ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 167
ตอนที่ 167 พื้น…
“เขาฟื้นแล้วเขาฟื้นขึ้นแล้วลุงต้าน กู้จวินตื่นแล้ว!”
หลังจากฟื้นคืนขึ้นมาจากความมืดมิด คําพูดแรกที่ต้อนรับการกลับจากนิมิตก็คือเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ ตะโกนด้วยความยินดี น้ําเสียงของเขาคล้ายกับเหมือนคนที่เพิ่งถูกรางวัลที่ 1 มา… และน้ําเสียงนี้มันคุ้นๆ เหมือนเขาเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
กู้จวินค่อยๆลืมตาขึ้นและสิ่งที่เขาเห็นก็คือ หลินม่อที่กําลังตะโกนอยู่ด้วยความดีใจ… นอกจากเห็นใบหน้าที่ตื่นตะลึงของหลินม่อแล้ว เขาก็ยังเห็นสภาพของศาลเจ้าที่พังทลายและซากศพที่ถูกก่ายกองเรียงรายล้อมเต็มไปหมด รอบๆเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของเลือดและกลิ่นเหม็นของควันปืนที่คละคลุ้งท้องฟ้าของที่นี่เป็นสีเทาเข้ม บรรยากาศทั่วไปก็เต็มไปด้วยความอึมครึมและหายใจไม่สะดวกเอาเสียเลย นั่นทําให้สถานที่นี้ไม่แตกต่างอะไรจากนรกบนดิน…. นอกจากนี้ตัวของเขาเองก็อยู่บนเปลนอน อีกทั้งยังถูกติดริสแบนด์ว่าเป็นคนป่วยคนหนึ่งอีกด้วย
ทันทีที่ทุกคนรู้ว่ากู้จวินฟื้นแล้ว พวกเขาก็ต่างมองมาทางกู้จวินด้วยความตกใจโดย เฉพาะลุงต้าน เขารีบวิ่งมาหากู้จวินทันที แววของเขานั้นเต็มไปด้วยความสุขอย่างที่สุด เขาดีใจมากที่ชายหนุ่มในที่สุดก็ฟื้นเสียที ทุกคนเต็มไปด้วยความเป็นห่วงต่อจวินกันทั้งนั้น
ถัดจากลุงต้านที่วิ่งเข้ามาเป็นคนแรก เสี่ยป้าและลู่เสี่ยวหนิงรวมถึงคนอื่นๆ ที่ว่างจากงานก็มารุมล้อมเขาเหมือนกัน พวกเขาอยากรู้ว่าตอนนี้กู้จวินเป็นยังไงกันบ้าง
ทุกคนล้วนเห็นฉากการละเลงเลือดของกู้จวิน ดังนั้นแต่ละคนไม่ต้องพูดออกมา พวกเขาก็รู้ว่ากู้จวินนั้นบาดเจ็บและเหนื่อยแค่ไหน
เมื่อเห็นสายตาของทุกคน กู้จวินก็ไม่อาจทําหน้าเคร่งเครียดได้อีกต่อไปอีกเพราะเขารู้ว่าอาจจะทําให้ทุกคนไม่สบายใจโดยไม่ได้ตั้งใจก็เป็นไปได้…. ดังนั้นเขาจึงเผยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าออกมา
ในทันใดนั้นลุงต้านก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก อย่างน้อยเจ้าหนุ่มคนนี้ก็รอดตายแล้วและเขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดหลังจากที่กู้จวินสลบให้เขาได้ฟัง
อย่างแรกกู้จวินไม่ได้แค่สลบ!… แต่เขาเกิดหัวใจวายขึ้นมากะทันหันต่างหาก และอาการที่เกิดขึ้นมันก็ทําให้หัวใจของเขานั้นหยุดเต้น… กู้จวินล้มลงและอยู่ในสภาวะที่เป็นตายเท่ากัน ในขณะนั้นแม้พวกเขาจะบาดเจ็บ และอ่อนแรงแต่พวกเขาก็เข้ามาหากู้จวินทันทีเพื่อทําการช่วยชีวิตแบบฉุกเฉิน
ททกอย่างบพ:
ยู่ในกระเป๋าออกมาแล้วฉีดเข้าไปกระตุ้นที่
เดยการหยิบยาสํารอง หัวใจ…ทั้งหมดก็เพื่อกระตุ้นชีพจรของกู้จวินให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
