หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 25
‘ภายในสามวันสามารถส่งคืนได้’ เพียงประโยคเดียว ทำให้จิตใจของหลวนอวิ๋นชูห่อเหี่ยวไปหมด นางเงียบไปทันใด
“ก็ดี ในเมื่อสะใภ้สี่ต้องการ เช่นนั้นก็ทำสัญญาเลยแล้วกัน”
มีคนดีใจก็มีคนกลัดกลุ้ม ชั่วขณะนั้นพ่อบ้านเฮ่อคิดได้แล้วถึงด่านสำคัญที่ต้องผ่าน จึงรับปากอย่างสบายใจ มุมปากยังมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่ หลวนอวิ๋นชูเห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ
พายุที่ตั้งเค้ามาพลันสลายไปไม่เหลือร่องรอยในพริบตาเดียว หลี่หวาแอบท่องอมิตาภพุทธอยู่ในใจคำหนึ่ง จากนั้นก็ปรึกษาหารือรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างกับหลวนอวิ๋นชูและพ่อบ้านเฮ่อ หลังจากกำหนดรายละเอียดทุกอย่างลงตัวแล้ว หลี่หวาก็หันไปทางหน้าประตูแล้วกวักมือ หญิงสูงวัยผู้หนึ่งที่ติดตามนางมารีบเดินออกไป ครู่เดียวก็ประคองหีบใบเล็กที่ประณีตงดงามเข้ามาใบหนึ่ง วางลงตรงหน้าหลวนอวิ๋นชู
หลี่หวาหยิบลูกกุญแจออกมาเปิดหีบ หยิบหนังสือสัญญาออกมาปึกหนึ่ง ตรวจสอบรายชื่อของเด็กสาว คัดเลือกไปพลางพูดไปพลาง
“สะใภ้สี่ พ่อบ้านเฮ่อ เพื่อไม่ให้พวกท่านต้องเสียเวลา หนังสือสัญญาเหล่านี้ข้าได้เขียนรายละเอียดไว้ก่อนแล้ว รวมถึงประวัติส่วนตัวของเด็กสาวเหล่านี้พร้อมชื่อ อายุ อีกทั้งสัญญาที่พวกนางลงนามสมัครใจขายตัวเป็นบ่าวด้วยตนเอง แม้แต่คนรับรองก็ลงนามไว้แล้ว ท่านลองดู มีตรงไหนไม่เหมาะสมหรือไม่ ข้ามีหนังสือสัญญาที่ยังไม่ได้เขียนติดมาด้วย ลงนามตอนนี้ก็เหมือนกัน”
หลี่หวาพูดไปก็เลือกหนังสือสัญญาออกมาได้สิบกว่าคนแล้ว มองหลวนอวิ๋นชู แล้วก็มองพ่อบ้านเฮ่อ ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ยื่นให้หลวนอวิ๋นชู
หลวนอวิ๋นชูงงงันไปเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปรับหนังสือสัญญามา พลิกดูอย่างจริงจัง นางเพิ่งเคยเห็นหนังสือสัญญาในสมัยโบราณเป็นครั้งแรก นางดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เสียดายในกระดาษมีตัวอักษรเขียนไว้เต็มไปหมด มีตราประทับ แต่นางอ่านไม่ออกเลยสักตัว
ใจเต้นตึกตักขึ้นมา นี่จะทำอย่างไรดี ย่อมไม่อาจลงชื่อส่งเดชกระมัง
แม้ในใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ใบหน้าหลวนอวิ๋นชูกลับสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน สายตามองระผ่านผู้คนไปทีละคน สุดท้ายก็มาหยุดที่ใบหน้าฝูหรง หลวนอวิ๋นชูพลันเกิดความคิดขึ้น กวักมือเรียกอีกฝ่ายเข้ามา
“มานี่”
“สะใภ้สี่ มีอะไรหรือเจ้าคะ”
หลวนอวิ๋นชูยื่นหนังสือสัญญาให้ฝูหรง
“อ่าน!”
