หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 23
ฟังคำพูดนี้แล้ว ทุกคนต่างมองไปที่เฉิงชิงเสวี่ยเป็นตาเดียว หลวนอวิ๋นชูเองก็มองไป กลับเห็นนางยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่มีท่าทางกระวนกระวายใดๆ เพียงสองแก้มแดงขึ้นมาเล็กน้อย
ต้องเผชิญกับสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออกเช่นนี้ กลับยังสงบนิ่งอยู่ได้ ดีมาก!
ถอนสายตากลับมา หลวนอวิ๋นชูโบกมือบอก
“เจ้ากับฝูหรงคัดเลือกกันเองก็แล้วกัน”
ฝีมือเย็บปักถักร้อยของหลวนอวิ๋นชูในเมืองหลวนเฉิงนี้ยากจะหาใครเทียม การคัดเลือกงานปักนี้ใครจะกล้าแสดงฝีมือที่ต่ำต้อยต่อหน้านาง คิดได้ดังนี้สี่จวี๋จึงว่า “บ่าวจะกล้าวิจารณ์ต่อหน้าท่านได้อย่างไร”
“แม่นางสี่จวี๋กล่าวได้ถูกต้อง ฝีมือเย็บปักถักร้อยของสะใภ้สี่ในเมืองหลวนเฉิงยากจะหาใครเทียม วันนี้ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องวิจารณ์ด้วยตนเอง” วางถ้วยชาที่เพิ่งยกขึ้นมาลง หลี่หวามองหลวนอวิ๋นชูอย่างกระตือรือร้น “ท่านไม่รู้อะไร สาวๆ เหล่านี้พอได้ยินว่าท่านจะคัดเลือกสาวใช้ ต่างก็ตื่นเต้นราวกับอะไร งานปักที่เตรียมไว้แต่เดิมก็รู้สึกยังไม่พอใจ นอนไม่หลับลุกขึ้นมาขบคิดหาลวดลายใหม่ เพียงเฝ้ารอช่วงเวลานี้ สามารถได้รับการพยักหน้ายอมรับจากท่าน…” แล้วบอก “สะใภ้สี่ไม่รู้ คำวิจารณ์เพียงคำเดียวของท่าน เพียงพอให้พวกนางใช้ประโยชน์ไปชั่วชีวิตแล้ว”
คำพูดเพียงคำเดียวของหลี่หวาก็ประคองหลวนอวิ๋นชูขึ้นไปอยู่บนยอดเมฆแล้ว ภายในห้องโถงมีเสียงชื่นชมด้วยความเลื่อมใสดังขึ้นมาทันที ในหูของหลวนอวิ๋นชูมีเสียงดังอึงอล เสื้อแนบติดแผ่นหลัง คนเหล่านี้ไหนเลยจะรู้ นางทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็นเลย จะให้นางแสดงความเห็นยังไม่สู้ให้นางกลับไปนอน
ทำอย่างไรดี
ความคิดหมุนไปอย่างเร็วรี่ หลวนอวิ๋นชูมองหลี่หวาแล้วยิ้มน้อยๆ
หลี่หวาเริ่มรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา
ความคิดของหลวนอวิ๋นชูตนมองไม่ออกแม้แต่น้อย ด้วยเคยเห็นงานฝีมือของนางมาก่อน ตนจึงกล้าสรรเสริญเยินยอเช่นนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงตัวลอย ชิงโอ้อวดตัวไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าสะใภ้สี่ผู้นี้กลับ…
ไม่ได้ชอบใจและไม่ได้โกรธ
ส่ายหน้า…นี่เป็นการแสดงออกเช่นไรกัน
บอกกำลังยิ้ม แต่เหตุใดตนเห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ ท่าทางลึกล้ำยากหยั่งถึง…
ความคิดพลันผุดขึ้น หลี่หวาตระหนักได้ในทันที อวิ๋นชูเป็นใคร เป็นบัณฑิตหญิง เป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคผู้สูงส่งเหนือผู้คน!
