หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 24
ทุกคนต่างมองมาที่เฉิงชิงเสวี่ย สายตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ต่างทอดถอนใจในชะตาชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานของนาง แม้แต่เด็กสาวหลายคนที่ฝีมือการเย็บปักถักร้อยไม่ดีต่างก็เกิดความเห็นอกเห็นใจ พวกนางไม่อาจเข้ามาอยู่ในจวนกั๋วกง ยังมีบ้านอื่นต้องการ แต่เฉิงชิงเสวี่ยไม่เหมือนกัน เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ครึ่งปี ต้องผ่านมือคนค้าทาสมาแล้วนับไม่ถ้วน ต้องผ่านการคัดเลือกมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ลำบากไม่น้อยกว่าจะมีคนพึงพอใจในตัวนาง พลาดจากนี้ไปแล้ว เกรงว่าคงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก
หลวนอวิ๋นชูก็มองตามทุกคนไป กลับเห็นเพียงเฉิงชิงเสวี่ยมีสีหน้าหม่นหมอง จากนั้นก็ยืดอกขึ้น ยังคงยืนตรงอย่างหยิ่งผยองดุจนกกระสาเซียน
ไม่ใช่ไม่เสียใจ แต่ต้องทนกับความสะเทือนใจเช่นนี้มามากเกินไป นางลืมความเจ็บปวดไปนานแล้ว
เพียงแต่ครั้งนี้ต่างจากทุกครั้ง เฉิงชิงเสวี่ยรับรู้ได้ว่าหลวนอวิ๋นชูมีความชื่นชมนางอยู่มาก ได้รับความหวังมาเพียงครู่เดียวก็ต้องสูญเสียไปในบัดดล มากน้อยก็รู้สึกผิดหวัง ด้วยเหตุนี้จึงได้ปรากฏสีหน้าหม่นหมองออกมาวูบหนึ่ง เห็นหลวนอวิ๋นชูมองมา เฉิงชิงเสวี่ยก็ยิ้มออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย
มองใบหน้าที่ยิ้มเศร้าวังเวง หลวนอวิ๋นชูใจสั่นสะท้าน คนที่เข้มแข็งยืนหยัดต่อสู้ด้วยความทรหดอดทนเช่นนี้ นางจะยอมปล่อยมือไปง่ายๆ ได้อย่างไร!
“ข้าก็คิดว่าพ่อบ้านเฮ่อจะพูดอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เป็นเด็กสาวผู้นี้ เรื่องนี้ข้าต้องอธิบายสักหน่อย”
หลวนอวิ๋นชูกล่าวจบก็ดื่มน้ำชาคำแล้วคำเล่า กระทั่งในห้องโถงเงียบสงบลง เพิ่งวางถ้วยชาลงนางก็กวาดสายตาผ่านหน้าทุกคนไปช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ทุกเรื่องให้ความสำคัญต่อกฎระเบียบเป็นเรื่องดี แต่ไม่อาจทำอย่างตายตัวไม่พลิกแพลง รักษากฎระเบียบสุดชีวิต เด็กสาวผู้นี้ทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น ทว่าทุกคนก็ได้ยินแล้ว ค่าตัวของนางเพิ่งจะห้าตำลึง ราคาถูกเพียงนี้ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องพูดเช่นนี้”
หลวนอวิ๋นชูพูดพลางหันไปกล่าวกับหลี่หวา
“หลี่มามา เจ้าดูสิ ถ้าในบรรดาเด็กสาวของเจ้าเหล่านี้ยังมีคนที่ค่าตัวต่ำเช่นนี้อีก ข้าจะรับไว้ทั้งหมดเป็นกรณีพิเศษ เรือนข้ากว้างขวางเพียงนั้น ย่อมต้องมีสาวใช้คอยกวาดพื้นหาบน้ำหลายคน ข้ายังอยู่ระหว่างไว้ทุกข์ ไม่อาจใช้สิ่งของหรูหราสีฉูดฉาด ปีหนึ่งจะมีงานเย็บปักถักร้อยให้ทำสักเท่าใดกันเชียว จำเป็นต้องให้บ่าวไพร่ทั้งเรือนเป็นงานเย็บปักถักร้อยด้วยหรือ”
