผ่านจางๆ
“ลำบากเขาแล้ว”
“สะใภ้สี่ เมื่อก่อนท่านกับเขาแอบนัดพบกัน บ่าวเป็นคนคอยช่วยเหลือ เพราะเข้าใจว่าท่านกับคุณชายสี่จะยกเลิกการหมั้นหมายได้…” เห็นแววตาหลวนอวิ๋นชูเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ใบหน้าของฝูหรงก็ซีดขาวลง “เวลานี้ไม่เหมือนแต่ก่อน ท่านแต่งงานแล้ว อีกทั้ง…สะใภ้สี่ยังคงลืมเขาเสียเถิด!”
มิน่าวันนี้พอเจอลู่เซวียน นางหนูนี่ก็วิ่งไปดูต้นทางโดยไม่ต้องบอก ที่แท้ก็รู้ลู่ทางดี
“นี่ก็ดึกแล้ว เจ้าจัดการงานเรียบร้อยแล้วก็ไปนอนเถิด” เก็บสมุดผ้าไหมอย่างระมัดระวัง ซุกไว้ข้างหมอนแล้ว หลวนอวิ๋นชูเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ช่วงนี้เจ้าก็เหนื่อยหน่อย รอกำหนดสาวใช้รุ่นใหญ่อีกคนได้แล้ว พวกเจ้าค่อยผลัดเปลี่ยนกันอยู่เวร” ชี้มือไปที่ห้องทางตะวันตก “พวกนางจะอย่างไรก็เป็นคนของนายหญิงใหญ่ ข้าไม่วางใจ ปกติเวลาเจ้าพูดอะไรก็ระวังหน่อย”
“บ่าวไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ สะใภ้สี่ไม่พูด บ่าวก็ระวังพวกนางอยู่แล้ว” เห็นหลวนอวิ๋นชูหลบเลี่ยง ฝูหรงก็ไม่ได้ดึงดันจะโน้มน้าว เพียงมองผู้เป็นนายด้วยแววตาวิบวับ “จริงสิ…สะใภ้สี่ สาวใช้รุ่นใหญ่คนนั้น ท่านมีใครในใจหรือไม่ พูดออกมา บ่าวจะได้ช่วยท่านสังเกต”
นางหนูผู้นี้ช่างโง่เขลา ข้าใส่ใจเฉิงชิงเสวี่ยเพียงนี้ ถึงกับไม่รู้สึกอะไร
“เท่าที่เจ้าดู…” หลวนอวิ๋นชูทิ้งตัวไปข้างหลัง พิงหมอนอิงอย่างเกียจคร้าน “ในบรรดาคนเหล่านี้ ใครเหมาะสม”
“เท่าที่บ่าวดู สวีฟางผู้นั้นเฉลียวฉลาดคล่องแคล่ว เจอปัญหาก็มีท่าทีตอบโต้ว่องไว เป็นตัวเลือกที่ดี” ครุ่นคิดอย่างจริงจังพักใหญ่ ฝูหรงก็ยกนิ้วมือขึ้นมานับ “งานเย็บปักถักร้อย กิริยามารยาท ความรู้ด้านหนังสือล้วนโดดเด่นเหนือทุกคน”
นึกถึงเด็กสาวที่พูดโพล่งขึ้นมาสองครั้งเพื่อดึงดูดความสนใจของตนเอง หลวนอวิ๋นชูก็ส่ายหน้า
“คนผู้นี้เฉลียวฉลาดเกินไป จิตใจมุ่งหวังแต่ลาภยศ ลำพังมองดวงตาคู่นั้นของนางก็รู้ว่าเป็นคนเลี้ยงไม่เชื่อง เจ้าจัดนางไปอยู่ขั้นสามก่อน ขัดเกลาความแหลมคมของนาง”
“ได้ยินท่านพูดเช่นนี้ บ่าวก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริง วันนี้พอนางได้ยินว่าอิ๋งชิวอิ๋งตงเป็นสาวใช้ประจำตัวสะใภ้ใหญ่ ก็ตามติดประจบเอาใจ ไม่เห็นบ่าวอยู่ในสายตา เพียงแต่…” มองหลวนอวิ๋นชูอย่างลังเลตัดสินใจไม่ได้ “ให้นางเป็นสาวใช้ขั้นสาม ใช่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ ความรู้ความสามารถของนางโดดเด่นเหนือผู้อื่น”