คนที่พูดคุยด้วยมีแต่นักปราชญ์ราชบัณฑิต คนที่คบหาสมาคมไม่มีใครมีความรู้ตื้นเขิน คนที่ไปมาหาสู่กับนางล้วนเป็นกวีลือนามของเมืองหลวนเฉิง งานปักที่คู่ควรให้บัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคเอ่ยปาก เกรงว่าคงมีแต่งานปักจากวังหลวงกระมัง ไม่ได้จะเปิดโรงงานปักผ้าเสียหน่อย ถึงจะให้นางคัดเลือกงานปักของเด็กสาวเหล่านี้ ถ้าเรื่องแพร่ออกไปก็จะเสื่อมเสียชื่อเสียงของนาง พอคิดมาถึงตรงนี้ หน้าผากหลี่หวาพลันมีเหงื่อเย็นผุดออกมา
จะตบสะโพกม้ากลับตบไปถูกขาม้าแล้ว!
ทำอย่างไรดี
น้ำที่สาดออกไปแล้ว คิดจะเก็บกลับคืนมาก็ไม่ทัน มองหลวนอวิ๋นชูด้วยสีหน้าเหยเก หลี่หวาคิดหาวิธีกอบกู้สถานการณ์
“สะใภ้สี่ ถ้า…”
คิดได้แล้วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่พอเอ่ยปากหลี่หวาพลันพบว่าคำพูดนี้ไม่อาจพูดออกมาได้ ดีไม่ดีกลับจะกลายเป็นไปว่าหลวนอวิ๋นชูใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและคำสรรเสริญเยินยอ หลี่หวาผู้กลิ้งกลมไปทั่วทุกด้านหลังจากเรียก ‘สะใภ้สี่’ ออกมาจึงพูดอะไรต่อไม่ออก
ในขณะที่หลี่หวากำลังรู้สึกลำบากใจอย่างที่สุดอยู่นั้น หลวนอวิ๋นชูกลับหัวเราะเบาๆ แล้วเปิดปากขึ้น
“หลี่มามาคงไม่รู้ เสื้อผ้าของใช้ประจำวันในจวน แต่ไรมาล้วนส่งไปให้ร้านปักผ้าทำ ไม่ต้องให้สาวใช้ในจวนต้องลงมือ พวกนางก็เพียงปักพวกเหอเปา* ผ้าเช็ดหน้า งานเย็บปักถักร้อยแค่พอทำได้ก็พอ ไม่ต้องฝีมือยอดเยี่ยมอะไร จะให้ข้าวิจารณ์ พูดลึกไปตื้นไปมีแต่จะทำลายขวัญและกำลังใจของพวกนาง”
ไม่เสียทีที่เป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค พูดได้คำเดียว ‘เหนือชั้น!’
คำพูดนี้อ้อมค้อมนุ่มนวลมากพอ ทั้งปฏิเสธการพิจารณาคัดเลือกและเหลือศักดิ์ศรีให้ตนเองอย่างเพียงพอ หลี่หวาแอบท่องอมิตาภพุทธออกมาคำหนึ่ง ปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่หน้าผากพลางผงกศีรษะติดๆ กัน
“สะใภ้สี่กล่าวได้ถูกต้อง เป็นข้าที่คิดอะไรไม่รอบคอบมากพอ ผิดต่อเจตนาดีของท่านแล้ว ฝีมือของนางหนูเหล่านี้เทียบไม่ได้กระทั่งเล็บนิ้วมือเดียวของท่าน ท่านย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตา คำว่า ‘ดี’ ย่อมพูดไม่ออก แต่หากท่านพูดคำว่า ‘ไม่ดี’ ออกมา คัดข้อเสียออกมามากไป เกรงว่านางหนูเหล่านี้คงมีคิดอยากตายอยู่บ้าง…ข้าได้ยินว่าแม่นางฝูหรงติดตามท่านมาหลายปี ฝีมือการเย็บปักถักร้อยก็ชั้นหนึ่ง แม่นางสี่จวี๋ก็ยิ่งมั่นใจได้ งานปักเหล่านี้ให้พวกนางมาตัดสินก็เพียงพอแล้ว”
ถูกหลี่หวาเตือน สี่จวี๋ก็ได้สติ มือที่ประคองงานปักสั่นน้อยๆ มองหลวนอวิ๋นชูด้วยความหวั่นหวาด
หลวนอวิ๋นชูไม่ได้พินิจพิเคราะห์ความหมายในคำพูดของหลี่หวาอย่างละเอียด เห็นอีกฝ่ายไม่ยืนกรานให้นางตัดสินก็โล่งอก เงยหน้าขึ้นมองสี่จวี๋
“เอาลงไปเถิด”
“บ่าวขอบคุณสะใภ้สี่!”