“ท่านคัดคนเก่งๆ ของข้าไปหมดแล้ว ข้ายังคิดจะขอเงินรางวัลพิเศษจากท่านด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าท่านยังจะต่อรองราคากับข้าอีก” ในดวงตามีแววชื่นชมอยู่หลายส่วน รอยยิ้มของหลี่หวาก็สดใสขึ้นมา “วันนี้ข้าจะไม่พูดมาก นอกจากชิงเสวี่ยแล้ว ค่าตัวของคนอื่นๆ ไม่ลดแม้แต่เหวินเดียว”
นายหญิงน้อยแห่งจวนกั๋วกงผู้สง่าผ่าเผยซื้อตัวบ่าวไพร่ชาวแคว้นหลีที่เป็นนักโทษของทางการเพียงเพราะเห็นแก่ค่าตัวที่ถูกลงไม่กี่ตำลึง เรื่องนี้ถ้าแพร่งพรายออกไป จวนกั๋วกงจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!
เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่คำนึงถึงเกียรติยศศักดิ์ศรีอย่างสิ้นเชิง ถึงกับพูดอย่างเปิดเผยว่าเห็นแก่ค่าตัวที่ราคาถูกจึงทำลายกฎเกณฑ์ เอาแต่ทิ้งไพ่ไม่ดีออกมา หลี่หวาก็ถึงกับให้ความร่วมมือสอดประสานคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ สีหน้าของพ่อบ้านเฮ่อเปลี่ยนจากแดงเป็นขาว แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ยืนอยู่ตรงนั้นตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
รู้ดีว่าถ้าคล้อยตามคำพูดของหลวนอวิ๋นชู ประเด็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับเรื่องเงินทองก็เพียงส่งผลกระทบต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของจวนกั๋วกง แต่เฉิงชิงเสวี่ยไม่เหมือนกัน นางเป็นนักโทษทางการ เป็นคนแคว้นหลี ไม่อาจรับไว้เป็นอันขาด
พ่อบ้านเฮ่อนิ่งเงียบไปอยู่นานแล้วกัดฟันเอยขึ้น
“ในจวนไม่ขาดแคลนเงิน สะใภ้สี่เพียงเลือกให้ดีก็พอ มีคำกล่าวโดยทั่วไปบอกของดีย่อมไม่ถูก ของถูกย่อมไม่ดี!”
น้ำเสียงแข็งกระด้างหนักแน่นดังกังวาน
ในห้องโถงเงียบสงัดลงทันที ได้ยินเพียงเสียงหายใจหนักๆ ของพ่อบ้านเฮ่อ
มองใบหน้าบึ้งตึงของคนทั้งสองแล้ว หลี่หวาเองก็สีหน้าแปรเปลี่ยน การค้าขายที่ดีชิ้นหนึ่ง อย่าต้องมาพังพินาศเพราะเฉิงชิงเสวี่ยเป็นอันขาด ยามนี้กระทั่งความคิดที่จะโขกศีรษะกราบกรานก็เกิดขึ้นมาในใจของหลี่หวาแล้ว เพียงขอให้พวกเขาจะเป็นคนไหนก็ได้ยอมอ่อนข้อสักก้าวหนึ่ง นางจะพาเฉิงชิงเสวี่ยกลับไปทันที
เพียงแต่นางไหนเลยยังจะกล้าสอดปาก
จะอย่างไรหลวนอวิ๋นชูก็เป็นเจ้านายคนหนึ่ง ถึงกับถูกบ่าวไพร่พูดจาสั่งสอนต่อหน้าผู้คน จวนกั๋วกงแห่งนี้นับว่ามีกฎระเบียบเสียจริง
หลวนอวิ๋นชูสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มองพ่อบ้านเฮ่อด้วยแววตาน่าเกรงขาม เมื่อสบกับดวงตาที่กดข่มคุกคามคู่นั้น หลวนอวิ๋นชูพลันฉุกคิด เขาคิดจะยั่วยุให้นางโกรธ จะได้ถือโอกาสนี้ไปหาคนมาช่วย
ไหนเลยจะทำสำเร็จง่ายดายเช่นนั้น วันนี้นางจะต้องรบสู้กับเขา บีบบังคับให้เขาเซ็นสัญญาซื้อตัวเฉิงชิงเสวี่ยในที่นี้ให้จงได้ ทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ถ้ายังไม่เซ็นสัญญา วันนี้คนที่อยู่ในห้องโถงแห่งนี้อย่าหวังจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!