“สะใภ้สี่ นี่…”
ไม่ใช่ไม่รู้หนังสือเสียหน่อย ภายใต้สายตาผู้คนที่จ้องมองอยู่เช่นนี้ สะใภ้สี่คิดจะทำอะไร
ให้นางอ่านสิ่งนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน นางออกจะขลาดกลัว
หลวนอวิ๋นชูไม่ได้สนใจฝูหรง นางมองสิบเจ็ดคนที่ยืนกลั้นหายใจอยู่ที่ด้านล่างแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทุกคนฟังให้ดี ฝูหรงอ่านถึงใคร คนนั้นก็ก้าวออกมาขานรับให้ทุกคนได้รู้จัก…พวกเจ้าเองก็ตั้งใจฟังด้วย ดูว่าเนื้อหาที่เขียนอยู่ในสัญญาตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ มีตรงไหนผิดไปก็ให้ทักท้วง”
หลี่หวาเองก็งงงัน นี่ช่างเป็นเรื่องแปลกใหม่ นางทำอาชีพนี้มาหลายปี เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก ขณะกำลังงุนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากได้ยินคำพูดช่วงท้ายก็ตระหนักรู้ขึ้นมาพลางมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความเคารพเลื่อมใส พยักหน้าแล้วกล่าวยิ้มๆ
“ยังคงเป็นสะใภ้สี่ที่รอบคอบ เช่นนี้ดียิ่ง ทั้งให้นางหนูทั้งหลายได้ฟังเข้าใจเนื้อหาของสัญญา พ่อบ้านก็ไม่ต้องผ่านตาอีก ประหยัดเวลา แล้วยังถือโอกาสได้ทำความรู้จักนางหนูเหล่านี้…ยิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัวอย่างแท้จริง ข้าเองกลับคิดไม่ออก ไม่เสียทีที่เป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค”
พ่อบ้านเฮ่อก็มีประกายชื่นชมปรากฏบนใบหน้า ผงกศีรษะไม่หยุด
ใช่คิดรอบคอบเสียที่ใดกัน ก็แค่ต้องการปิดบังความจริงเรื่องอ่านหนังสือไม่ออก ฟังคำสรรเสริญเยินยอไม่หยุดปากของหลี่หวา มองสบสายตาเลื่อมใสของทุกคน หลวนอวิ๋นชูก็หน้าแดงอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น
ฝูหรงจึงหยิบหนังสือสัญญาขึ้นมาฉบับหนึ่ง อ่านเสียงดัง
“ปีที่สิบสามแห่งฮ่องเต้โม่ตี้…”
ฉบับแรกเป็นของสวีฟาง เห็นอ่านถึงชื่อของนาง นางก็รีบก้าวออกมา หลังจากทำความเคารพไปรอบหนึ่งก็ยืนยืดอกเชิดหน้าอยู่กับที่ มองหลวนอวิ๋นชูอย่างประจบเอาใจ
เป็นเช่นที่หลี่หวาพูดไว้ หนังสือสัญญานี้เขียนไว้ละเอียดยิ่ง ที่ทำให้นางประหลาดใจคือด้านหลังมีคนลงนามรับรองถึงห้าคน รอจนฝูหรงอ่านจบหลวนอวิ๋นชูก็เงยหน้าขึ้นมองสวีฟาง
“ฟังชัดเจนแล้ว มีส่วนไหนไม่ตรงกับตัวเจ้าหรือไม่”
“เรียนสะใภ้สี่ ไม่มีเจ้าค่ะ”
“อืม เจ้าถอยกลับไปเถิด”
พูดจบหลวนอวิ๋นชูหันไปมองพ่อบ้านเฮ่อ นางไม่รู้กฎหมายแคว้นหลวน ฝูหรงอ่านมาพักใหญ่นางก็เพียงฟังอย่างสนุกเท่านั้น เห็นว่าเนื้อหาครบถ้วน แต่ในสัญญามีส่วนที่ไม่สอดคล้องกับตัวบทกฎหมายหรือไม่ ยังต้องอาศัยพ่อบ้านเฮ่อ
เห็นนางมองมาพ่อบ้านเฮ่อก็เอ่ยปากขึ้น
“เรียนสะใภ้สี่ ที่ผ่านมาหนังสือสัญญาล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม”
“อืม”
หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะ แล้วส่งสายตาให้ฝูหรง
ฝูหรงรีบยื่นหนังสือสัญญาให้พ่อบ้าน ให้เขาลงนาม
มองดูแวบหนึ่ง พ่อบ้านเฮ่อกลับไม่ได้ยื่นมือมารับ เงยหน้าขึ้นมองหลวนอวิ๋นชู บอกอย่างนอบน้อมถ่อมตน
“สะใภ้สี่อยู่ที่นี่ บ่าวจะกล้าข้ามหน้าข้ามตาได้อย่างไร”
เฉิงชิงเสวี่ยมีฐานะเป็นนักโทษของทางการ เรื่องนี้ทำให้เขาไม่สบายใจ หลบเลี่ยงได้เป็นดีที่สุด จะได้ไม่ต้องถูกนายหญิงใหญ่บ่นว่า เมื่อมีความคิดนี้เกิดขึ้น พ่อบ้านเฮ่อจึงโยนเผือกร้อนออกไปเสียเลย หลวนอวิ๋นชูกลับไม่ได้คิดอะไรวกวนซับซ้อนเช่นเขา ตามประสบการณ์ในชาติก่อนนางก็เห็นว่าการลงนามประทับตราเป็นสิทธิทางกฎหมายอย่างหนึ่ง ถ้าจะมอบหมายให้ผู้อื่นทำแทนต้องมีหนังสือมอบอำนาจ
เวลานี้มีนางเป็นเจ้านายอยู่ ย่อมต้องลงนามด้วยตนเอง
เพียงแต่…นางเขียนหนังสือเป็นเสียที่ใดเล่า!