ราวกับได้รับการอภัยโทษ สี่จวี๋มองหลวนอวิ๋นชูอย่างซาบซึ้งใจแวบหนึ่ง ขณะจะหมุนตัวก็ถูกอีกฝ่ายเรียกไว้
“จริงสิ…”
สี่จวี๋ตัวสั่นเทา
“สะใภ้สี่มีอะไรจะสั่งเพิ่มหรือเจ้าคะ”
“เฉิงชิงเสวี่ยผู้นั้น…” หลวนอวิ๋นชูชี้ไปที่เฉิงชิงเสวี่ย “รอบนี้ไม่ต้องนับนางเข้าไปด้วย”
“สะใภ้สี่ นี่…”
เฉิงชิงเสวี่ยผู้นี้เป็นนักโทษของทางการ ไม่อาจเอาไว้!
น่าเสียดาย การทดสอบมารยาทนางทำได้สมบูรณ์แบบยิ่ง ภายใต้สายตาผู้คนที่จ้องมองอยู่หาจุดอ่อนไม่พบจริงๆ ก็รอด่านเย็บปักถักร้อยนี่แล้ว ไม่คิดว่าพอปากที่มีค่าดั่งทองคำของหลวนอวิ๋นชูเอ่ยออกมา ถึงกับมีคำสั่งละเว้นให้เฉิงชิงเสวี่ยเป็นกรณีพิเศษ
สี่จวี๋เรียกสะใภ้สี่ออกมาคำหนึ่ง คำพูดต่อจากนั้นค้างติดอยู่ในลำคอ เมื่อครู่นางเจ้ากี้เจ้าการจะให้หลวนอวิ๋นชูคัดเลือกงานปัก นับว่าฝ่าฝืนข้อห้ามแล้ว หลวนอวิ๋นชูไม่ได้ตำหนิก็ถือเป็นความเมตตาอย่างใหญ่หลวง เวลานี้นางไม่กล้าก่อเรื่องขึ้นอีก
นิ่งงันอยู่ชั่วขณะ สี่จวี๋สีหน้าพลันผ่อนคลาย ด่านนี้ไม่ได้ก็ยังมีอีกด่าน สะใภ้สี่คงไม่มีคำสั่งละเว้นให้นางเป็นกรณีพิเศษอีกครั้งกระมัง เด็กสาวผู้นี้กระทั่งภาษาหลวนก็ยังไม่รู้ ด่านถัดไปถ้าคัดเลือกไม่ผ่าน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้อ้างแล้ว!
คิดมาถึงตรงนี้สี่จวี๋ก็ยอบตัว
“เจ้าค่ะ บ่าวรับคำสั่งสะใภ้สี่”
“อืม…นี่ก็สายมากแล้ว” เห็นสี่จวี๋สีหน้าเปลี่ยน หลวนอวิ๋นชูก็ฉุกคิดขึ้นมา “ข้าว่าไม่ต้องออกหัวข้อทดสอบอีกแล้ว เจ้ากับฝูหรงก็ตัดสินจากงานปักเหล่านี้ แล้วคัดออกอีกห้าคนเถอะ”
คำพูดของหลวนอวิ๋นชูไม่เพียงประกาศว่านี่เป็นด่านสุดท้าย ยังเท่ากับประกาศว่าเฉิงชิงเสวี่ยผ่านการคัดเลือกเป็นกรณีพิเศษ ในห้องโถงมีเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที คนที่ฝีมือเย็บปักร้อยดีย่อมโห่ร้องยินดี คนที่ฝีมือเย็บปักถักร้อยไม่ดีต่างตีอกชกหัว พากันทอดถอนใจไม่หยุด
สี่จวี๋ยืนอยู่กับที่ราวกับเป็นรูปปั้นดิน งานปักในมือเกือบจะร่วงลงสู่พื้น
เฉิงชิงเสวี่ยผู้นี้ไม่อาจเอาไว้เด็ดขาด!