“โบราณว่าไว้ กินข้าวทุกเมล็ด กินอาหารทุกมื้อ พึงคิดว่ากว่าจะได้มาไม่ง่าย” หลวนอวิ๋นชูมองพ่อบ้านเฮ่อด้วยสีหน้ายิ้มๆ น้ำเสียงนุ่มนวลอย่างที่สุด “พ่อบ้านเฮ่อกล่าวได้ถูกต้อง จวนกั๋วกงไม่ขาดแคลนเงิน แต่เงินเหล่านี้หาใช่มีลมพัดหอบมา”
“สะใภ้สี่…”
“ซื้อของต้องเน้นของดีราคาถูก เด็กสาวผู้นี้ร่างกายแข็งแรง ต้องมีกำลังดีแน่นอน ทำงานขึ้นมาหนึ่งคนเทียบได้กับสองคน ในเรือนลู่ย่วนสาวใช้ที่ทำงานใช้แรงเหล่านั้นก็ล้วนแต่ทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น นางทำไม่เป็นก็เป็นเรื่องปกติ เช่นนี้เมื่อมาคำนวณดูแล้ว ซื้อนางไว้เท่ากับใช้เงินไปเพียงครึ่งเดียว ซื้อของได้ถึงสองเท่า” หลวนอวิ๋นชูกวาดสายตาไปยังทุกคนช้าๆ “พวกเจ้าฟังให้ดี ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ มีใครลุกขึ้นมาบอกไม่ใช่ ก็จงกล้าทดสอบฝีมือกับนาง ภายในเวลาหนึ่งเค่อ ดูว่าใครหาบน้ำได้มากกว่ากัน ถ้านางแพ้แล้ว ข้าจะส่งคืนตัวนางทันที”
หลวนอวิ๋นชูลากเสียงยาวพลางยิ้มน้อยๆ มองพ่อบ้านเฮ่อ
เป็นล่อหรือเป็นม้า จูงออกไปวิ่งดูก็รู้*
เจ้าไม่ใช่บอกของดีย่อมไม่ถูกหรือ เช่นนั้นเราก็เอาสินค้ามาเปรียบเทียบกัน ดูว่าเฉิงชิงเสวี่ยใช่สินค้าที่มีค่าเกินราคาหรือไม่!
