ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 166
ตอนที่ 166 ภาษาอื่น
“เสี่ยวจขึ้น เรามีเรื่องต้องบอกลูกนะ…มานี้สิ”
สติของคู่จวินเหมือนกําลังถูกสะกดเอาไว้ในความมืด จิตวิญญาณของเขาล่องลอยไปในโลกที่ไม่คุ้นเคย และไม่รู้จักก่อนที่จะตื่นขึ้นมา ความฝันในวันวานที่ตัวเขาเองก็แทบจําไม่ได้แล้วได้หวนคืนมาอีกครั้ง
เขาได้ยินเสียงของผู้หญิง เสียงนี้มันช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน มันเหมือนกับว่าเขาเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน และมือที่ว่านั้นก็ได้จับมือเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาราวกับกลัวว่าเขากําลังจะหายไป จากนั้นเธอก็พาเขาไปที่ด้านหน้าซึ่งเขาไม่ได้เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด เมื่อเธอกําลังจะพาเขาเข้าไป เขาก็รู้สึกว่าความมืดที่ว่านั้นกําลังจะสว่างขึ้น
และวิวทิวทัศน์ที่คุ้นตาก็ปรากฏ
ผู้หญิงคนนี้ก็คือแม่ของเขา…. ใบหน้าของแม่ที่จวินไม่ได้เห็นมานานหลายปีได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เธอยังคงสวยเหมือนสมัยตอนสาวๆ…อีกทั้งเธอไม่เปลี่ยนไปเลย
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น เขาได้เห็นบ้านที่เขาเคยอาศัยในวัยเด็ก เขารับรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ว่าแม่ยังสาวอยู่หรอก แต่ในตอนนี้เธอยังสาวอยู่ต่างหาก…. เขามองไปทั่วไปบรรยากาศภายในบ้านสมัยเด็ก มันคือบ้านในความทรงจําที่แสนอบอุ่น
ตอนเด็กๆห้องที่เขาชอบที่สุดก็คือห้องนั่งเล่น มันมีทั้งของเล่นและมีอุปกรณ์หน้าตาแปลกๆมากมายอยู่ในนั้น ทําให้เขาสนุกและเพลิดเพลินได้โดยไม่รู้เบื่อ
นอกจากนี้มันยังมีโซฟาแสนนุ่มนิ่มที่สามารถเอาสีเมจิกไปเขียนได้โดยรอบโดยที่ไม่โดนพ่อและแม่ตําหนิ นอกจากนี้ยังมีตู้เย็นอันคุ้นเคยที่เขามักจะแอบเอาก้อนหินหรือน้ําซุปร้อนๆเอาไปใส่ไว้ในตู้เย็นแห่งนั้นและทําให้มันกลายเป็นน้ําแข็ง นอกจากนี้แม้กระทั่งกระถางต้นไม้หน้าบ้านที่เอาไว้ปลูกต้นไม้ที่พ่อชอบเขาก็เห็นมันอย่างชัดเจน
กู้จวินจําได้ว่านี่เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับพ่อแม่ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางไปทํางานและงานที่ว่าของพวกเขาก็คือการออกเรือไปสํารวจที่ใต้ทะเลลองกาน
กู้จวินจําได้ไม่มีวันลืม ในตอนนั้นเขามีอายุน้อยกว่า 10 ขวบ เขายังเป็นเพียงเด็กตัวน้อยที่ไร้เดียงสาและขาดการยั้งคิด เขาเป็นแค่เด็กที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่และการเอาอกเอาใจอย่างดี
และหลังจากที่พ่อและแม่ของเขาหายตัวไปในท้องทะเล ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปรผัน โลกของเขาที่เคยอาศัยอยู่ ได้พังทลายในชั่วพริบตา…
คุณลุงเจ้าของบ้านที่เคยให้พวกเขาอยู่และให้เช่า เมื่อรู้ว่าพ่อแม่ของเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่….อย่างน้อยก็ตามกฎหมายแล้ว เขาก็ขับไล่จวินออกจากบ้าน จากนั้นเขาก็ส่งคนมาจับกู้จวินไปยัดใส่สถานรับเลี้ยงเด็กกําพร้าด้วยความเย็นชา….