สตรีผู้นั้นไม่เพียงเป็นนักโทษทางการ ยังเป็นคนแคว้นหลี จวนแห่งนี้ถูกเจียงเสียนขุนนางทรยศแห่งแคว้นหลี คนเสเพลแห่งเมืองหลวนเฉิงก่อความวุ่นวายจนทุกเรือนต่างเอือมระอาคนแคว้นหลีเป็นที่สุด โดยเฉพาะนายหญิงใหญ่ที่ใส่ใจเรื่องเกียรติยศหน้าตาไปเสียทุกด้าน พอเอ่ยถึงเจียงเสียนสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ นายหญิงใหญ่ไม่มีทางยอมให้หลวนอวิ๋นชูรับนักโทษทางการจากแคว้นหลีเข้ามาอีกคนแน่
แต่หลวนอวิ๋นชูพูดออกจากปากไปแล้ว คิดจะทัดทานก็ไม่ทัน
“สะใภ้สี่ เอ่อ…” ขณะร้อนใจพลันเกิดความคิดขึ้น สี่จวี๋เอ่ยปาก “ท่านเป็นบัณฑิตหญิงที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวนเฉิง หากคิดจะเลือกสาวใช้ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องทดสอบความสามารถด้านการประพันธ์สักหน่อย”
ฉับพลันนั้นสายตาแวววาวสุกใสก็พุ่งมารวมตัวกันอยู่ที่ร่างหลวนอวิ๋นชู คนที่มีฝีมือด้านการแต่งบทกวีก็เออออคล้อยตามขึ้นมาอย่างใจกล้า คนอื่นๆ ที่ความสามารถด้านการประพันธ์ค่อนข้างดีก็ส่งเสียงโห่ร้องตามไปด้วย ในห้องโถงวุ่นวายขึ้นมาทันที
สวรรค์! ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเหลือเด็กสาวที่มีความสามารถด้านการประพันธ์ไว้ให้ข้าสักหลายคน อย่างน้อยนี่ก็เป็นจุดขายสำคัญจุดหนึ่ง ถ้าไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ทั้งยังคืนเฉิงชิงเสวี่ยกลับมา ข้าจะเอาศีรษะพุ่งชนกำแพงตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสียงอึกทึกของทุกคน หลี่หวาก็ไม่มีแก่ใจจะยับยั้ง เพียงมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความตึงเครียด กลัวมากว่าหญิงสาวตัวน้อยที่อ่านใจยากผู้นี้จะพยักหน้า
ทำการค้าให้ความสำคัญกับคำว่า ‘เชื่อถือ’ หลวนอวิ๋นชูเลือกเอาคนเก่งๆ ของนางไปหมดแล้ว แม้จะปวดใจนางก็ได้แต่ทำใจยอมรับ นั่งอยู่ที่นั่นรับมือด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน คำพูดเพียงประโยคเดียวของหลวนอวิ๋นชูเลือกเฉิงชิงเสวี่ยที่ตกค้างอยู่ในมือนางไป ทำให้นางอดปลื้มปีติยินดีไม่ได้ ขณะแอบดีใจอยู่นั้น คิดไม่ถึงว่าสี่จวี๋กลับเสนอเรื่องความสามารถด้านการประพันธ์ขึ้นมา
เมื่อมาใคร่ครวญดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่นับรอบที่หลวนอวิ๋นชูคัดเลือกด้วยสายตา มาถึงตอนนี้ก็เพียงตั้งหัวข้อทดสอบไปสองข้อคือมารยาทกับฝีมือการเย็บปักถักร้อยเท่านั้น เฉิงชิงเสวี่ยทำไม่ได้หนึ่งหัวข้อ ได้หลวนอวิ๋นชูอนุโลมให้เป็นพิเศษก็พอจะรับได้