กระบวนการทั้งหมดเต็มไปด้วยความยากลําบาก อากาศก็ไม่เหมาะสมสําหรับการรักษาเอาเสียเลย แต่ในที่สุดไม่รู้ว่าเป็นเพราะสวรรค์ช่วยหรือว่าโชคยังดีอยู่ ท้ายที่สุดแล้วกู้จวินก็ฟื้นขึ้นมา ลมหายใจของเขากลับมาราบเรียบอีกครั้ง แม้กระทั่งการเต้นของหัวใจก็กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ…
เพียงแต่กว่าจะพยุงอาการได้ดีแบบนี้ก็ผ่านมาราว 3 ชั่วโมงแล้ว มันเป็น 3 ชั่วโมงแห่งความเป็นตายที่เลวร้ายที่สุดที่ทีมนักล่าอสูรเคยประสบพบเจอมา
ไม่ต้องเป็นหมอหรือศัลยแพทย์ แต่แทบทุกคนในที่นี่ก็ล้วนรู้ดี มันคือความรู้พื้นฐานตั้งแต่สมัยมัธยม ทุกคนล้วนรู้ว่าอาการของโรคหัวใจนั้นรุนแรงมาก และยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการหัวใจล้มเหลวหรือว่าภาวะหยุดหายใจ นั่นเป็นเหตุฉุกเฉินที่ร้ายแรงจริงๆและมีเปอร์เซ็นต์การตายที่สูงมาก… คนที่เป็นอาการแบบนี้ส่วนใหญ่มักไม่รอดชีวิต
เป็นความจริง! ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีที่สุดอย่างเช่น หัวใจวายมันกลางโรงพยาบาล…และได้ ศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดเป็นผู้ผ่าตัด… รวมถึงมีเวลาเต็มที่ 4 นาทีในการทําการฟื้นคืนชีพ แต่อัตราความสําเร็จของการผ่าตัดครั้งนี้มันก็อยู่ที่ร้อยละ 50 เท่านั้นหรือโอกาสมีเพียงแค่ 50% และทั้งหมดต้องทําภายใน 4 นาที ไม่อย่างนั้นคนไข้ก็จะต้องอาการแย่ลง.. แต่ก็ไม่แน่เสมอไป การผ่าตัดส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ใน 4 นาทีแรก หากแต่อยู่ใน 6 นาทีต่างหาก และถ้าเกิน 6 นาทีเป็นต้นไปนั้นอัตราการรอดชีวิตก็จะเหลือแค่ 10% ซึ่งมันน้อยนิดมากๆ และถ้าหากใครเป็น ส่วนใหญ่มักจะตายไปเลย 10 เปอร์เซ็นต์ที่ว่านี้เป็นเพียงตัวเลขที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริงก็ เท่านั้น
เมื่อหัวใจของกู้จวินกลับมาเต้นอีกครั้ง พวกเขาก็กลายเป็นความกังวลไปอีกเปราะหนึ่ง กล่าวคือ การขาดออกซิเจนในสมองชั่วคราว จะทําให้เส้นประสาทเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หากเป็นเช่นนี้กู้จวินคงอยู่ในอาการโคม่าถาวร!
“ลุงต้าน! ผมอยากถามแค่คําถามเดียว ใครเป็นคนทํา CPR กับผม” กู้จวินถามด้วยความจริงจัง เป็นเรื่องปกติ…อาการหัวใจวายกะทันหันรวมถึงขาดอากาศ พวกเขามักจะช็อคและสลบลง หลังจากนั้นสิ่งที่ผู้พยาบาลควรทําก็คือการทํา CPR… อย่างเช่น อาการตกน้ําหรือว่าจมน้ํา..ไม่ก็หัวใจวาย เพียงแต่….
ภูมิใจ “ไม่ต้องกังวล เธอไม่ได้ใกล้เคียง
“จะเป็นใครไปได้ล่ะนอกจากฉัน” ลงต้านได้ตอบกลับด้วยท่าทีกับสิ่งเลวร้ายที่สุดที่ฉันเคยจูบเลยล่ะ”
กู้จวินเงียบกริบ โอเค..มันเป็นเรื่องปกติ แต่เขารับไม่ได้!