หลวนอวิ๋นชูนั่งอยู่กับที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ทว่าฝ่ามือมีเหงื่อออกชุ่ม
หลวนอวิ๋นชูตัดสินใจเด็ดขาด เล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ เสียเลย ยกความน่าเกรงขามของผู้เป็นนายออกมาใช้
“ไม่ต้องพิถีพิถันมากเพียงนั้น เจ้าลงนามไปก็แล้วกัน”
ในน้ำเสียงแข็งกระด้างเจือความเด็ดขาดอยู่ขุมหนึ่ง พ่อบ้านเฮ่อแอบทอดถอนใจ รู้แต่แรกแล้วว่าความคิดนี้ไม่อาจปิดบังนางได้ เขาไม่กล้าพูดมากอีก รับคำอย่างนอบน้อม หยิบพู่กันขึ้นมา ตวัดขีดเขียนแยกลงนามในสัญญาแบบเดียวกันสามชุด แล้วส่งพู่กันให้หลี่หวา หลี่หวาเองก็ลงนามแล้ว
รับหนังสือสัญญาที่ลงนามแล้วมา หลวนอวิ๋นชูลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังดีที่ไม่ได้เผยพิรุธ นางแสร้งทำทีเป็นตรวจดูรอบหนึ่งแล้ววางลงบนโต๊ะ หันไปกล่าวกับฝูหรง
“อ่านต่อไป”
รู้ลู่ทางดีแล้ว ร่างของฝูหรงเหยียดตรงขึ้น เสียงก็ดังขึ้นมา อ่านได้คล่องขึ้น…
ไม่ต้องพูดถึงว่าคนมากตรวจสอบง่าย ยังมีหลายจุดที่เขียนผิดพลาดถูกผู้คนชี้ออกมา ต้องแก้ไขเดี๋ยวนั้น เรื่องนี้ทุกคนต่างชมเชยวิธีการของหลวนอวิ๋นชูกันไม่ขาดปาก นางเองก็คิดไม่ถึง เชาวน์ปัญญาที่เกิดขึ้นมาในขณะร้อนใจ ถึงกับกลายเป็นสิ่งที่พ่อบ้านเฮ่อใช้สืบต่อมาตั้งแต่นั้น กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการซื้อบ่าวไพร่ของจวนกั๋วกง แน่นอน…นี่ย่อมเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลัง
มีระเบียบข้อบังคับแล้ว ทำงานขึ้นมาก็ราบรื่น เพียงชั่วเวลาหนึ่งเค่อหนังสือสัญญาสิบเจ็ดชุดก็ลงนามเสร็จเรียบร้อย รอหนังสือสัญญาชุดสุดท้ายหมึกแห้งแล้ว หลี่หวาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฝุ่นตกตะกอนนอนพื้น* แม้จะมีอุปสรรคมาก แต่อย่างไรการซื้อขายนี้ก็สำเร็จแล้ว จัดหนังสือสัญญาเรียบร้อย เอาเก็บกลับเข้าไปในหีบใส่กุญแจ หลี่หวาจึงเงยหน้าขึ้นมองหลวนอวิ๋นชู
“ตามกฎหมาย สัญญาซื้อขายที่ทำกันเองนี้ต้องเอาไปเปลี่ยนเป็นสัญญาของทางการที่จวนนายตลาด จึงจะนับว่าถูกต้องตามกฎหมาย วันสองวันนี้ข้าจะหาเวลาไป รอเปลี่ยนเรียบร้อยแล้วก็จะส่งมาให้ท่านทันที ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยมาว่าเรื่องเงินกัน สะใภ้สี่ ท่าน…ยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่”
“อืม…” หลวนอวิ๋นชูย่นคิ้วน้อยๆ “เปลี่ยนสัญญาของทางการต้องใช้เวลาเท่าไร”