ความรู้ความสามารถไม่อาจเอามากินแทนข้าว ดีมีประโยชน์อะไร หลวนอวิ๋นชูนึกอย่างไม่เห็นด้วย
“ถ้านางรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม ก็ให้นางไปหาอิ๋งชิวอิ๋งตง ขอให้สะใภ้ใหญ่รับนางไว้”
ฝูหรงยิ้มเจื่อน
“สะใภ้สี่จะพักผ่อนแล้ว บ่าวจะไปชงชามาสักกา ตอนกลางคืนท่านจะได้ดื่มสะดวก”
“อืม”
หลวนอวิ๋นชูพยักหน้า ฝูหรงจึงเกาะขอบเตียงลงไปที่พื้น
“หือ…”
มาถึงข้างโต๊ะ เห็นบนโต๊ะไม้จันทน์ม่วงมีชุดถ้วยชาที่ประณีตงดงามชุดหนึ่ง ฝูหรงก็ร้องออกมาด้วยความแปลกใจ
หลวนอวิ๋นชูก็ช้อนตาขึ้นมอง
“เป็นอะไรไป”
“ชุดถ้วยชาชุดนี้ไม่ได้เห็นนานแล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้เหตุใดจึงโผล่ขึ้นมา”
“ชุดถ้วยชาอะไร”
“กาดีบุกเคลือบเงาลายดอกกล้วยไม้เจ้าค่ะ!” ฝูหรงค่อยๆ ประคองชุดถ้วยชามาที่เบื้องหน้าหลวนอวิ๋นชูประหนึ่งเป็นของล้ำค่า “ตอนคุณชายสี่ยังอยู่กาใบนี้เป็นของรักที่สุด ตั้งแต่ได้มาคุณชายสี่ก็เห็นเป็นของล้ำค่า ใช้อยู่ตลอด ก่อนตายยังสั่งกำชับแล้วกำชับอีก ต้องเอาลงฝังไปด้วย” นางทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง “วันที่คุณชายสี่ขึ้นสวรรค์ ทุกอย่างชุลมุนวุ่นวาย กาใบนี้กลับหายไปทั้งที่ไม่มีปีก วันนี้กลับโผล่ออกมาแล้ว”
กาดีบุกเคลือบเงา…
ภาชนะเคลือบเงาจะมีกลิ่นแรง ทั้งทำให้ระคายเคืองและกัดกร่อนรุนแรง โดยเฉพาะภายใต้ความร้อนที่สูงยิ่งชัดเจน โดยธรรมชาติแล้วไม่ใช่ของที่เหมาะกับชา พูดได้ว่าภาชนะเคลือบเงากับการชงชาไม่มีวาสนาต่อกัน เหตุใดต่งอ้ายจึงใช้ภาชนะเคลือบเงามาดื่มชา เป็นเพราะคนโบราณไม่มีความรู้เรื่องนี้หรือ
สายตาจับนิ่งอยู่ที่กาดีบุกเคลือบเงา หลวนอวิ๋นชูพลันฉงนขึ้นมา
ต่งอ้ายเป็นโรคจมูกอักเสบหรือ
ต่อให้ไม่มีความรู้เรื่องนี้ ภาชนะเคลือบเงาที่มีกลิ่นฉุนจมูกเช่นนี้ เขาไม่ได้กลิ่นหรือไร
“ภาชนะเคลือบเงาแม้จะสลักเสลาลวดลายได้วิจิตรตระการตา แต่กลิ่นฉุนเกินไป จะกลบกลิ่นหอมจรุงใจของชา” รับกาดีบุกเคลือบเงามา หลวนอวิ๋นชูเพ่งพิศดูอย่างละเอียด “เหตุใดคุณชายสี่…”