แม้เขาจะแกล้งทําเพราะความผิดหวังในชีวิต แต่เขาก็คือคาสโนว่าคนหนึ่งที่มีผู้หญิงมากมายมารายรุมล้อม เขาใช้ชีวิตราวกับอาเสี่ยแจกเงินผู้หญิงเป็นว่าเล่น…สิ่งมีเขามักได้รับมากที่สุดมักจะเป็นอ้อมกอดจากผู้หญิงและ รอยยิ้มที่แสนหวานหรือแม้กระทั่งรอยจูบ เขาจําไม่ได้ด้วยซ้ําว่ารอยจูบของเขาจูบแรกนั้นเป็นของใคร และชั่วชีวิตนี้กู้จวินก็ไม่เคยคิดว่าจะมีคนอื่นนอกจากผู้หญิงมาจูบเขาด้วย…. โดยเฉพาะตาแก่คนนี้ มันเป็นอะไรที่ไม่ต่างจากฝันร้าย
ในวินาทีนี้กู้จวินรู้สึกโกรธแค้นบริษัทไล่เฉิงมากยิ่งกว่าเดิม… เป็นเพราะพวกมันที่ทําให้ความทรงจําของเขา รวมถึงการใช้ชีวิตเกี่ยวกับผู้หญิงต้องผิดเพี้ยนไป…. เขาจะยิ่งไม่มีวันให้อภัยพวกมันไปตลอดกาล แต่เมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว…ก็ได้แต่ทําใจ
โอเค…ช่างมันเถอะ…ฉันจะคิดว่านี่เป็นราคาที่ฉันต้องจ่ายสําหรับการร่ายคาถาและฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม
แอบสารภาพว่าตอนที่เขาใช้คาถาเพื่อสังหารคนนั้น อาการของเขาแย่ยิ่งกว่าตอนกินยาระงับอาการจากนิมิตเสียอีก… สมองของเขาเต้นระรัวเหมือนกลอง มันเจ็บปวดไปทั่วทุกที่ทุกมุมทั่วเซลล์สมอง ราวกับสมองนั้น แทบจะแตกแล้วแยกออกจากกัน
เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่เขาก็เดาว่ามันอาจเกิดจากอิทธิพลของพลังงาน ด้านมืดที่อยู่ในจิตใจของเขา… บางทีมันอาจจะไปปะทะเข้ากับพลังแห่งความดีที่อยู่ในตัวของเขาอีกเหมือนกัน เลยทําให้หัวสมองของเขาเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกทุบด้วยของแข็ง
จะว่าไปตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งอันตรายเช่นกัน การใช้คาถาต่อเนื่องติดต่อกัน ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจะทําได้ ความเจ็บปวดที่สมอง….สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาสามารถทานทน
ความสามารถของมนุษย์นั้นมันมีขีดจํากัดจริงๆ ไม่ใช่แค่ขีดจํากัดล้อเล่น หาดเขาก้าวข้ามเส้นนั้นไป แม้แต่พลังงานแห่งความมืดที่คอยเติมพลังให้เขาอยู่ตลอดอาจจะมิเพียงพอสําหรับการร่ายคาถาครั้งต่อไปก็เป็นไปได้ และนั่นจะเป็นความวิบัติอย่างแท้จริง เขาอาจตายโดยที่ไม่ต้องสืบ
เมื่อลุงต้านเสร็จสิ้นการตรวจสอบร่างกายและจิตใจทั้งหมดของกู้จวิน กู้จวินก็บังคับตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างเหนื่อยอ่อน เขาตั้งใจที่จะเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย และในขณะนั้นเองเขาก็เห็นว่าคนอื่นกําลังเก็บกวาดสนามรบ นั่นทําให้เขาสงสัยเล็กน้อย เขาจึงหันไปหาเสวี่ยป้าอย่างรวดเร็วเพื่อเอ่ยคําถาม “หัวหน้า คุณสืบอะไรได้มาบ้าง?”
กู้จวินจําได้ว่าเขาไม่ได้ฆ่าพวกสาวกพวกนั้นทั้งหมด… เอาจริงๆเขาอยากจะฆ่าพวกมันให้หมดนั่นแหละ เขาไม่อยากจะเหลือใครไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามตําตาอีก แต่ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาที่จู่ๆพลังของกู้จวินหมดลงเสียก่อน ทําให้เขาไม่ได้ไล่ฆ่าคนที่เหลืออีกต่อไป และนั่นก็เป็นโชคดีของบรรดาทีมเหล่านักล่าอสูรด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่ต้องกังวลใจในการหาข้อแก้ตัวตอนกลับไปที่ฐานทัพแล้ว และด้วยเวลา 3 ชั่วโมง ป่านนี้น่าจะสืบอะไรได้แล้วใช่ไหม?