“ไปจวนนายตลาดเพื่อเปลี่ยนสัญญาของทางการ ไม่เพียงซื้อขายสองฝ่าย คนรับรองก็ต้องมาด้วย ยังต้องจ่ายค่าต่างๆ อีก จุกจิกหยุมหยิมยิ่ง บางครั้งคนซื้อ คนขาย คนรับรองทั้งสามฝ่ายมาพร้อมแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะเสร็จเรื่อง คนทั่วไปต้องวันสองวันจึงจะทำเสร็จ” พูดถึงเรื่องเปลี่ยนสัญญาของทางการ หลี่หวาก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด “ทว่าประการแรกข้าติดต่อจนชำนาญแล้ว ประการที่สองลูกค้าของข้าล้วนเป็นตระกูลที่มีเงินและอำนาจในเมืองหลวนเฉิง พวกเขาจึงให้หน้าข้าหลายส่วน สิบเจ็ดคนนี้ ข้าไปจัดการด้วยตนเองราวหนึ่งชั่วยามก็เสร็จแล้ว”
“ดี…” หลวนอวิ๋นชูผงกศีรษะด้วยความปีติยินดี ตัดบทคำคุยโวโอ้อวดของหลี่หวา “เช่นนั้นก็รบกวนหลี่มามาเหน็ดเหนื่อยสักครั้ง เปลี่ยนสัญญาของทางการเสียวันนี้เลย พรุ่งนี้เช้าก็ส่งมาได้เลย”
หลี่หวาเป็นคนค้าทาสมานานหลายปี ไม่เคยเห็นคนซื้อรีบร้อนยิ่งกว่าคนขาย ที่กำลังคุยโอ้อวดน้ำลายแตกฟองพลันหยุดปาก มองหลวนอวิ๋นชูด้วยความฉงน เห็นนางสีหน้าจริงจังจึงรับปากทันที
“ได้สิ เอาตามที่สะใภ้สี่สั่ง วันนี้ข้าก็จะไม่เสียเวลาอยู่ต่อแล้ว จะไปจวนนายตลาดเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เช้าก็เอาสัญญาของทางการมาส่งให้ท่าน ท่านว่าเป็นอย่างไร”
หลี่หวาพูดพลางมองไปที่พ่อบ้านเฮ่อ ฐานะของเขาในจวนกั๋วกงหาได้ต่ำต้อย หวังว่าเขาอย่าได้ตั้งแง่อะไรในเวลานี้เป็นอันขาด
สีหน้าของพ่อบ้านเฮ่อประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง ริมฝีปากขยับแล้วขยับอีก ทำท่าจะพูดหลายครั้ง สุดท้ายยังคงข่มกลั้นไว้ เห็นหลี่หวามองเขาจึงเอ่ยปากขึ้น
“เช่นนั้นก็ลำบากหลี่มามาแล้ว”
พ่อบ้านเฮ่อมองเงาด้านหลังของหลี่มามาที่หายลับไปอย่างทึ่มทื่อ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าหนังสือสัญญาได้ลงนามกันเสร็จสิ้นไปแล้ว เดินกลับมาในห้องโถง เห็นหลวนอวิ๋นชูยังนั่งดื่มน้ำชาอย่างไม่รีบไม่ร้อนจึงเอ่ยปากขึ้น
“สะใภ้สี่ยุ่งมาตลอดช่วงเช้าแล้ว คงเหนื่อยเต็มที รีบกลับไปพักผ่อนเถิดขอรับ”
“แล้วคนเหล่านี้…”
คนซื้อมาเรียบร้อยแล้ว ทว่ากฎระเบียบสำหรับคนมาใหม่ที่เข้ารับตำแหน่งหน้าที่การงานในจวนมีอะไรบ้าง หลวนอวิ๋นชูกลับไม่รู้อะไรเลย ด้วยเหตุนี้จึงนั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่นี่รอเขา
“เรียนสะใภ้สี่ ว่ากันตามเหตุผลคนเหล่านี้สมควรต้องผ่านการอบรมสักหลายวันก่อน แต่สะใภ้ใหญ่เร่งรัด คนของหลี่มามาความประพฤติกิริยามารยาทก็ไม่เลว ครั้งนี้ก็ไม่ต้องแล้ว บ่าวเพียงให้พวกนางลงบันทึกในสมุดทะเบียน วัดร่างกายเสร็จแล้ว ช่วงบ่ายก็จะส่งไปให้ท่าน”
“วัดร่างกาย?”