“สะใภ้สี่คงไม่รู้ ด้านในของกาและถ้วยชาชุดนี้ทำจากดีบุก หนาแข็งแรงยิ่ง เครื่องเคลือบอยู่ด้านนอก ไม่ได้สัมผัสถูกชา แม้ท่านเห็นว่ากาใบนี้ใหญ่มาก ความจริงแล้วกลับใส่น้ำชาได้เพียงหนึ่งถึงสองถ้วยเท่านั้น จะรู้ได้ว่าไส้ในหนาเพียงใด ได้ยินว่าสีน้ำมันนี้ไม่ใช่สีน้ำมันที่ใช้กับเครื่องเรือนทั่วไป แต่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เวลาชงชาไม่เพียงไม่มีกลิ่นสีน้ำมัน ยังจะหอมจรุงใจเป็นพิเศษ…วันที่ท่านแต่งงานก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก”
“เช่นนั้นหรือ”
หลวนอวิ๋นชูไม่ได้เงยหน้า ยังคงพลิกดูกาดีบุกเคลือบเงาในมือต่อ ฝูหรงก็หัวเราะหึๆ ขึ้นมา
“ท่านคงลืมไปแล้ว ตอนท่านเห็นกาดีบุกเคลือบเงาใบนี้ครั้งแรก ก็เห็นว่าแปลกประหลาด หลังจากลิ้มรสครั้งแรกก็ชอบไม่ยอมวางมือ ยังโต้เถียงกับคุณชายสี่จนหน้าแดงเพราะเรื่องนี้”
“โต้เถียงกับคุณชายสี่จนหน้าแดง?” หลวนอวิ๋นชูเงยหน้ามองฝูหรงแวบหนึ่ง “เพราะเหตุใด”
“คุณชายสี่เห็นท่านชอบ ก็ไม่ให้ท่านใช้ สั่งหลิ่วเอ๋อร์ให้เก็บไป ให้เขาใช้ได้เพียงคนเดียว ดังนั้นท่านจึง…”
พูดแล้วเสียงของฝูหรงก็เบาลง แอบมองสีหน้าหลวนอวิ๋นชู เห็นนางเพียงพลิกดูกาดีบุกเคลือบเงาไปมา บางครั้งยังยกขึ้นดมๆ ที่จมูก ไม่มีท่าทีจะโกรธจึงพูดต่อ
“สะใภ้สี่ ท่านก็อย่าโกรธไปเลย คุณชายสี่ทำเช่นนั้นกับท่านก็ไม่ใช่มีเจตนา ได้ยินหลิ่วเอ๋อร์บอก คุณชายสี่ชอบกาใบนี้มาก โดยเฉพาะบทกวีที่เขียนติดอยู่ บ่อยครั้งไม่ได้ดื่มชา ก็ยังถือกาใบนี้มองจนเหม่อลอย ปกติจะไม่อนุญาตให้ใครแตะต้อง มีเพียงหลิ่วเอ๋อร์ที่แตะต้องได้ เวลาต้มชาหลิ่วเอ๋อร์ก็เป็นคนต้ม คุณชายสี่เพียงดูอยู่ข้างๆ”
ได้ยินมานานว่าต่งอ้ายชอบบู๊ไม่ชอบบุ๋น เหตุใดจึงชื่นชอบบทกวีเล็กๆ บทหนึ่งถึงเพียงนี้
หรือว่าบทกวีบทนี้มีอะไรพิเศษ
ฟังคำพูดของฝูหรงแล้ว หลวนอวิ๋นชูจึงพิจารณาดูอย่างละเอียด แล้วก็เห็นที่ตัวกามีบทกวีเล็กๆ สี่ประโยคสลักอยู่ ดูอยู่เป็นนานกลับอ่านไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ
“กวีบทนี้ใครเป็นคนเขียน”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ ที่แปลกที่สุดก็คือท้ายบทกวีไม่ได้ลงนามไว้”
“แล้ว…เจ้ายังจำกวีบทนี้ได้หรือไม่”
“จำได้เมื่อหนึ่งปีก่อน บ่าวแอบเห็นคุณชายสี่โอ้อวดกาใบนี้ กลับไปบ่าวจึงทำเลียนแบบให้ท่านดู ท่านก็ถามเช่นเดียวกันนี้” เห็นหลวนอวิ๋นชูทดสอบนางอีกครั้ง ฝูหรงยกชายแขนเสื้อขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะ “กระทั่งน้ำเสียงก็ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด ช่าง…”