แต่ถ้ามีความสามารถด้านการประพันธ์อีกหนึ่งหัวข้อ ในสามหัวข้อนี้เฉิงชิงเสวี่ยทำไม่ได้สองหัวข้อ ย่อมพูดยากแล้ว ท่ามกลางสายตาผู้คนหลวนอวิ๋นชูย่อมไม่กล้าอนุโลมให้เป็นพิเศษถึงสองหัวข้อ นางหลี่หวาต่อให้หน้าหนาเพียงไรก็ไม่อาจดึงดันยัดเยียดนักโทษทางการที่มีรอยสักผู้นี้ให้กับจวนกั๋วกง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสี่จวี๋คิดจะใช้ความสามารถด้านการประพันธ์เตะเฉิงชิงเสวี่ยออกจากกระดาน เป็นเรื่องที่คนเดินถนนต่างรู้*
ถูกสายตาของทุกคนจับจ้องมอง ปลายจมูกของหลวนอวิ๋นชูก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา เมื่อครู่เห็นสีหน้าสี่จวี๋ไม่ถูกต้อง ก็คาดเดาอยู่แล้วว่านางต้องมีความคิดอะไร ด้วยเหตุนี้จึงได้ชิงปิดปากนางก่อน คิดไม่ถึงว่านางหนูผู้นี้สุดท้ายแล้วยังคงพูดออกมา
หัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย สี่จวี๋ผู้นี้ เหตุใดจึงตั้งใจจะขัดแย้งกับข้าเช่นนี้!
ใจอยากจะปฏิเสธไปเลย แต่เมื่อมาคิดดูอย่างละเอียด นางเป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค มีท่วงท่าสง่าน่าเกรงขาม เลือกสาวใช้ไม่ดูความสามารถด้านการประพันธ์ พูดให้ใครฟังก็ดูจะไม่มีเหตุผล แต่ถ้าจะทดสอบความสามารถด้านการประพันธ์อีกหัวข้อจริง ไม่พูดถึงว่าเฉิงชิงเสวี่ยจะถูกเตะออกจากจวน เรื่องที่นางไม่รู้หนังสือก็จะปิดบังไม่อยู่ด้วย ต้องถูกเปิดเผยออกมาทันที
ทำอย่างไรดี
คำพูดประโยคเดียวของสี่จวี๋ประหนึ่งผลักหลวนอวิ๋นชูขึ้นไปบนกองไฟ พลาดพลั้งเพียงนิดเดียวร่างต้องถูกเผาไหม้เป็นผุยผง
ใจหลวนอวิ๋นชูประหนึ่งเหมือนน้ำชงชาเดือด พลุ่งพล่านไม่หยุด ทว่าสีหน้าไม่เปลี่ยน นางมองสบตาทุกคนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
เสียงเอะอะค่อยๆ เงียบลง
กลิ่นอายความตึงเครียดขุมหนึ่งแผ่ลามออกมา ทำให้คนอึดอัดจนหายใจไม่ออก ครั้นแล้วทุกคนก็พากันกลั้นลมหายใจ
ในห้องโถงที่กว้างขวาง ถ้ามีเข็มตกก็ยังได้ยินเสียง
สี่จวี๋พลันกระสับกระส่ายขึ้นมา แขนที่ประคองถาดใส่งานปักก็เมื่อยล้าแล้ว สะใภ้สี่ผู้นี้ชอบทำอะไรแปลกประหลาดอยู่เสมอ ไม่ทำอะไรตามหลักเหตุผลทั่วไป ทำให้นางคาดเดาอะไรไม่ถูก หรือว่าคำพูดเมื่อครู่นางไปฝ่าฝืนข้อห้ามอีก
เมื่อคิดได้ดังนี้สายตาของสี่จวี๋ที่มองหลวนอวิ๋นชูก็เจือความหวั่นหวาดสามส่วน ใบหน้าซีดขาวขึ้นมา
“สะใภ้สี่ บ่าว…”