ตะโกนท้าทายอยู่นาน ในห้องโถงพลันเงียบกริบไร้สุ้มเสียง เห็นหลวนอวิ๋นชูกวาดสายตามองมา ทุกคนต่างขดตัวถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างรู้ตัวดี
เดิมคิดจะยั่วโมโหหลวนอวิ๋นชูให้ไล่ตนออกไปและถือโอกาสไปตามนายหญิงใหญ่มา คิดไม่ถึงว่านางกลับยิ้มแย้มและใช้วิธีไร้เหตุผลเช่นนี้ออกมา ซึ่งเขาก็ได้แต่มองตาปริบๆ โต้แย้งไม่ออก แผลงฤทธิ์ไม่ได้ พ่อบ้านเฮ่อคล้ายกินหวงเหลียน** ลงไปครึ่งชั่ง*** ขมจนเหงื่อเย็นไหลชุ่ม สีหน้าเหลืองดุจเทียนไข
“คิดว่าสะใภ้สี่เข้าใจผิดแล้ว ที่บ่าวพูดไม่ใช่เรื่องนี้ เฉิงชิงเสวี่ยถูกสักหน้า…” เสียงของพ่อบ้านเฮ่อสิ้นไร้เรี่ยวแรงแล้ว “แต่ไรมาจวนเราซื้อบ่าวไพร่ ประการแรกก็คือวงศ์ตระกูลไม่มีจุดด่างพร้อย สะใภ้สี่โปรดใคร่ครวญให้รอบคอบ”
“อ้อ ที่แท้พ่อบ้านเฮ่อหมายถึงเรื่องนี้หรอกหรือ” หลวนอวิ๋นชูพลันตระหนักรู้ หันไปมองเฉิงชิงเสวี่ยแวบหนึ่ง “บิดาของนางเป็นพ่อค้าเกลือ ไม่นับว่าเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อย ฐานะเช่นนี้ก็นับว่าไม่มีจุดด่างพร้อย”
พ่อบ้านเฮ่อมองประเมินเฉิงชิงเสวี่ยอีกครั้ง เด็กสาวผู้นี้ดูแล้วก็ไม่ใช่คนฉลาดเฉียบแหลมสักเท่าไร ที่แท้แล้วหลวนอวิ๋นชูชอบนางที่ตรงไหน บิดาของนางเป็นนักโทษประหารคนหนึ่ง ฐานะเช่นนี้ถ้านับว่าไร้จุดด่างพร้อย เช่นนั้นก็ไม่มีใครมีจุดด่างพร้อยแล้ว! ทว่าพูดในอีกแง่มุมหนึ่ง ลักลอบขนเกลือไปขายก็ไม่จัดว่าเป็นพวก ‘จี้ปล้นข่มขืน’ ตระกูล ‘ไม่มีจุดด่างพร้อย’ ที่พูดถึงในกลุ่มคนค้าทาสก็หมายถึงการ ‘จี้ปล้นข่มขืน’
หาไม่หลี่หวาก็คงไม่กล้าพาคนมาที่จวนกั๋วกงอย่างเปิดเผย
ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ก็หาทางโต้แย้งคำพูดของหลวนอวิ๋นชูไม่ได้จริงๆ พ่อบ้านเฮ่อสุขุมเยือกเย็นลงมา รู้ว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ จึงลดท่าทีแข็งกร้าวลง กล่าวเตือนด้วยความหวังดี
“ท่านพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย ตามมุมมองของท่าน ฐานะของเฉิงชิงเสวี่ยยังนับว่าไร้จุดด่างพร้อย เพียงแต่…นักโทษของทางการ…ไม่อาจซื้อ”
“พ่อบ้านเฮ่อจะบอกว่า…” ดวงตางามช้อนขึ้นเล็กน้อย หลวนอวิ๋นชูใบหน้ามีแววฉงน “นักโทษของทางการในเมืองหลวนเฉิงไม่อนุญาตให้ซื้อขาย?”
“คนที่ไม่อาจซื้อขาย ข้าจะกล้าพามาที่จวนท่านหรือ” หลี่หวาร้องเสียงแหลมขึ้นมา “สะใภ้สี่อย่าพูดเช่นนี้เด็ดขาด แพร่งพรายออกไปเท่ากับทุบทำลายชื่อเสียงข้า” แล้วบอก “อีกอย่าง คนเหล่านี้ล้วนลงนามหนังสือสัญญากับทางการแล้ว จะทำอะไรคลุมเครือได้อย่างไร”
“…”
พ่อบ้านเฮ่อจนคำพูดไปทันที ในใจเกิดความรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรง
“ถ้าพูดเช่นนี้…ก็คือซื้อได้?”