ในขณะที่กู้จวินนั้นพูดขึ้น เขาก็เห็นความสุขที่หลุดลอยไปจากใบหน้าเสวี่ยป่าทันที จากนั้นเมื่อเห็นไม่มีทางเลือก เสี่ยป้าก็ถอนหายใจ “สาวกทั้งหมดมี 111 คนที่เป็นคนในชุดดําและสี่คนในชุดแดง ตอนนี้พวกเขาตายกันหมดแล้ว”
ผู้รอดชีวิตจากการล่าสังหารของกู้จวินถูกจับทันทีที่กู้จวินสลบ แต่สาวกพวกนั้นก็เจ้าเล่ห์แสนกล พวกเขาพูดเป็นภาษาต่างโลกด้วยถ้อยคํายาวๆ จากนั้นพวกเขาก็หน้าซีดลงและสินใจไปอย่างเงียบๆ…
หลังจากที่เสี่ยป้าอธิบายข้อความทั้งหมดที่พวกเขาพูดออกมานั้น กู้จวินก็พบว่ามันคือส่วนหนึ่งของบทกวีของชายอาหรับผู้บ้าคลั่ง…. ดังนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น กู้จวินเลยเริ่มท่องเล่นๆบ้างแต่ในขณะที่ท่องนั้น ใบหน้าของเขาก็เกิดซีดอย่างกะทันหัน ลุงต้านที่มองเห็นจากไกลๆกระโดดเข้ามาห้ามกู้จวินทันทีไม่ให้เขาท่องต่อ เขาไม่อยากจะเก็บศพเพิ่มไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“หยุดซะ! จะให้จูบของฉันมันเสียเปล่าหรือไง จะให้ฉันจูบเธออีกสักกี่รอบกว่าเธอจะเลิกหาเรื่องตายแบบนี้”
กู้จวินได้ยินแบบนี้ก็เงียบกริบและไม่กล้าทําอีกต่อไป
และในตอนนี้หมาป่ากลายพันธุ์ไม่ได้มาปรากฏตัวเพิ่มอีก ทําให้สถานการณ์สงบ เสวี่ยป่าที่เห็นดังนั้นจึงเดินหน้าเข้าไปพร้อมกับถุงมือและหน้ากากรัดกุม
เขาใช้มีดทหารผ่าซากศพของหมาป่าตัวหนึ่งอย่างป่าเถื่อน ผิวหนัง เนื้อ และอวัยวะเป็นลักษณะปกติของหมาป่าทั่วไป และหมาป่าเหล่านี้เป็นเหมือนจินเมนเคนที่เพิ่งกลายพันธุ์เพียงเล็กน้อย และไม่มีร่องรอยของพลังงานผิดปกติ
หลังจากที่ลงต้านช่วยชีวิตกู้จวิน เขาก็ไปกับจางฮ่าวฮาวเพื่อชําแหละใบหน้าของเหล่าสาวกในชุดสีแดง และคําถามที่พวกเขาต้องการคําตอบก็คือ:
“ทําไมพวกเขาถึงเหมือนกันหมด?”
ใบหน้าของพวกเขาบางส่วนถูกบดขยี้โดยลูกปืน ในขณะที่บางใบหน้ายังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ไม่มีร่องรอยของการทําศัลยกรรมพลาสติกใดๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดเกิดมาในลักษณะนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ฉันรู้สึก…ว่าคนพวกนี้ล้วนมีสายเลือดเดียวกัน เหมือนกับว่าพวกเขามาจากพ่อหรือแม่คนเดียวกัน” กู้จวินกล่าวอย่างมืดมน…เขาเองก็ไม่รู้แน่ชัด
คนเหล่านี้ควรเป็นเสาหลักของลัทธิไล่เฉิง ซึ่งน่าจะเป็นการกลับชาติมาเกิดของผู้คนจากอารยธรรมต่างโลก อย่างไรก็ตามพ่อแม่ของเขาเป็นของอีกฝ่ายหนึ่งในองค์กรซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับประโยคที่เขาเพิ่งจําได้เมื่อครู่นี้ก็เป็นไปได้
ภายในบริษัทไล่เฉิง ต้องมีขั้วอํานาจที่แตกต่างกันอยู่แน่ๆ เพราะมีคนมากกว่าสิบคนที่คุกเข่าลงที่ต้นไทร แต่ที่นี่มีเพียงสี่คนเท่านั้น ในทางเทคนิคแล้ว พวกเขาทั้งหมดควรจะอยู่ที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยวรางวัลร่วมกันสิ…แต่พวกเขากลับไม่มา