ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 163
ตอนที่ 163 ทําลาย!
ทันใดนั้นหมาป่ากลายพันธุ์ก็เป็นเผ่าพันธ์แรกที่สามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในบรรยากาศ…พวกมันชะงักงัน ความกล้าหาญของพวกมันรวมถึงความดุร้ายค่อยๆจางหายไปทั้งหมดบางตัวถึงกับเอา หางไปซ่อนเอาไว้ที่หน้าท้องด้วยความหวาดกลัว…
ในขณะที่กู้จวินที่ควรจะนอนนิ่งๆอยู่เฉยๆด้วยความหมดแรงเหมือนคนอื่นกลับลุกขึ้นมายืนหยัดด้วนท่าทางที่น่าหวาดกลัว ดวงตาสีแดงของเขาและริมฝีปากอวบอิ่มกลับดูมีพลังที่ทรงอํานาจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขามองไปที่กลุ่มสาวกทุกคนของลัทธิหลังความตายหรือคนในบริษัทไล่เฉิงจากนั้นเขาก็เอ่ยปากพูดเสียงของเขา นั้นเต็มไปด้วยความมั่นคงและไม่หวาดกลัว.
“พวกคุณ… ต้องการพบ บุตรแห่งความโชคร้าย ที่พวกคุณเรียกมาจริงๆหรือ? คุณไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาเป็นใคร?”
กู้จวินเชื่อว่ามีคนไม่มากนักหรอกที่จะรู้คําตอบในเรื่องนี้…อีกอย่างหนึ่งคําว่าบุตรแห่งความโชคร้ายแท้จริงแล้วมันไม่ใช่ชื่อคน หากแต่เป็นสมญานามที่เรียกแทนตัวต่างหาก มันก็คล้ายกับชื่อเล่นของเทพองค์นั้นซึ่งมนุษย์สามัญธรรมดาไม่อาจจะรู้ชื่อจริงของเทพเจ้าได้
และอีกอย่างหนึ่งแม้พวกเขาจะรู้ว่าบุตรแห่งความโชคร้ายแท้จริงแล้วมาจากคนของอารยธรรมต่างโลก…แต่คนมีตั้งเยอะแยะ แล้วพวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่าบุตรแห่งความโชคร้ายนั้นแท้จริงแล้วเขาเป็นใครพวกเขาเองก็รับรู้ว่าทุกคนที่อยู่ในโลกใบนั้นได้สูญเสียชีวิตไปหมดแล้วเพราะการบุกของสัตว์ประหลาด…ดังนั้นการจะควาน หาอดีตของเทพจากคนตายมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
สุดท้ายก็คือความลับของเขา… ท้ายที่สุดแล้วเขามีพลังปริศนาที่ได้รับมาจากระบบซึ่งมาจากกันทะเลที่ลองกาน นี่เป็นสิ่งที่บริษัทไล่เฉิงไม่สามารถสืบค้นและค้นพบได้
ดูเหมือนกู้จวินจะพูดไม่ผิดทันทีที่พูดคําพูดนี้ออกมาเท่านั้น เหล่าสาวกทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสาวกในชุดสีดําหรือสาวกในชุดสีแดง พวกเขาต่างมองหน้ากันเองด้วยความงุนงง… เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้หรอกว่าเทพแห่งความโชคร้ายหรือว่าบุตรแห่งความโชคร้ายที่แท้จริงแล้วมันคือใครกันแน่
ใบหน้าของพวกเขาแสดงถึงความสับสน ในขณะที่บางคนก็เสแสร้งว่าตัวเองยังมั่นคงในจิตใจอยู่ กู้จวินมองหน้าพวกเขาแล้วก็ให้ความรู้สึกขบขันอย่างมาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนของลัทธิหลังความตายของบริษัทไล่เฉิงนั้นที่แท้จริงมันโง่เง่าและเบาปัญญาถึงขนาดนี้ พวกเขาสามารถจิตใจหวั่นไหวได้เพียงแค่คําพูดประโยคเดียวของจวิน
จากนั้นกู้จวินก็กวาดตามองไปทั่วใบหน้าของเหล่าสาวกตัวปลอมที่แก่ชราใกล้วัยร่วงโรย หากแต่สายตาที่มองไปนั้นมันเต็มไปด้วยความเฉยชา และเสียงเปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความชิงชังถึงขีดสุด
“ก่อนที่พวกคุณจะอัญเชิญอสูรร้าย พวกคุณได้เตรียมการเพียงพอสําหรับมันแล้วหรือยัง?”