หลวนอวิ๋นชูมองพ่อบ้านเฮ่ออย่างขอคำยืนยัน
“บ่าวไม่ได้บอกว่านักโทษของทางการไม่อนุญาตให้ซื้อขาย แต่บอกว่าจวนเราไม่อาจซื้อได้”
“พ่อบ้านเฮ่อจะบอกว่าในกฎหมายของแคว้นหลวนกำหนดไว้ จวนกั๋วกงไม่อาจซื้อนักโทษของทางการเช่นนั้นหรือ”
คำพูดประโยคเดียว พ่อบ้านเฮ่อเกือบเป็นลมหมดสติไป ในช่องอกคล้ายมีเส้นใยฝ้ายยัดอยู่เต็มไปหมด หายใจไม่ได้ ขืนพูดต่อไปเขาต้องกระอักโลหิตเป็นแน่
เห็นเขาไม่เอ่ยปาก หลวนอวิ๋นชูฉวยโอกาสถามขึ้น
“พ่อบ้านเฮ่อยังมีคำพูดอีกหรือไม่”
“สะใภ้สี่ยืนกรานจะซื้อ บ่าว…ไม่มีอะไรจะพูดขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าก็เห็นด้วยแล้ว”
ไม่พูดก็ถือว่าเจ้าเห็นชอบโดยปริยาย!
“ดี ในเมื่อพ่อบ้านเฮ่อเห็นด้วยแล้ว เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ เวลาผ่านไปนานแล้ว สี่จวี๋ฝูหรงรีบคัดเลือกเถิด”
“สะใภ้สี่…”
เห็นหลวนอวิ๋นชูพูดเองเออเอง ดึงดันบอกว่าตนเห็นด้วยต่อหน้าทุกคน พ่อบ้านเฮ่อในใจรู้สึกร้อนใจเรียกสะใภ้สี่ออกมาคำหนึ่ง ถึงกับพูดอะไรต่อไม่ออก
“พ่อบ้านเฮ่อยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ”
เมื่อมองใบหน้าที่สงบนิ่งอย่างประหลาดของหลวนอวิ๋นชู ฉับพลันนั้นทุกอย่างก็กระจ่างแจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของนางทั้งหมด คำถามที่เรียบง่ายก็เปลี่ยนเป็นสลับซับซ้อน คล้ายเบื้องหลังของคำถามมีหลุมพรางขนาดใหญ่ซุกซ่อนอยู่ พ่อบ้านเฮ่อชะงักนิ่งไปด้วยความขลาดกลัว สั่นศีรษะบอก
“บ่าว…ไม่มีอะไร”
มุมปากหลวนอวิ๋นชูคลี่ยิ้มสดใสดุจบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ พริบตาเดียวก็หลอมละลายน้ำแข็งอันหนาวเย็นภายในห้อง บรรยากาศที่ตึงเครียดไหลไปดุจสายน้ำไม่เหลือร่องรอย
หลี่หวาระบายลมหายใจยาว สายตาที่มองหลวนอวิ๋นชูมีแววขบคิดและเข้าใจขึ้นมาจางๆ
พูดกันว่าบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคผู้นี้ต้องเดือดร้อนเพราะชื่อเสียง เพียงเพราะสัญญาแต่งงานแผ่นเดียวที่รายละเอียดไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ถึงกับยินดีแต่งงานให้ต่งอ้ายที่ใกล้ตาย แต่งงานได้สามวันก็ต้องเป็นม่าย เดิมเข้าใจว่าเรียนหนังสือมากไปคนจึงคร่ำครึโง่เขลา ก็แค่คนที่แสวงหาลาภยศและคำสรรเสริญเยินยอผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าวันนี้ได้มาพบกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