พูดมาถึงตรงนี้ พลันนึกได้ว่าต่งอ้ายไม่อยู่แล้ว ฝูหรงจึงกลืนคำพูดช่วงท้ายกลับลงไปแล้วท่องออกมาเบาๆ
“ต้มน้ำบนเตาไม้ไผ่* ด้วยความใส่ใจ ดอกกล้วยไม้ส่งกลิ่นหอมจรุง เพียงค่ำคืนเดียวก็จางหาย หลายคราร่วมนั่งสนทนาชั่วครู่ชั่วยาม…”
“ต้มน้ำบนเตาไม้ไผ่ด้วยความใส่ใจ ดอกกล้วยไม้ส่งกลิ่นหอมจรุง เพียงค่ำคืนเดียวก็จางหาย หลายคราร่วมนั่งสนทนาชั่วครู่ชั่วยาม”
ท่องซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง หลวนอวิ๋นชูที่ไม่มีความรู้เรื่องบทกวีย่อมสัมผัสไม่ได้ว่าบทกวีนี้ดีเพียงใด แยกตัวอักษรแต่ละคำออกมา ขยี้ให้แหลก แล้วเอามารวมกันใหม่ ยังคงมองไม่ออกว่าในนี้มีอะไรคู่ควรให้ต่งอ้ายอาลัยอาวรณ์
หมุนกามาอีกด้านหนึ่งก็เป็นดอกกล้วยไม้ที่งดงามละมุนละไมแปลกใหม่เฉพาะตัวกิ่งหนึ่ง เนื่องจากสีน้ำมันที่ด้านนอกกาค่อนข้างหนาและแน่น รอยมีดที่สลักเสลาค่อนข้างลึก ทื่อ และเฉียบขาด แสดงให้เห็นถึงความหยิ่งในศักดิ์ศรีของบุรุษที่ปรากฏอยู่ในดอกไม้อย่างชัดเจน กลับดูเหมาะสมสอดคล้องกับบทกวีอย่างยิ่ง
“สะใภ้สี่ไม่ต้องดมแล้ว สีน้ำมันนี้ทำขึ้นเป็นพิเศษ ในจวนไม่รู้มีคนดมมาแล้วมากมายเท่าไร ไม่มีกลิ่นอย่างแท้จริง” เห็นหลวนอวิ๋นชูเอากาดีบุกเคลือบเงาขึ้นมาจ่อที่ใต้จมูกอีก ฝูหรงก็เอ่ยขึ้น “ได้ยินคุณชายสี่บอกว่ากาใบนี้ทาสีเทารองพื้นที่แผ่นดีบุกชั้นหนึ่งก่อน จากนั้นก็ทาสีม่วงที่ทำขึ้นเป็นพิเศษอีกหลายครั้ง ดูจากรูปร่างลักษณะจนถึงสีสันและความวาวคล้ายกันมากกับกาจื่อซา* เพียงแต่ดูงดงามกว่า คนที่ไม่รู้ต่างเข้าใจว่าเป็นกาจื่อซา”
สีน้ำมันนี้ทำขึ้นเป็นพิเศษก็จริง แต่กลัวว่าจะเป็น ‘สีน้ำมันช่วงชิงชีวิต’ มากกว่ากระมัง
หลวนอวิ๋นชูพิจารณาดูกาน้ำชาใบนี้อย่างถี่ถ้วน ยิ่งดูก็ยิ่งตื่นตระหนก
ตัวกาไม่มีอะไรพิเศษ ที่แปลกและประณีตคือฝากา
ด้านในของฝาก็เป็นดีบุก ตรงริมขอบที่สัมผัสกับตัวกามีส่วนแคบๆ อยู่วงหนึ่งที่ไม่มีดีบุก ถ้าไม่พิจารณาอย่างละเอียดโดยทั่วไปคนจะไม่สังเกตเห็น ตอนต้มชาแม้ส่วนนี้จะไม่ได้สัมผัสถูกน้ำ ทว่ากลับถูกไอความร้อนรม