“ดูความจำของเจ้าสิ ตอนเช้านายหญิงใหญ่เพิ่งบอก ‘ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน เน้นหนักเรื่องความอ่อนโยนดีงามมีคุณธรรม อิสตรีดูแลครอบครัวด้วยความขยันขันแข็ง ประหยัดมัธยัสถ์ จึงจะเป็นรากฐานที่ถูกต้อง บทกวี โคลงกลอนอะไรนั่นล้วนเป็นเรื่องของบุรุษ พวกเราอิสตรีไม่นิยมสิ่งนี้’ ” หลวนอวิ๋นชูสีหน้าสุขุมเยือกเย็น ในน้ำเสียงเจือความเอ็นดูอยู่ขุมหนึ่ง “เหตุใดชั่วพริบตาเดียวก็ลืมแล้ว ถ้าตอนนี้ข้าใช้บทกวีเอย โคลงกลอนเอยมาคัดเลือกสาวใช้ เรื่องไปถึงหูนายหญิงใหญ่เมื่อไร ข้าถูกต่อว่าที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้านายหญิงใหญ่โกรธขึ้นมาข้าก็จะกลายเป็นคนอกตัญญูแล้ว”
คำพูดยังพูดไม่จบสี่จวี๋ก็แข้งขาอ่อนลงไปคุกเข่ากับพื้น
“บ่าวไม่ดีเอง ถ้าไม่ใช่สะใภ้สี่เตือนสติ บ่าวคงลืมคำสั่งสอนของนายหญิงใหญ่ไปจริงๆ ถึงกับยุยงให้ท่านอกตัญญูต่อนายหญิงใหญ่ สะใภ้สี่โปรดลงโทษด้วย”
“เจ้าดูตนเองสิ ข้าก็แค่เอ่ยเตือนคำเดียว เจ้าก็คุกเข่าลงไปแล้ว” มองสี่จวี๋โขกศีรษะต่อหน้าผู้คนพอแล้ว หลวนอวิ๋นชูจึงเผยสีหน้าปวดใจออกมา “รีบลุกขึ้นเถิด เพียงแต่ต่อไปต้องไม่ลืม คำสั่งสอนของนายหญิงใหญ่ต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ นี่จึงจะเป็นความกตัญญูกตเวที”
จำได้ก็แปลกแล้ว!
พูดจบหลวนอวิ๋นชูก็พูดเพิ่มอยู่ในใจอีกประโยคหนึ่ง
คำพูดเบาหวิวเพียงประโยคเดียวของหลวนอวิ๋นชูทำให้สี่จวี๋สาวใช้รุ่นใหญ่ตื่นตระหนกจนโขกศีรษะไม่หยุด ทุกคนรวมถึงพ่อบ้านเฮ่ออดเลื่อมใสไม่ได้ เอ่ยชื่นชมไม่หยุดปาก โดยเฉพาะด้านล่าง เด็กสาวยี่สิบสองคนที่ได้รับการคัดเลือกนอกจากจะมองหลวนอวิ๋นชูด้วยแววตาเลื่อมใสศรัทธาแล้ว ยังมีความหวั่นเกรงเพิ่มขึ้นมาสามส่วน
หลวนอวิ๋นชูไม่รู้ว่าคำพูดสบายๆ ประโยคเดียวของนางกับการคุกเข่าของสี่จวี๋สามารถเอาชนะใจคนเหล่านี้ได้แล้ว
สี่จวี๋ที่ถูกสาวใช้รุ่นเล็กพยุงขึ้นมา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเฉิงชิงเสวี่ยเข้าพอดี ร่างนางชะงักนิ่ง หันกลับมาร้องเรียกอีกครั้ง
“สะใภ้สี่…”
ขอร้องล่ะ นางก็แค่อยากได้ผู้คุ้มกันที่ร่างกายแข็งแรงมีกำลังสักคน เหตุใดนางหนูผู้นี้จึงทำเหมือนนางจะไปกระทำแย่ๆ กับมารดาของตนเองเช่นนั้น ขวางแล้วขวางอีกอยู่นั่น ปรายตามองใบหน้าที่ไม่ยินยอมของสี่จวี๋แล้ว หัวใจของหลวนอวิ๋นชูก็จมดิ่งลง นางไม่พูดอะไร เพียงมองสี่จวี๋ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ภายนอกภายในก็ไว้หน้าตาอย่างเพียงพอ นางหนูผู้นี้เหตุใดยังไม่รู้จักดีชั่ว นี่จะเสนอความคิดประหลาดอะไรอีก
เรื่องกำลังดี เจ้าอย่าได้มาทำให้เสียเรื่องเป็นอันขาด