นั่นเป็นความทรงจําที่เลวร้าย ในขณะเดียวกันมันก็เป็นความทรงจําสุดท้ายที่เขาหวนระลึกถึงด้วยเช่นกัน ใบหน้าของพ่อและแม่ในตอนนั้นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข และมีกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะค้นหาความจริงและปริศนาบางอย่าง..
กู้จวินเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักที่หนึ่ง…ถึงเรื่องภาพความทรงจําก่อนตาย นั่นก็คือเมื่อยามที่คนเรากําลังจะตายและละสังขาร พวกเขาเหล่านั้นจะคิดถึงอดีตและความทรงจําที่พวกเขาอยากนึกถึงที่สุด ไม่ว่ามันจะเป็นความทรงจําด้านดีหรือด้านร้าย เชื่อกันว่านั่นเป็นกลไกทางสมองที่จะทําให้คนใกล้ตายคนนั้นที่กําลังจะตายได้มีความรู้สึกอยากจะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง…. แต่มันจะจริงหรือเปล่าอันนี้ก็ไม่มีใครทราบได้ แต่สําหรับอู่จวิ้น เหตุการณ์นี้มันก็คือเหตุการณ์อันแสนเศร้าที่ไม่มีวันลืมเลือน
เบื้องหน้าของเขาตอนนี้มีชายร่างกายสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่เคียงข้างกับผู้หญิงผมยาว ใบหน้าของพวกเขานั้นถูกหมอกแห่งความมืดมิดครอบคลุมเอาไว้…. ทําให้กู้จวินไม่สามารถเห็นหน้าของพวกเขาได้ชัดเจน แต่ว่าความรู้สึกบางอย่างที่บ่งบอกว่าพวกเขาคือพ่อแม่ก็ปรากฏขึ้นมาในจิตใจ
และนอกจากนี้ด้วยความที่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กเหมือนในอดีตเขาสามารถจับท่าทางบางอย่างที่พ่อและแม่แสดงออกมาได้ เขารู้สึกเหมือนว่าทั้งสองคนนี้จะมีความกลัวซุกซ่อนอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ
พ่อกับแม่กําลังหวาดกลัวอยู่เหรอ? หรือพวกเขาว่ากลัวที่จะต้องไปค้นหาปริศนาใต้ท้องทะเลลึก
ไม่สิ! พวกเขาอาจจะแค่กังวลเพราะเป้าหมายของพวกเขาก็คือ การหาพลังลึกลับที่ใต้ทะเลสาบลองการหรือไม่บางทีพวกเขาอาจจะมีเหตุผลอื่นอยู่เบื้องหลังซึ่งไม่สามารถเปิดเผยให้คนอย่างจวินที่เป็นเพียงเด็กรับรู้
จากนั้นแม่ของเขาก็เอามือที่แสนอ่อนโยนของเธอมาลูบที่หน้าผากของเขา และแม่ของเขาก็พูดจาด้วยน้ําเสียงที่ห่วงใย “ลูกแม่ แม่กับพ่อกําลังจะออกเรือในไม่นานนี้ งานคราวนี้ค่อนข้างจะนาน หลังจากนี้ลูกต้องอยู่กับเด็กคนอื่นไปก่อนนะ”
เสียงของแม่นั้นรู้สึกเหมือนคล้ายเสียงคนกําลังจะสั่งลา… จังหวะนั้นกู้จวินก็เห็นภาพของตัวเองที่อยู่ในวัยเด็กพูดด้วยน้ําเสียงที่ไม่ค่อยพึงพอใจสักเท่าไหร่เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้ชายคนนี้ไม่พอใจอย่างมาก
“แล้วครั้งนี้แม่กับพ่อจะออกเรือไปนานแค่ไหน แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ”
ท่าทางของเด็กชายเต็มไปด้วยความน้อยใจและความกังวล แน่ชัดว่าเขาต้องเป็นห่วงพ่อแม่ของตัวเองที่กําลังจะออกไปทะเลแน่นอนแต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่เด็กตัวแค่นั้นจะสามารถหยุดยั้งได้
