ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 162
ตอนที่ 162 ฆ่าตัวตาย
เสียงเพลงกล่อมเด็กที่คล้ายกับบทสวดมนต์ได้ดังขึ้นทะลุฟ้า..มันดังไปทั่วทั้งศาลเจ้า ท่วงทํานองของบทสวดนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลัง…
มันเป็นจังหวะที่ผสมกันระหว่างความเร่าร้อนและน้ําเสียงที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย มันฟังดูไม่เหมือนบทสวดหรือบทเพลงที่สามารถร้องออกมาได้โดยมนุษย์ทั่วไป… และไม่มีมนุษย์คนใดอยากจะร้องเพลงสวดมนต์ที่มีจังหวะจะโคลนที่น่ากลัวแบบนี้
ในขณะที่บรรยากาศรอบๆนั้นเต็มไปด้วยเสียงสวดมนต์และเพลงที่น่าหวาดผวา… กู้จวิ้นก็ได้จับมีดผ่าตัดคาร์ลอตในมือของตัวเองอย่างแน่นหนา… และเขาก็เข้าไปสู่นิมิตของตนเองทันที และจังหวะนั้นเสียงสวดมนต์ และร้งเพลงโดยรอบก็เป็นเหมือนกับบทเพลงที่ส่งเขาเข้าไปสู่นิมิตอันห่างไกล…บทเพลงที่สามารถส่งตัวเขา ไปสู่อดีตและอนาคตที่อยู่เบื้องหลังของหมอกอันหนาทึบ
ทันทีที่หมอกจางลง กู้จวิ้นก็ได้นึกถึงจดหมาย มันเป็นจดหมายที่เต็มไปด้วยลายมือของภาษาต่างโลก… เพียงแต่ตัวเขาก็เข้าใจเพียงไม่กี่คําเท่านั้น มันราวกับเป็นเศษเสี้ยวแห่งความทรงจําที่เขาลืมไป… มันเป็นบันทึกประจําวันของใครบางคน
[ฉันคิดถึงวันคืนในสมัยเรียนที่สถาบันคาร์ลอตอย่างมาก ฉันใช้เวลาทั้งวันในการมุ่งเรียนแพทย์ ฉันหมกมุ่นอยู่กับวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด และนั่งอภิปรายหัวข้อต่างๆ กับเหล่าอาจารย์และเพื่อนฝูง มันเป็นเวลาที่เต็มไปด้วยความสุขแห่งวัยเยาว์ที่รุ่งโรจน์อย่างแท้จริง ฉันหวังว่าวันเหล่านั้นจะไม่สิ้นสุดแต่ตอนนี้ฉันรู้ว่า มันเป็นไปไม่ได้ ฉันต้องยอมรับด้วยความอับอาย ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนล้มเหลว]
[พลังและสติปัญญาของฉันไม่มีประโยชน์อะไรในทันทีที่เจอมหันตภัยร้ายกาจ ฉันเชื่อว่าแม้ว่าฉันจะเดินต่อไปบนเส้นทางนี้ แต่ก็ไม่มีโอกาสใดที่พวกเราจะเอาชนะสัตว์ประหลาดแปลกประหลาดเหล่านั้นได้ และพวกเราก็จะไม่มีโอกาสสานต่อความรู้ทั้งหมดที่มีให้แก่คนรุ่นหลังในอนาคต… พวเราไม่มีโอกาสแม้แต่จะเปิด เผยความจริงเกี่ยวกับชีวิตการแพทย์และช่วงเวลา พวกเราจะไม่มีโอกาสแม้กระทั่งค้นหาผู้มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้ด้วยซ้ํา… วันเวลาและการเรียนรู้ของฉันที่ทํามาตลอดตั้งแต่วันแรกที่จําความได้มันช่างเปล่าประโยชน์เสียเหลือเกิน… ฉันอับอายอย่างยิ่ง]
[บางที่ความตายอาจให้คําตอบแก่ฉันเกี่ยวกับการกอบกู้โลกนี้ก็เป็นไปได้… โปรดส่งต่อข้อความนี้ให้เพื่อนของฉัน จําไว้ทุกคนควรมีเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง อย่าหวั่นไหวเพราะการตัดสินใจของฉัน โปรดเตือนเพื่อนสนิทของฉัน [เรย์บันดี้ เพตรา] ด้วย…เขามีความสามารถมากพอที่จะครอบครองความรู้นั้นและเหนือกว่า ฉันในอนาคต อย่ายอมแพ้! แต่ฉันขอโทษที่ต้องจากไปก่อน]