หลี่หวามองสี่จวี๋ตาปริบๆ แทบอยากจะก้าวเข้าไปเรียกนางว่า ‘บรรพบุรุษ’ แล้วยัดเงินให้สักหลายตำลึง
เป็นเพราะสี่จวี๋เห็นเฉิงชิงเสวี่ยแล้วขัดตา ภายใต้ความร้อนใจจึงเรียกสะใภ้สี่ออกมาคำหนึ่ง ทว่ากลับลังเลขึ้นมา จะอย่างไรนางก็เป็นบ่าวไพร่คนหนึ่ง วันนี้หลวนอวิ๋นชูได้ให้หน้าตาแก่นางอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าตนเองยังปากมากอีก เกิดพูดอะไรผิดไปคำหนึ่ง ทำให้หลวนอวิ๋นชูโกรธ สั่งลงโทษขึ้นมาในที่นี้ ตนเองต้องขายหน้าไม่พูดถึง เกรงว่าต่อไปเด็กสาวเหล่านี้ย่อมจะมองนางด้วย ‘สายตาที่ไม่ให้ความสำคัญ’
คิดหน้าคิดหลังแล้ว สี่จวี๋พลันเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาในส่วนลึกของจิตใจ จึงกลืนคำพูดที่มาถึงลำคอกลับลงไป เปลี่ยนคำพูดใหม่
“บ่าวจะทำสุดความสามารถ ไม่ให้ท่านต้องผิดหวัง”
หลี่หวาสีหน้าผ่อนคลายลง มองสบตาหลวนอวิ๋นชูแล้วยิ้ม
ไหนเลยจะรู้ เพิ่งกดน้ำเต้าลงกระบวยก็ลอยขึ้นมา* หลวนอวิ๋นชูกับหลี่หวาต่างระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก พ่อบ้านเฮ่อที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ มาโดยตลอดกลับข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว เขาขยับตัว ประสานมือคารวะแล้วบอก
“สะใภ้สี่ การทำงานสิ่งสำคัญคือความเที่ยงธรรม นี่ก็คือคำพูดที่นายหญิงใหญ่สั่งสอนบ่าวอยู่เสมอ มาบัดนี้ระเบียบในการคัดเลือกสาวใช้ได้กำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครล้วนสมควรต้องปฏิบัติตาม”
ข้ายังเป็นเจ้านายอยู่หรือไม่ เหตุใดจะทำอะไรตามความต้องการของตนเพียงเล็กน้อยจึงได้ยากเพียงนี้ มองพ่อบ้านเฮ่อที่เคร่งขรึมผิดปกติ หลวนอวิ๋นชูขมวดคิ้ว แสร้งทำเป็นมองไปรอบๆ แข็งใจพูดขึ้น
“พ่อบ้านเฮ่อกล่าวได้ถูกต้อง คนมากเพียงนี้ต่างลืมตามองอยู่ เจ้าเห็นใครโกง ไม่ทำตามกฎเกณฑ์บ้าง บอกมาได้เลย ข้าจะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด”
พูดพลางสายตาจับนิ่งไปที่ร่างสี่จวี๋กับฝูหรง ทั้งสองคนเนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมาทันที
สวรรค์ พวกนางไม่ได้โกง!
ด่านมารยาท สายตาของทุกคนล้วนสว่างไสว พวกนางทำงานอย่างเป็นธรรมไม่ได้โน้มเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูในใจรู้ดีแต่ภายนอกทำเป็นเลอะเลือน ถึงกับใส่ร้ายป้ายสีเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ เมื่อมองสบสายตาไม่พอใจของสี่จวี๋ฝูหรง พ่อบ้านเฮ่อสีหน้าพลันเปลี่ยนไปมา
นี่ใช่นายหญิงของบ้านที่ไหน คนเสเพลตามท้องถนนชัดๆ!