“บ่าวไพร่ที่มาใหม่ล้วนต้องวัดร่างกายก่อน จดขนาดตัวไว้ ต่อไปจะได้สั่งตัดเครื่องแบบได้ในคราเดียว”
พูดตามตรงก็คือ…จะได้ใส่ชุดทำงานเหมือนๆ กัน
หลวนอวิ๋นชูพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เช่นนั้นก็ลำบากพ่อบ้านเฮ่อแล้ว”
“สะใภ้สี่…”
หลวนอวิ๋นชูเพิ่งลุกขึ้นมาก็ถูกพ่อบ้านเฮ่อเรียกไว้ นางจึงกลับลงนั่งแล้วถามขึ้น
“พ่อบ้านเฮ่อยังมีอะไรหรือ”
“สะใภ้สี่โปรดกำหนดขั้นของสาวใช้เหล่านี้ก่อน บ่าวจะได้บันทึกไปพร้อมกัน”
คำพูดพอออกจากปากภายในห้องโถงก็มีเสียงดังขึ้นมาทันที ในดวงตาของทุกคนเปล่งประกายวิบวับ ต่างเฝ้าปรารถนาให้สาวใช้รุ่นใหญ่ผู้นั้นเป็นตน มีเพียงเฉิงชิงเสวี่ยที่สีหน้าเฉยเมย เข้ามาอยู่ในจวนกั๋วกงได้ก็นับว่าเกินความคาดหมายแล้ว สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่นางไม่กล้าเพ้อฝัน
หลวนอวิ๋นชูกวาดตามองเฉิงชิงเสวี่ยแวบหนึ่ง นึกในใจ ดันทุรังรับนางไว้ ถ้าให้เป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งในทันที เกรงว่าพ่อบ้านเฮ่อจะต้องยับยั้งอีก คิดมาถึงตรงนี้ จึงกล่าวเสียงราบเรียบ
“เรื่องนี้ไม่รีบร้อน ข้ายังต้องสังเกตดูอีกสักระยะ”
“เช่นนั้นบ่าวจะเว้นว่างไว้ก่อน” พ่อบ้านเฮ่อพูดอย่างเอาใจ “ตอนส่งเบี้ยรายเดือนไป ท่านก็จัดการเอง”
“ได้”
หลวนอวิ๋นชูยิ้มแล้วพยักหน้า
เห็นสี่จวี๋เดินกลับเข้ามา หลวนอวิ๋นชูก็ย่นคิ้ว ก่อนหน้านี้สี่จวี๋กับพ่อบ้านเฮ่อออกไปส่งหลี่หวาด้วยกัน จนนางจัดการเรื่องต่างๆ กับพ่อบ้านเฮ่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหตุใดเด็กสาวผู้นี้ยังมาอยู่ตรงนี้
“สะใภ้สี่จะกลับแล้วหรือเจ้าคะ” สี่จวี๋เห็นหลวนอวิ๋นชูเดินออกมาก็ยิ้มแย้มเข้ามารับหน้า “บ่าวเพิ่งไปส่งหลี่มามา นางยังชมท่านไม่หยุดปาก บอกวันหน้าถ้ามีโอกาสจะต้องมาเยี่ยมเยียนท่านด้วยตนเอง”
หลี่หวาผู้นี้ทำการค้าทาส ขึ้นเหนือล่องใต้ มีประสบการณ์พบเห็นเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อย หากตนคิดจะไปจากจวนกั๋วกงจำเป็นต้องคบหาสหายเช่นนี้สักหลายคน ได้ยินคำบอกเล่านี้หลวนอวิ๋นชูก็แอบคิดวางแผนอยู่ในใจ ใบหน้ากลับนิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา
“คนทำการค้าอย่างพวกนางต้องอาศัยฝีปาก ชมคนขึ้นมาจากเต้าหู้ขาวราคาถูกก็พูดให้เป็นก้อนเลือดสองตำลึงได้ เจ้าก็อย่าไปเชื่อจริงจังนักเลย”
“บ่าวกลับรู้สึกว่านางพูดจากใจจริง”