ตอนนี้กู้จวิ้นสามารถมองเห็นภาพมายาทั้งหมดจากมุมมองของบุคคลที่สาม แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าเขากําลัง ประสบกับภาพลวงตาจากมมมองของบุคคลที่หนึ่ง
หรือก็คือตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนๆนั้น… และเขาก็รู้สึกว่าเขาสามารถมองเห็นตัวของคนๆนั้น ด้วยเช่นกัน… มันเป็นอะไรที่แปลกประหลาดแต่ก็ให้ความรู้สึกที่เข้าถึงได้มากกว่าเดิม
ตอนนี้ตัวของเขา… ไม่สิเป็นคนอื่น กําลังยืนอยู่บนหน้าผาริมทะเลที่ถูกทิ้งให้รกร้างมาอย่างยาวนาน บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยคลื่นลมทะเลที่หนาวและเย็นยะเยือก กลิ่นความเค็มของทะเลนั้นได้กระจัดกระจายไปโดยรอบ… แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่หนาวสั้นและเป็นธรรมชาติ รวมถึงรู้สึกใจเย็นได้อย่างบอกไม่ถูก
ลมทะเลยังคงพัดต่อไปและลมนั่นมันแข็งแกร่งมากพอที่จะซัดหน้าผาที่เขาอยู่..หรือว่าซัดซาดใส่ตัวเขาที่กําลังยืนอยู่ให้พังพินาศไปพร้อมกันได้
แต่เขายืนอยู่ ณ ที่นั่นเพียงแค่คนเดียว… และกําลังมองไปที่ขอบฟ้าอันแสนไกล ในจังหวะที่มองนั้นเขาก็มองไปยังผิวน้ําทะเลที่แม้จะสาดส่องกับท้องฟ้าด้านบนมันก็ยังกลายเป็นสีดําอยู่ดี
บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยเสียงของคลื่นธรรมชาตินานับชนิด ทันใดนั้นเองเขาก็ยกมีดผ่าตัดในมือขึ้นและวาดไปที่คอของเขาเองอย่างคล่องแคล่ว ลักษณะการปาดมีดนั้นสมบูรณ์แบบและเป็นการลงมือที่ลงตัว
ใบมีดคมๆ ตัดผ่านผิวหนังและตัดผ่านท่อลมและหลอดเลือดแดงเซฟาลิก อย่างสมบูรณ์และราบเรียบ เลือดสดๆ นั้นได้ผลิบานในอากาศราวกับดอกไม้สีแดงที่กําลังถูกลมพัดจนกระจัดกระจาย ตัวเขานั้นเต้นรําไปตามสายลมก่อนจะตกลงบนก้อนหินก้อนใหญ่
ทันใดนั้นลําคอที่ถูกคมมีดบาดจนหมดจดก็ส่งเสียงของอากาศที่เล็ดลอดดังออกมา… มันก็คือสัญญาณที่ว่าอากาศไม่สามารถเข้าไปสู่ปอดได้อีกต่อไป… แม้เขาจะหายใจต่อ มันก็เพียงได้แค่สูดอากาศเข้าไป ก่อนที่ลมทั้งหมดจะหลุดออกมาจากบาดแผลในลําคอนั้น…
เสียงดังฟูๆของอากาศที่ไหลออกจากลําคอ ทําให้คนทั่วไปอย่างเช่น กู้จวิ้นที่กําลังมองอยู่ถึงกับหวาดเสียว และจับคอของตัวเองทันทีด้วยความหวาดกลัว
ร่างกายที่อ่อนล้าร่างนั้นสั่นสะท้านหลายครั้งก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงกับพื้น เขามองลงไปที่ทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุดและพึมพําเบาๆ “ทําลาย ทําลาย…”
เขาย้ําคํานี้หลายครั้ง เลือดของเขาทําให้หินรอบๆ ตัวเขากลายเป็นสีแดงเถือกอย่างรวดเร็ว และเมื่อเอ่ยคำว่าทําลายออกไป…เขาก็เริ่มหายใจไม่ออก…
วิญญาณและร่างกายของเขากําลังกลับไปสู่ความว่างเปล่า แต่ในขณะนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างแปลกๆ ที่มาปรากฎอยู่ข้างหลังเขา เขาค่อยๆหันศีรษะที่กําลังจะแน่นิ่งไปดู