“สะใภ้สี่ได้มอบอำนาจในการออกหัวข้อทดสอบให้กับสี่จวี๋และฝูหรงแล้ว ย่อมไม่อาจออกหน้าก้าวก่ายอีก” เห็นนางพูดติดตลกเช่นนี้ พ่อบ้านเฮ่อจึงพูดเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม “พวกนางออกหัวข้องานเย็บปักถักร้อย คนที่ทำไม่ได้ย่อมต้องคัดออก เวลานี้เฉิงชิงเสวี่ยทำงานเย็บปักถักร้อยไม่ได้ ย่อมสมควรคัดออกก่อนใคร”
นักโทษทางการผู้นี้ไม่อาจซื้อตัวมาเด็ดขาด วันนี้ถ้าไม่ขวางไว้ หากนายหญิงใหญ่รู้แล้ว เขาผู้เป็นพ่อบ้านต้องถูกถลกหนังแน่นอน!
พ่อบ้านเฮ่อไม่ปิดบังอีก คิดว่าคงร้อนใจจริงๆ แล้ว หลี่หวาสูญเสียกำลังใจอย่างสิ้นเชิง
เฉิงชิงเสวี่ยไปมาไม่ใช่เพียงบ้านเดียว ล้วนไม่มีใครกล้ารับไว้ หลวนอวิ๋นชูแม้จะมีใจ แต่เกรงว่าวันนี้คงไม่อาจตัดสินใจได้ พ่อบ้านเฮ่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าตนยังแสร้งทำเป็นใบ้อีก เช่นนั้นหลวนอวิ๋นชูก็จะไม่มีทางให้ลงแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ หลี่หวาจึงถือโอกาสหัวเราะอย่างเปิดเผย
“พ่อบ้านเฮ่อพูดถูก เฉิงชิงเสวี่ยทำงานเย็บปักถักร้อยไม่ได้ก็สมควรถูกคัดออก เรื่องนี้สมควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น ไม่ต้องพะวงถึงข้า ท้ายสุดข้าย่อมพานางจากไป ไม่สร้างความยุ่งยากให้ท่านกับสะใภ้สี่”
ด้านล่างพลันโกลาหลทันที เด็กสาวหลายคนที่เดิมสนิทสนมกับเฉิงชิงเสวี่ย เห็นในที่สุดนางก็มีคนต้องการแล้วกำลังแอบขยิบตา ยกนิ้วหัวแม่มือให้ ดีใจแทนนาง คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็เมฆฝนพลิกคว่ำ นางถูกคัดออกอีกครั้งแล้ว!
* เหอเปา คือถุงเงินใบเล็กๆ ซึ่งหญิงสาวสมัยโบราณมักปักไว้พกติดตัว
* มาจากสำนวนเต็มว่า ‘จิตใจของซือหม่าเจา คนเดินถนนต่างรู้’ หมายถึงผู้มีแผนการร้าย แม้ไม่แสดงออกมา ผู้คนก็มองออกได้โดยง่าย มีที่มาจากสมัยสามก๊กซือหม่าเจา (สุมาเจียว) เป็นอัครเสนาบดีแคว้นเว่ย (วุยก๊ก) มีความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง ฮ่องเต้เฉาเหมารู้ว่าตนเป็นเพียงหุ่นเชิดจึงคิดกำจัดซือหม่าเจา แต่กลับเพลี่ยงพล้ำถูกซือหม่าเจาสังหาร
* เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงเตรียมการล่วงหน้าไว้ไม่ดีพอทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ทั่วถึง จัดการปัญหาทางนี้จบทางโน้นก็เกิดปัญหาขึ้นมา คนจีนใช้น้ำเต้าสำหรับตักน้ำ กระบวยก็ใช้สำหรับตักน้ำเช่นกัน