สีน้ำมันที่ตัวกาไม่มีอะไรพิเศษ เป็นเช่นที่ฝูหรงกล่าวมา ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ไม่มีกลิ่นผิดปกติ แต่หลวนอวิ๋นชูที่มีประสาทสัมผัสทั้งหกดีเยี่ยมกลับพบว่าในสีน้ำมันที่ฝากามีเครื่องหอมอย่างหนึ่งชื่อฝูจินผสมอยู่ เครื่องหอมชนิดนี้ด้วยตัวของมันเองไม่มีพิษ แต่เมื่อมาผสมกับสีน้ำมันที่มีคุณสมบัติพิเศษ ก็จะเกิดพิษร้ายแรงขึ้น โดยเฉพาะภายใต้ความร้อนก็จะยิ่งชัดเจน
น้ำชาที่ใช้กาใบนี้ต้มออกมาจะมีรสชาติของฝูจินผสมออกมาด้วยเล็กน้อย น้ำชาหอมจรุงใจเป็นพิเศษ แต่กลับมีพิษเจืออยู่ เพียงเพราะไม่ได้แช่อยู่ในน้ำชาโดยตรง ดังนั้นปริมาณของพิษจึงน้อยมาก ปกติดื่มเพียงครั้งสองครั้งไม่เป็นไร แต่ถ้าดื่มติดต่อกันนาน พิษก็จะตกตะกอนอยู่ในเลือดและฆ่าคนอย่างไม่เผยร่องรอย
ถ้าอยู่ในสมัยปัจจุบัน ขอเพียงเอาเลือดไปตรวจก็จะพบพิษชนิดนี้ แต่สมัยโบราณการแพทย์ล้าหลัง ไหนเลยจะมีเครื่องมือทางการแพทย์พวกเครื่องวิเคราะห์สารเคมีในเลือด กล้องจุลทรรศน์อะไรพวกนั้น ย่อมตรวจไม่พบสาเหตุของโรค
ดูมาถึงตรงนี้หลวนอวิ๋นชูก็นึกถึงวันนั้นที่อยู่ในห้องโถงตั้งศพ ได้เห็นใบหน้าเขียวคล้ำน่ากลัวของต่งอ้าย ตอนนั้นนางคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ โรคอะไรหลังจากตายไปแล้วถึงทำให้ใบหน้าของคนกลายเป็นสีเขียวคล้ำ มาบัดนี้คิดดูแล้วก็ดูสอดรับกับพิษชนิดนี้พอดี คนที่ถูกพิษชนิดนี้ตอนตายสีหน้าจะปกติ แต่หลังจากยี่สิบสี่ชั่วยามไปแล้ว โครงกระดูกและกล้ามเนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
มือที่ถือกาดีบุกเคลือบเงาอยู่สั่นเล็กน้อย ตามที่ฝูหรงพูด หลังจากต่งอ้ายตายแล้ว กาใบนี้ก็หายสาบสูญไป แต่เวลานี้จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ไยมิใช่หมายความว่าคนผู้นั้นยื่นมือมาที่นางแล้ว
ทำร้ายต่งอ้ายยังพอเข้าใจได้ คงเพราะเรื่องของผลประโยชน์ อาจเป็นเรื่องช่วงชิงตำแหน่งผู้สืบทอด แต่เหตุใดต้องมาทำร้ายนางที่เป็นเพียงแม่ม่ายผู้หนึ่ง
ถ้าคนผู้นี้เป็นคนเดียวกันกับคนที่ทำร้ายต่งอ้ายในตอนนั้น ก็เป็นไปได้ว่าแรกเริ่มเดิมทีคนผู้นี้ทำไปเพื่อตำแหน่งผู้สืบทอด เช่นนั้นในจวนแห่งนี้ ถัดจากต่งอ้าย ใครกันที่น่าจะเป็นผู้สืบทอดมากที่สุด
ในสมองมีภาพคุณชายหลายคนในจวนกั๋วกงที่มีกำลังความสามารถพอจะเป็นไปได้ผุดขึ้นมา
คุณชายใหญ่ต่งจงพอเกิดมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอด น่าเสียดายสี่ปีก่อนเสียชีวิตในสนามรบ หาไม่ตำแหน่งผู้สืบทอดคงไม่ตกมาถึงต่งอ้าย