ไม่ใส่ใจชื่อเสียง ไม่ใส่ใจผลได้ผลเสีย กล้าเล่นลิ้นใช้ฝีปากคารมอย่างเจ้าเล่ห์ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ปัญญาชนคร่ำครึคนหนึ่งจะกระทำได้
น่าเสียดาย เป็นแม่ม่ายของจวนกั๋วกงใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย
หลี่หวาพลันเกิดความรู้สึกเคารพนับถือและเสียดายขึ้นมา นางกลืนคำพูดสรรเสริญเยินยอที่มาถึงปากกลับลงไป หันไปมองสี่จวี๋ฝูหรงคัดเลือกงานปัก
ทั้งสองคนเดิมฝีมือด้านการเย็บปักถักร้อยก็สูงกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวงานปักสิบกว่าชิ้นก็ถูกคัดเลือกจนเสร็จสิ้น ในมือของแต่ละคนยังถืออยู่คนละสามชิ้น ปรึกษาหารือกันอีกพักใหญ่ แล้วจึงตัดสินห้าคนสุดท้ายที่เหลือ นำขึ้นมาให้หลวนอวิ๋นชูผ่านตา หลวนอวิ๋นชูโบกมือเป็นอันผ่านการเห็นชอบแล้ว
สี่จวี๋กับฝูหรงมองสบตากันทีหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรมาก ถืองานปักมาตรงหน้าทุกคน ฝูหรงก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“ทุกคนตั้งใจฟังให้ดี ข้าจะเรียกชื่อที่อยู่บนงานปัก เรียกใครคนนั้นก็ออกมารับงานปักคืนไป แล้วไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง”
พูดจบก็หยิบงานปักขึ้นมาจากในถาด ฝูหรงเรียกชื่อไปทีละคน
“สะใภ้สี่ พ่อบ้านเฮ่อ ท่านดูว่าพอใจหรือไม่” มองเด็กสาวสิบเจ็ดคนที่เลือกออกมา หลี่หวาถามขึ้น “ต้องดูอีกหรือไม่”
หลวนอวิ๋นชูสั่นศีรษะ “เอาตามนี้เถิด!”
พ่อบ้านเฮ่อมองเฉิงชิงเสวี่ยที่ยืนตัวตรงหยิ่งผยองดุจนกกระสาเซียนอย่างไม่อาจยอมรับแวบหนึ่งแล้วสั่นศีรษะ
หลี่หวาก็มาที่เบื้องหน้าทุกคน สั่งสอนตักเตือนอย่างน่าฟังอีกครั้ง…ไม่มีอะไรมากไปกว่าสะใภ้สี่พึงพอใจในตัวพวกเจ้า นับเป็นบุญวาสนาของพวกเจ้า ต่อไปต้องตั้งใจปรนนิบัติสะใภ้สี่ให้ดีเหล่านี้เป็นต้น
อบรมสั่งสอนเสร็จหลี่หวาก็หมุนตัวกลับมา เดินไปด้านหน้าของโถง กลับไม่ได้ลงนั่ง ยืนอยู่ตรงนั้นมองหลวนอวิ๋นชูกับพ่อบ้านเฮ่อ “สะใภ้สี่ พ่อบ้านเฮ่อ ท่านดู…”
เลือกสาวใช้เสร็จสิ้นแล้ว เกี่ยวกับวิธีการซื้อขายบ่าวไพร่ในสมัยโบราณเช่นนี้ หลวนอวิ๋นชูไม่เข้าใจจริงๆ ไม่รู้ว่าถัดไปควรทำอะไร เห็นหลี่หวาถามก็หันไปมองพ่อบ้านเฮ่อ
“สายมากแล้ว เชิญสะใภ้สี่กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด” พ่อบ้านเฮ่อมองตะวันที่นอกหน้าต่าง “ที่เหลือก็มอบให้เป็นหน้าที่ของบ่าว รอให้ทำเรื่องตามขั้นตอนต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว บ่าวจะรีบส่งคนไปที่เรือนลู่ย่วนทันที”