ข้างหลังของเขาห่างไปหลายก้าวมีร่างของเงาประมาณเก่ร่าง…แม้จะมีร่างกายคล้ายคนคลุมเสื้อคลุมแต่ก้ไม่อาจจะระบุได้ว่าพวกเขาคือมนุษย์ ร่างเงาของพวกเขาทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
การปรากฏตัวของร่างทั้งเก้า… ทําให้ชายคนนั้นไม่อาจจะเข้าใจได้อย่างแท้จริง หรือแท้จริงแล้วเป็นเพราะเขากําลังจะตาย ถึงได้เกิดภาพลวงตา หรือสิ่งที่เห็นนั้นมันเป็นมนุษย์จริงๆกันแน่ แน่ว่ามันอาจจะคือสัตว์ร้ายหรือไม่ก็สิ่งมีชีวิตบางจากที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน…
แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มที่จะไม่แน่ใจ… พวกเขาไม่มั่นใจว่าวิญญาณที่ปรากฏขึ้นมานั้นเป็นรูปร่างของคนจริงหรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วมันเป็นแค่วิญญาณ… หรือไม่ก็แผนสกปรกที่คิดจะทําร้ายและขัดแข้งขัดขาของเขา
“บุตรแห่งเหล็กกล้า เฟรด แลนดอน” หนึ่งในเก้าร่างเงานั้นส่งเสียงเข้มและพูดออกมาด้วยน้ําเสียงที่สงบ “ผู้เฒ่าผู้ยิ่งใหญ่ของเราได้จองที่นั่งปีศาจไว้ให้เธอแล้ว นอกเหนือจากความเข้าใจของมนุษย์แล้วยังมีความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก…มาเถอะ มาด้วยกัน”
เขาเหลือบมองภาพที่เกิดขึ้นเหล่านี้ มันเป็นราวกับการชักชวนจากปีศาจร้ายแห่งขุมนรกที่มืดมิดที่สุด
แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือแสงสว่างเท่านั้น นั่นคือลําแสงที่จะนําเขาไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริง เขาค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างไม่มั่นคง เลือดบนมีดผ่าตัดของเขายังคงหยดลงกับพื้น เขาใช้ลมหายใจสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่พูดออกมา
“ฉันอยากรู้… ความจริงเหล่านั้น”
ในขณะนั้นเองภาพลวงตาก็ระเบิดขึ้นอย่างรวดเร็วและนิมิตทั้งหมดก็แตกสลาย การหายใจของกู้จวิ้นเร่งเร็วขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่อหลอดลมของเขากําลังขยับขึ้นลงด้วยความตื่นตระหนก และหลอดเลือดสมองของเขาก็เต้นเป็นจังหวะแบบแปลกๆ ยังถือว่าแต่โชคดีที่ทั้งคู่ไม่ตายเสียก่อน
กู้จวิ้นลืมตาขึ้นมาและเขาก็ห็นว่าเขายังคงยืนอยู่ในแท่นบูชาเหมือนเดิมก็พลันแปลกใจ
หัวหน้าเสี่ยป้า ลุงต้าน หลินม่อ และคนอื่น ๆ ต่างก็อยู่รอบๆตัวเขาทั้งนั้น และคราวนี้เขาก็สามารถจําพวกเขาทั้งหมดได้อีกครั้ง
และตอนนี้กู้จวิ้นกําลังถือมีดผ่าตัดคาร์ลอตที่เคยใช้ผ่าสิ่งมีชีวิตที่ผิดปกติจํานวนมาก และมันคืออาวุธที่แลนดอนใช้ในการฆ่าตัวตาย
ร่างกายและจิตวิญญาณของเขาตอนนี้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าราวกับว่าเขาเพิ่งดื่มจากน้ําพุแห่งชีวิตมาหนึ่งแก้วเต็ม และเขาก็พบว่าความคล่องตัวของเขาได้กลับมาอีกครั้ง