“ก็คงเร็วๆนี้…” คําตอบของแม่เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ แววตาของเธอนั้นแทบเขียนเอาไว้เลยว่าเธอลังเล และไม่สบายใจอย่างยิ่ง ตอนนั้นเขายังเด็กยังไม่รู้เรื่องรู้ราวจึงดูไม่ออก…แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าในดวงตาของแม่ เธอไม่ได้คิดร้ายต่อเขา ในทางตรงกันข้ามเธอเหมือนกับว่าจะกังวลใจที่จะต้องทิ้งเขาเอาไว้ให้อยู่ด้านหลังเพียงแค่คนเดียว
“ลูกต้องตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่นะ… แม่จําได้ว่าลูกอยากเป็นหมอ เป็นหมอลูกจะต้องตั้งใจเรียนเรียนให้หนัก และอย่ายอมแพ้ไม่ว่าจะเจอปัญหาหรืออุปสรรคอะไรในอนาคต จําเอาไว้ว่าแม่และพ่อจะคอยอยู่เคียงข้างเสมอเข้าใจไหมลูก”
“ผมรู้แล้ว” เด็กชายตอบด้วยน้ําเสียงปั้นปิ้ง เขาโวยวายแล้วหันหลังเดินจากไป “แน่ล่ะ ผมมันไม่สําคัญเท่าเรือลํานั้นอยู่แล้ว”
ทันใดนั้นเองกู้จวินก็รู้สึกว่าจิตสํานึกของเขาถูกดึงออกไปและล่องลอยไปตามร่างของเด็กชายโดยทันที เขาเดินตามหลังตัวเองที่อายุน้อยกว่า และเด็กคนนี้แสบใช่เล่นเลย เขากําลังสร้างปัญหาให้พ่อแม่ที่กําลังเก็บของอยู่ เขาโวยวายและเตะข้าวของเลยทําให้เขาถูกห้ามไม่ให้เข้าห้อง
ดังนั้นด้วยความไม่พอใจกู้จวินในวัยเด็กจึงแอบเข้าไปในห้องนอนของพ่อแม่ และเข้าไปรื้อค้นภายในตู้เสื้อผ้าของพวกเขา และเขาก็พบกระดาษยับยู่ยี่อยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตหนึ่งใบเขาจึงเปิดดู
“เสี่ยวจขึ้น!” แม่ของเขาตะโกนด้วยความตกใจ เธอปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังเขา เธอรีบไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกจากมือของคู่จวินที่กําลังขวัญเสีย “กลับไปที่ห้องของเธอและเล่นของเล่นซะ ฉันจะต้องเก็บเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ เลิกซนเสียที”
กู้จวินในวัยเด็กสะดุ้งด้วยความตกใจ…ใบหน้าที่อ่อนโยนแต่หล่อเหลาในวัยเด็กเต็มไปด้วยน้ําตา….แต่เขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เมื่อตอนที่เขายังเล็ก และเขาก็ลืมไปหมดแล้วในภายหลัง
มันเป็นเพียงส่วนเล็กๆ… เป็นเพียงเหตุการณ์ส่วนหนึ่งที่ไม่สําคัญ มันก็แค่เหตุการณ์ที่เขาพยายามหยุดพ่อแม่ไม่ให้ไปล่องเรือก็แค่นั้นเอง ซึ่งเขาเองก็แทบจะจําไม่ได้ แม้กระทั่งการสะกดจิตก็ไม่สามารถทําให้เขานึกถึงเหตุการณ์นี้ได้ เพราะมันราวกับว่าทั้งหมดนั้นเป็นแค่ฉากหลังที่ไม่สําคัญ… แต่ใครจะรู้ว่าความหลังที่ไม่สําคัญนี้ มันจะยังคงอยู่ในหัวสมองของเขาและเขาคงจําได้ดี…. และนั่นก็คงเป็นครั้งแรกที่พ่อและแม่ของเขาโมโหใส่เขานั่นเอง
แต่ถึงจะโมโหยังไงก็ช่าง เมื่อนึกถึงถ้อยคําที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นกู้จวินก็เต็มไปด้วยความสงสัย ข้อความ นั้นถูกเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยปากกาหมึกซึมสีดํา ท่าทางการเขียนและลายมือนั้นค่อนข้างเร่งรีบและเป็ นการเขียนประโยคแปลกๆด้วยภาษาที่ไม่คุ้นเคย…และยังเขียนตั้งหลายรอบให้เปลืองหมึกเล่นๆ