คุณชายรองต่งเซี่ยว มารดาคืออี๋ไท่ใหญ่ มีฐานะรองจากนายหญิงใหญ่ ถัดจากต่งอ้ายเขาก็มีโอกาสมากที่สุด แต่สองปีมานี้ต่งเซี่ยวอยู่ป้องกันชายแดนมาโดยตลอด ถ้าพูดตามคำพูดในการสืบสวนคดีอาชญากรรม เรียกว่า ‘ไม่มีเวลาในการก่ออาชญากรรม’ สามารถตัดทิ้งไปได้
ต่งเหริน มารดาเป็นสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมกับการแต่งงาน ชาติกำเนิดต่ำต้อย ชื่อเสียงของต่งเหรินก็ไม่ดี เกรงว่าต้องให้บุตรชายหลายคนของต่งกั๋วกงตายหมดแล้ว เขาจึงจะได้เป็นผู้สืบทอด
ส่วนคุณชายห้า คุณชายหก คุณชายเจ็ดหัวผักกาดน้อยสามคนเพิ่งจะอายุห้าหกขวบ ไม่พูดถึงว่าไม่มีความคิดเช่นนี้ ลำพังต่งกั๋วกงอายุมากแล้ว ถ้าแต่งตั้งผู้สืบทอดอายุน้อยเพียงนี้ เกรงว่ากระทั่งทรัพย์สินในบ้านก็ต้องถูกคนในตระกูลแย่งชิงไปหมด ต่งกั๋วกงไม่ได้โง่ เหตุผลข้อนี้เขาย่อมเข้าใจ เชื่อว่าอี๋ไท่ไท่หลายคนก็เข้าใจ
หัวคิ้วค่อยๆ ขมวดมุ่นเป็นปม หลวนอวิ๋นชูรู้สึกเหมือนตกอยู่ในเมฆหมอก มองคนในจวนไม่ว่าคนใดก็ล้วนน่ากลัว แต่ก็รู้สึกว่าไม่ว่าคนไหนก็ไม่ใช่มือสังหาร เพียงรู้สึกงุนงงไม่ชัดเจน ไม่อาจแยกแยะความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนนี้ได้อีก
“สะใภ้สี่ ท่านเป็นอะไรไป”
เห็นหลวนอวิ๋นชูขมวดคิ้วไม่พูดจา ฝูหรงจึงเอ่ยถาม
หลวนอวิ๋นชูตื่นจากภวังค์ สายตาจับนิ่งไปที่กาดีบุกเคลือบเงาอีกครั้ง พลันสะดุ้งเฮือก เหตุใดจึงลืมไปได้ พิษนี้ใช้ไอร้อนของน้ำชารมออกมา ส่งผลกระทบช้า เวลาหนึ่งปีครึ่งปียังไม่ส่งผล เช่นนั้นต่งเซี่ยวไยมิใช่มีเวลาในการก่ออาชญากรรม
นึกถึงต่งเซี่ยว หลวนอวิ๋นชูก็อดนึกถึงเฉาเสวี่ยไม่ได้ สตรีผู้นั้นแตกต่างจากพานหมิ่นที่เป็นคนปากร้าย เฉาเสวี่ยกลับเป็นคนที่เงียบที่สุดในหมู่สะใภ้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ไม่เคยพูดอะไรมาก ท่าทางไม่แก่งแย่งชิงดีอะไรกับใคร แต่ถึงกระนั้นหลวนอวิ๋นชูกลับมองออก ไม่ว่าเหยาหลันจะพูดจาหรือทำอะไร เมื่ออยู่ต่อหน้าเฉาเสวี่ยก็จะให้เกียรตินางสามส่วน
เฉาเสวี่ยอาศัยสิ่งใด…
มีคำพูดว่า ‘สุนัขที่กัดคนจะไม่แยกเขี้ยว’ หรือว่าช่วงที่ผ่านมานี้ตั้งแต่ทุกเรือนมองนางอย่างไม่เป็นมิตรจนถึงการลงมือกับข้าวปลาอาหารของนาง รวมถึงปล่อยข่าวลือว่านางฆ่าตัวตายบูชารักเพื่อยั่วยวนเจียงเสียน ล้วนเป็นเฉาเสวี่ยที่ผลักดันอยู่เบื้องหลัง
“กาใบนี้…” เสียงของหลวนอวิ๋นชูสั่นเล็กน้อย “คุณชายสี่ได้มาตอนไหน ใครเป็นคนให้”