ทั้งไม่รู้หนังสือและไม่เข้าใจกฎหมายของแคว้นหลวน หลวนอวิ๋นชูก็อยากจะสะบัดแขนเสื้อจากไปให้พ่อบ้านเฮ่อไปจัดการแทนเช่นกัน
ทว่าตราบใดที่ยังไม่ได้ลงนามในหนังสือสัญญา เรื่องนี้ก็ยังไม่อาจวางใจ เรื่องที่นางซื้อเฉิงชิงเสวี่ยทำให้พ่อบ้านเฮ่อผู้นี้ทรมานใจประหนึ่งถูกขุดสุสานบรรพบุรุษอย่างไรอย่างนั้น ถ้านางสะบัดมือมอบอำนาจให้เขาจัดการจริง ยากจะบอกได้ว่าจะเป็นเป็ดต้มสุกลุกบินหนี* หรือไม่
คิดมาถึงตรงนี้ หลวนอวิ๋นชูก็ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มทีละคำๆ
หลี่หวาเข้าใจความคิดของนางขึ้นมาทันที ก็ไม่นอบน้อมอ่อนข้อให้อีก หันไปกล่าวกับพ่อบ้านเฮ่อ
“ท่านว่าเช่นนี้ดีหรือไม่ ยังคงทำตามกฎระเบียบเดิม นอกจากเฉิงชิงเสวี่ยแล้วก็ใช้ราคาค่าตัวเดิม ทำสัญญาส่วนตัวกันก่อน พรุ่งนี้ข้าจะไปยื่นขอหนังสือสัญญาซื้อขายที่จวนนายตลาด เปลี่ยนเป็นสัญญาของทางการแล้วจะรีบส่งมาให้ท่าน”
พ่อบ้านเจตนาถ่วงเวลา คิดจะให้หลวนอวิ๋นชูจากไป หลังจากเขาไปเรียนให้นายหญิงใหญ่ทราบแล้วค่อยทำสัญญากับหลี่หวา ถือโอกาสโยนเผือกร้อน ก็คือให้นายหญิงใหญ่ตัดสินใจ คิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูคล้ายมองทะลุความคิดของเขา นั่งอย่างสุขุมมั่นคงอยู่ที่นี่ ไม่ขยับแม้แต่น้อย แสดงท่าทีชัดเจนว่าจะดูเขาทำสัญญา
พ่อบ้านเฮ่อพลันรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา ซื้อนักโทษของทางการผู้นี้ไว้ หลวนอวิ๋นชูผู้นี้เยาว์วัยเกินไปแล้ว ไม่รู้ถึงข้อดีข้อเสียของเรื่องราวหรือ
มองอย่างไรก็ไม่คล้ายว่านางไม่รู้เรื่องราว
“สะใภ้สี่ พ่อบ้านเฮ่อ ท่านว่า…”
เห็นพ่อบ้านเฮ่อไม่พูด หลี่หวาก็ไล่ถามอีก
“ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสังเกตการณ์อีกสองวัน…” พ่อบ้านเฮ่อมองตรงไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกหวาดระแวง ไม่กล้ามองหลวนอวิ๋นชู “รอเรียนนายหญิงใหญ่ทราบเรื่องแล้ว ค่อยเชิญท่านมาที่จวน ครั้งเดียวก็จัดการเรียบร้อย”
“ท่านป้าบอกแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้ให้ข้าตัดสินใจเอง” หลวนอวิ๋นชูปฏิเสธข้อเสนอของพ่อบ้านเฮ่ออย่างไม่ลังเล นางมองไปที่หลี่หวา “หลี่มามา ทำตามกฎระเบียบเดิม ควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น!”
“สะใภ้สี่ นี่…”
เรื่องนี้จำเป็นต้องรายงานนายหญิงใหญ่!