สติของกู้จวิ้นที่ถูกผนึกไว้ได้กลับมาและได้เข้าร่างของตนเองเองเรียบร้อยแล้ว
ความปั่นป่วนของสนามพลังและความมืดที่แสนชั่วร้ายของบุตรแห่งความโชคร้ายถูกพลังอื่นระงับไว้
หลังจากที่กู้จวิ้นถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการกระตุ้นของภาพนิมิตและช่วยชุบชีวิตและจิตวิญญาณของเขากับมา และเขาก็รู้ว่าคนที่ทําแบบนี้คือใคร นั่นคือจิตสํานึกอันสดใสและเต็มไปด้วยความอ่อนโยนของบุตรแห่งเหล็กกล้า ราวกับว่ามันกระซิบในสมองของเขาโดยตรงว่า “อย่ายอมแพ้…ยุติความวุ่นวายซะ… เธอคือผลไม้…”
ตามความรู้สึกใหม่นี้มีภาพที่พร่ามัวไม่รู้จบอีกจํานวนมาก พวกมันรีบรวมตัวกันเป็นเรื่องราวที่ถูกเขียนด้วยภาษาต่างโลกที่ชัดเจนหลายพันตัวทันที
ความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับคาถาต่างโลกนั้นมาพร้อมกับความคิดแบบแปลกๆ แม้กู้จวิ้นแม้เจอสิ่งแปลกแบบคนอื่น แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทฤษฎีเบื้องหลังความรู้และการใช้คาถาคืออะไร
“อาจวิ้น นายคืออาจวิ้น?” เหล่าสมาชิกหน่วยนักล่าอสูรที่กําลังหวาดกลัวกู้จวิ้นเริ่มตั๋วสั่น แต่พวกช่างกล้าหาญอย่างแท้จริง! แม้ว่าจะมีเสียงสั่นของร่างกายของกู้จวิ้น พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะถอยห่าง
และพวกเขาก็เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่ากู้จวิ้นที่แท้จริงได้กลับมาหาพวกเขาแล้ว
พร้อมกันนั้นเสียงร้องโหนหวนก็ได้ดังขึ้น นอกจากร่างสีแดงสี่ร่างที่ไม่สะทกสะท้านกับความผิดปกติของกู้จวิ้นแล้ว… คนอื่นก็ต่างช่วยแลดูแลกัวนอย่างเต็มที่
ต่างกับตอนนี้ที่ใบหน้าของชายชุดดําคนอื่นๆที่อยู่รอบๆก็เริ่มบิดเบี้ยวด้วยความโหแล้ว
หรือนั่นจะเป็นที่มาของสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ถูกสลักเาไว้บนเสื้อของพวกเขา และมันก็เป็นอะไรที่มีประกายออกมา มันคล้ายกับเป็นยันต์ของอะไรบางอย่างที่ไม่น่าจะมีอย่างบนโลกใบนี้… และทันที่ที่สวดมนต์หรือร้องเพลงนี้ดังออกมา พลังของพวกมันก็จะยิ่งร้ายกาจและน่ากลัวอย่างยิ่ง
“เหล่าเทพแห่งน้ําและลมเอ่ย!! ได้โปรดให้ข้ายืมพลัง…” เสียงของกู้จวิ้นดังขึ้น… เขาพอรู้เงื่อนไขของการใช้งานที่ได้มาแล้วและรวมถึงความลับของคาถาพวกนี้ด้วย… นั่นทําให้สถานการณ์เปลี่ยนไป
หมอกสีเทาค่อยๆจางหายไป และปรากฏว่าต้นไม่ใหญ่ทุกต้นรอบๆศาลเจ้ากลายเป็นต้นไทรใหญ่ และต้นไทรนั่นมีกิ่งก้านที่บิดเบี้ยวราวกับถูกมัดเข้าด้วยกันด้วยซากต่างๆ
และมันคล้ายกับต้นไทรที่ปรากฎขึ้นในช่องว่างของหมู่บ้านคู่หรง..มันคือต้นไทรซึ่งนํามาซึ่งความเจ็บปวดของผู้คนและลางร้ายต่างๆ
แสงสีแดงอันเป็นเอกลักษ์ของศาลเจ้าเริ่มสว่างขึ้นและไหลเร็วขึ้น แสงเหล่านั้นรีบวิ่งไปที่เสาหินทั้งสี่ และพิธีบรรลุนิติภาวะ…ปลอมๆ ก็กําลังจะจบลง