“คารวะสะใภ้สี่”
จางหมัวมัวที่รออยู่หน้าประตูเห็นหลวนอวิ๋นชูออกมาก็กุลีกุจอเข้ามาคารวะ ขัดจังหวะการพูดของสี่จวี๋
“เจ้าพาพวกนางกลับไปก่อนเถิด” เห็นบ่าวไพร่แต่ละคนแล้ว หลวนอวิ๋นชูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปกล่าวกับสี่จวี๋ “ข้ากับฝูหรงจะเดินเล่นสักหน่อย”
“สะใภ้สี่ เอ่อ…”
ระยะทางยาวไกลเช่นนี้ไม่ใช่จะเดินกลับไปได้ชั่วเวลาประเดี๋ยวประด๋าว
จางหมัวมัวงงงัน หันไปมองสี่จวี๋
สี่จวี๋รีบบอก “สะใภ้สี่ ที่นี่อยู่ห่างจากเรือนลู่ย่วนมากนัก ยามเที่ยงเช่นนี้ ท่านระวังจะเหนื่อยนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร” หลวนอวิ๋นชูไม่หยุดฝีเท้า หันไปโบกไม้โบกมือ “ข้ากับฝูหรงจะลองหาดูว่ามีเส้นทางใกล้หน่อยหรือไม่”
“จริงสิ” เห็นนางจะเลือกเส้นทางใกล้ ฝูหรงก็ชี้ไปข้างหน้า “จากตรงนี้ไปทางใต้ไม่ไกลนักมีซุ้มประตูเล็กๆ แห่งหนึ่ง สามารถเดินตัดจากทะเลสาบลั่วเยี่ยนกลับไปเรือนลู่ย่วนได้ เดินราวสองเค่อเท่านั้น”
“ประตูแห่งนั้นบ่าวก็รู้ แม้ระยะทางจะใกล้ กลับมีแขกจากข้างนอกกับพวกที่ปรึกษาเดินเข้าออกอยู่บ่อยๆ” สี่จวี๋ถลึงตาใส่ฝูหรงอย่างดุดันทีหนึ่ง “จางหมัวมัวรอมาตลอดช่วงเช้าแล้ว สะใภ้สี่ก็นั่งเกี้ยวเถิด”
หลวนอวิ๋นชูไม่พูดจา เดินลัดเลาะตามแนวร่มไม้ไปทางใต้ไม่แม้จะหันหน้ากลับมามอง
เดินไปได้หลายก้าวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินตามมาจากทางด้านหลัง หลวนอวิ๋นชูย่นคิ้วและหยุดลง ก็เห็นสี่จวี๋เดินนำเกี้ยวหอบแฮกๆ ไล่ตามมา
เห็นพวกนางหยุดเดิน สี่จวี๋ก็รีบสาวเท้าขึ้นมาบอก “สะใภ้สี่ ที่นี่อยู่ห่างจากเรือนลู่ย่วนมากเกินไป หรือไม่ก็ให้เกี้ยวเดินตามไป ท่านเดินเล่นสักพักแล้วค่อยขึ้นเกี้ยว ดีหรือไม่”
เฮ้อ! กลัวนางจะไม่สะดุดตามากพอหรือ นางเดินอยู่ข้างหน้า ข้างหลังมีคนหามเกี้ยวตามมา เช่นนี้ตลอดทางก็ได้แต่มองมาที่นางกันแล้ว
หลวนอวิ๋นชูยิ้มพลางมองสี่จวี๋ น้ำเสียงคล้ายปรึกษาหารือ
“เจ้าว่า…เช่นนี้ออกจะสะดุดตาผู้คนเกินไปหรือไม่”
“เอ่อ…”
ทำเช่นนี้ออกจากแปลกประหลาดไปหรือไม่ ระหว่างทางให้คนเห็นหลวนอวิ๋นชูปล่อยเกี้ยวไว้ไม่นั่ง กลับเดินไป ไม่รู้จะถูกนินทาตามหลังมาว่าอย่างไร
สี่จวี๋หน้าแดง อ้ำอึ้งไป
หลวนอวิ๋นชูฉวยจังหวะนี้พาฝูหรงเดินจากไปเงียบๆ
* ฝุ่นตกตะกอนนอนพื้น เป็นคำอุปมา หมายถึงผลลัพธ์ได้ถูกกำหนดเป็นที่แน่นอนแล้ว