การซื้อนักโทษของทางการชาวแคว้นหลีที่มีรอยสักอยู่บนหน้าผากไม่ใช่เรื่องล้อเล่น พ่อบ้านเฮ่อหน้าแดงไปจนจรดโคนหู มองหลวนอวิ๋นชูอย่างอึ้งตะลึง ริมฝีปากสั่นระริก คำพูดประโยคเดียวถึงกับพูดได้ไม่ครบถ้วน
เขาคาดคิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย
เขามองเฉิงชิงเสวี่ยอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง หลี่หวาพยายามไกล่เกลี่ยด้วยท่าทางลำบากใจ
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อบ้านเฮ่อท่านก็รู้ ‘หนังสือข้อบังคับหน่วยนายตลาด’ มีข้อกำหนดไว้ ‘หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว คนที่มีโรคเก่าติดตัวอยู่ ภายในสามวันสามารถส่งคืนได้’ ทำการค้ากันมาหลายปี ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของข้า ท่านก็รู้ดี เด็กสาวเหล่านี้ถ้ามีข้อบกพร่องอะไร ข้าไม่บ่ายเบี่ยงแน่”
“ภายในสามวันสามารถส่งคืนได้?”
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ หลวนอวิ๋นชูใจเต้นระรัวขึ้นมา หรือว่าไม่แตกต่างจากยุคสมัยปัจจุบัน สามารถเปลี่ยนคืนสินค้าได้
“สะใภ้สี่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับอาชีพนี้ ย่อมไม่รู้ แม้จะทำสัญญาของทางการแล้ว ถ้าท่านพบว่าสาวใช้ที่ซื้อตัวมีโรคเก่าติดตัวมาแต่เดิม เป็นโรคที่ไม่อาจบอกใครได้ ภายในสามวันสามารถส่งคืนได้ ให้ไปที่จวนนายตลาดโดยตรงเพื่อขอยกเลิกสัญญาของทางการ เพียงแต่ขั้นตอนค่อนข้างจุกจิก ต้องมีการตรวจสอบยืนยันจากแม่หมอตำแยของนายตลาด เพื่อป้องกันผู้ซื้อใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง”
พูดจบหลี่หวาก็เอ่ยเสริมขึ้น
“ทว่าสะใภ้สี่วางใจ เด็กสาวที่พามาข้าได้ให้แม่หมอตำแยตรวจสอบก่อนแล้ว ถ้ามีโรคที่ไม่อาจบอกใครได้จะไม่ส่งมาที่เรือนท่านเด็ดขาด เว้นเสียแต่แม่หมอตำแยมองพลาดไป”
หลวนอวิ๋นชูกลับไม่คิดเช่นนี้ ด้วยอำนาจของจวนกั๋วกง การจะใช้เงินติดสินบนนายตลาดเสกสรรปั้นเท็จให้เฉิงชิงเสวี่ยมีโรคที่ไม่อาจบอกใครได้สักโรค ย่อมง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่ตนทุ่มเทลงไปไยมิใช่กลายเป็นสายน้ำที่ไหลผ่านไปหรือไร
* เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงใครมีความสามารถสูงหรือต่ำ ยามลงมือปฏิบัติจริงก็จะรู้ ล่อเป็นสัตว์ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายม้า ใช้บรรทุกของหนักได้แต่วิ่งเร็วสู้ม้าไม่ได้ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นม้าหรือล่อเพียงพาไปวิ่งดูก็จะรู้
** หวงเหลียน เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน ต้นสูงประมาณหนึ่งฟุต ดอกเล็กสีขาว รากมีรสขม ใช้เป็นยาช่วยเจริญอาหารและแก้อักเสบ ‘กินหวงเหลียน’ จึงมักใช้ในความหมายว่าจิตใจกลัดกลุ้มอมทุกข์
*** ชั่ง เป็นหน่วยตวงสมัยโบราณของจีน โดย 1 ชั่งมีค่าเท่ากับ 500 กรัม
* เป็ดต้มสุกลุกบินหนี เป็นคำพังเพย หมายถึงสูญเสียสิ่งที่ได้มาครอบครองโดยไม่ได้คาดคิด ในบางครั้งก็หมายถึงได้พบเจอโอกาสหรือจังหวะที่ไม่ลงตัว