[ Ph’nglui mglw’nafh Cthulhu R’lyeh wgah’nagl fhtagn]
[ Ph’nglui mglw’nafh Cthulhu R’lyeh wgah’nagl fhtagn]
[ Ph’nglui mglw’nafh Cthulhu R’lyeh wgah’nagl fhtagn]
“นี่ไม่ใช่ภาษาต่างโลก แล้วมันคืออะไรกัน? อ่านยังไงล่ะ? นี่เป็นส่วนหนึ่งของ เอกสารเหล่านั้นใช่หรือไม่
จิตใจของคู่จวินเริ่มเด็มไปด้วยความตกใจและวิตกกังวล จากนั้นเขาก็เริ่มคิดถึงภาพที่เขาวาดเมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขาคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของภาษาต่างโลก แต่แท้จริงแล้วบริษัทไล่เฉิงนั่นก็รู้ภาษาต่างโลกอยู่แล้วนี่ ทําไมพวกเขาถึงต้องการสิ่งนั้นจากเขาอีกล่ะ มันไม่ลงตัวเอาซะเลย? อันที่จริงแล้ว ความเชี่ยวชาญด้านภาษา ของพวกเขานั้นดีมาก จนพวกเขาสามารถปลุกมันขึ้นมาเพื่อใช้คาถา…อย่างเช่นคาถาคงกระพันของเหล่าสาวก! มันแข็งแกร่งมากแม้กระทั่งทีมหน่วยนักล่าอสูรก็ทําอะไรพวกเขาไม่ได้…และได้แต่คุกเข่าอย่างจําใจ
รูปภาพและภาพวาดที่เขาเขียนและวาดขึ้นมันก็ควรจะถูกส่งให้กับบริษัทไปแล้ว แต่เอกสารเหล่านั้น อาจชี้ไปที่ความลับอื่น ๆ ที่เขาไม่ล่วงรู้อีก และมันอาจเป็นคําตอบที่แท้จริงที่พ่อแม่ของเขาได้รับจากการวิจัยทางทะเล
พ่อแม่ของเขาอาจเป็นกองกําลังอื่น เช่นสปายในบริษัทไล่เฉิง พวกเขาแอบต่อต้านองค์กรแน่ๆ หรืออย่างน้อยพวกเขาก็มีเป้าหมายที่แตกต่างจากคนชุดดําและแดงเหล่านั้น
ทว่า! ไม่ว่าเป้าหมายของพวกเขาจะเป็นอย่างไร จะดีหรือไม่ดีก็ตามทีเถอะ แต่ทําไมพวกเขาถึงเข้าร่วมบริษัทไล่เฉิงที่แสนชั่วร้าย เหตุใดพวกเขาถึงได้ทําตัวราวกับแตกหักกับองค์กร และเหตุผลที่พวกเขาเดินทางไปยังแถบภูเขาไฟใต้พิภพที่ทะเลสาบลองกาน
ความหมายของประโยคนั้น! และความจริงที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาทั้งหมด ความจริงที่ว่าเขาถูกสร้างเป็นภาชนะสําหรับตัวตนที่ขัดแย้งกันของแลนดอนในฐานะบุตรแห่งเหล็กกล้าและบุตรแห่งความโชคร้าย…
คําถามมากมายผุดขึ้นในใจของเขา มันเป็นคําถามที่เขาเองก็หาคําตอบไม่ได้ มันราวกับว่าสิ่งที่เขาทํามาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อเข้าหน่วยเฟคต้าหรือความพยายามในการแกะรอยภาษาต่างโลก
ความพยายามในการดิ้นรนเพื่อเอาชนะหรือทําแม้กระทั่งฆ่าคนจากบริษัทไล่เฉิง….สิ่งที่เขาทําทั้งหมดทุกอย่างนั่นแลจะไร้ประโยชน์ สิ่งที่เขาทํามาทั้งหมดนั้นคืนสู่สุดศูนย์….เขาต้องเริ่มทุกอย่างใหม่อีกครั้ง ปริศนามากมายยังรอเขาอยู่…. มันแทบไม่ต่างอะไรจากตอนแรกก่อนที่เขาเข้าเฟคต้าเลย
ในขณะที่กําลังครุ่นคิด….ทันใดนั้นลมพัดเข้าปอดของเขาอย่างรุนแรง นั่นทําให้กู้จวินเริ่มหายใจไม่ออกและถูกผลักออกจากความฝัน…แม้จะถูกบีบบังคับให้ออกจากความฝันแต่ประโยคแปลก ๆ บนกระดาษนั้นยังคงตราตรึงในหัวใจชั่วชีวิต เขาไม่มีวันลืมประโยคนั้นอย่างแน่นอน