“อืม…” ฝูหรงเงยหน้าขึ้นครุ่นคิด “ดูเหมือนจะเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน บ่าวก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนให้ สะใภ้สี่อยากทราบ ไว้วันไหนบ่าวจะไปถามหลิ่วเอ๋อร์ ตอนคุณชายสี่ยังมีชีวิตดีต่อนางเป็นพิเศษ บางทีนางอาจจะรู้”
“อืม” นึกถึงเด็กสาวทึ่มทื่อที่รูปร่างหน้าตาคล้ายเหยาหลันมากผู้นั้น หลวนอวิ๋นชูก็พยักหน้า “สองวันนี้เจ้าก็ไปหานาง ต้องถามให้รู้เรื่อง”
เอนตัวพิงไปที่ด้านหลัง หลวนอวิ๋นชูหงอยเหงาเศร้าซึมยิ่ง ต่งเซี่ยวไปจากจวนตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน เห็นชัดว่าช่วงเวลาไม่สอดคล้องกัน อีกประการหนึ่งวันนี้กาใบนี้ปรากฏขึ้นมาในห้องของนางอีกครั้ง ต้องไม่ใช่ฝีมือของต่งเซี่ยวแน่นอน
ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อมือของคนผู้นี้ยื่นมาถึงนางแล้ว นางก็จำเป็นต้องสืบให้กระจ่าง!
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปพรุ่งนี้เลย” ฝูหรงรับคำอย่างเฉลียวฉลาด “ถือโอกาสไปดูซวงเอ๋อร์ด้วย”
เอ่ยถึงซวงเอ๋อร์ หลวนอวิ๋นชูก็นึกถึงซิ่วเอ่อร์ จากนั้นก็นึกถึงลุงใบ้กับหญ้าพิษเต็มสวนเหล่านั้น ถ้าที่แห่งนั้นเป็นของต่งอ้าย เขาก็ควรจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ จะมองความลับของกาใบนี้ไม่ออกได้อย่างไร
ในใจพลันฉุกคิด ตอนต่งอ้ายยังมีชีวิตไม่ยอมให้ผู้ใดรวมถึงนางผู้เป็นภรรยาแตะต้องกาใบนี้ หรือว่าเป็นเพราะเขารู้ถึงความลับของกาใบนี้ จึงไม่ให้ใครแตะต้อง ให้กาใบนี้ฝังไปพร้อมกับเขา ก็เพราะกลัวว่าหลังจากเขาตายไปแล้ว กาใบนี้ยังอยู่ในโลกจะทำร้ายคนในครอบครัวเขาอีก!
คิดมาถึงตรงนี้ หลวนอวิ๋นชูตัวสั่นน้อยๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ต่งอ้ายไม่ให้นางแตะต้องกาใบนี้ก็เป็นเพราะความห่วงใย
เพียงแต่…เพราะเหตุใดเขาจึงยินยอมพร้อมใจถูกพิษตายเล่า
งงงวยไปชั่วขณะ หลวนอวิ๋นชูสะบัดศีรษะ ต่งอ้ายเป็นเช่นปริศนาที่ไขไม่ได้
“หรือไม่…” มองสีสันยามราตรีที่นอกหน้าต่าง ฝูหรงถามอย่างหยั่งเชิง “บ่าวจะใช้กาใบนี้ต้มชาให้ท่านชิมสักถ้วย”
* เตาไม้ไผ่ เป็นเตาต้มน้ำชงชาที่ด้านนอกสานด้วยไม้ไผ่ ด้านในเป็นเตาดินเผา
* กาจื่อซา เป็นกาน้ำชาคุณภาพดีที่ทำจากดินจื่อซา ชาที่ชงด้วยกาจื่อซาจะได้รสดี หอมนุ่มเป็นพิเศษ