แลนดอนเองนั้นไม่ได้ตัวใหญ่เปล่าเล่าเปลือย…เขาเองก็มีทุกอย่างเหมือนกู้จวิน ตัวของเขามียุคสมัย ตํานาน มีทั้งความรู้ มีทั้งมิตรสหาย มีทั้งอาจารย์ที่คอยดีด้วยและมีทั้งผู้คนมากมายที่เชื่อมั่นในตัวเขา
ดังนั้นแก่นแท้ที่แท้จริงของคนที่ชื่อ แลนดอน เขาไม่ได้ฆ่าตัวตายเพียงเพราะเขายอมแพ้ แต่เป็นเพราะเขาได้เห็นอะไรที่มากกว่าที่เป็นอยู่ต่างหากเขาจึงก้าวเดินไปข้างหน้าในทางที่เขาคิดว่าถูกและควร
นั่นคือแก่นแท้ของคนที่ชื่อแลนดอน…!!
ทว่า คนกลุ่มนี้กับดูหมิ่นดูแคลนเขา และคิดจะชักใยเขาดังตุ๊กตาตัวหนึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าขําหรอกเหรอ
จิตสํานึกแห่งความมืดที่ถูกระงับในร่างกายของเขากําลังเดือดและใกล้จะปะทุอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นคู่จวินต่างหากที่ปล่อยมันออกมาโดยสมัครใจ
พลังแห่งความมืดนี้เขารู้ตัวว่าไม่สามารถควบคุมได้ และมันสามารถกัดกินเขาได้ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้สึกกลัวเลย…เขาอ้าปากเพื่อท่องคาถาและบังคับเอาพลังงานแห่งความมืดในตัวไปที่ศาลเจ้า
“จงพังทลาย! ทําลาย! ทําลาย!” คู่จวินเอ่ยคําพูดนี้ซ้ําแล้วซ้ําเล่าในขณะที่เขาหันหน้าไปทางศาลเจ้าที่กว้างใหญ่ เสียงของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณ…ทําให้บรรยากาศโดยรอบน่ากลัวมากขึ้นไปอีก “ทําลาย!”
ในภาษาต่างโลก คําว่า ‘ทําลาย’ นั้นเป็นคําพ้องเสียงกับคําว่าโชคร้าย
การใช้คาถามันก็เหมือนกับการใช้คําสาป…ในขณะที่ใช้ คําสาปที่ว่าก็จะสะท้อนเข้าหาตัวของกู้จวินด้วย ดังนั้นทุกครั้งที่พูดคําว่า “ทําลาย” ความมืดมิดในจิตใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น แม้กระทั่งมองการมองเห็นของเขาก็เริ่มที่จะพร่ามัว
พลังในร่างกายของเขาค่อยๆถดถอยขึ้นไปในทุกๆที…และทั้งหมดมันก็คือค่าใช้จ่ายในการใช้คาถาแต่ละครั้ง
อาการข้างเคียงของการใช้คาถามันได้เชื่อมโยงกับความทรงจําของเขาพอดี ไม่รู้ว่ามันคือภาพที่เกิดขึ้นจริงหรือจินตนาการกันแน่ แต่เขามองเห็นซากศพที่เน่าเปื่อยและใกล้จะสลายตัว มันก็คือซากศพที่เกิดขึ้นหลังจากการชันสูตร…หากแต่ซากศพพวกนั้นไม่ได้มาจากห้องแลปหรือโรงพยาบาล แต่มันก็คือภูเขาซากศพที่อยู่ในห้องหินที่เขาเคยเห็นในภาพลวงตาต่างหาก…
จิตใจของเขาได้เริ่มบีบรัดมากขึ้น…ในขณะนั้นเองเขาได้รวบรวมสติและพลังเสียงของเขาเอาไว้ ก่อนที่จะท่องคาถาออกไป
“ทําลาย”
[ตูมมมม!!!]
แต่เสียงของเขาได้รวบรวมเข้ากับพลังแห่งความมืดในตัวที่ก่อตัวสูงดุจคลื่นยักษ์ ในเวลาเพียงชั่วครู่ทั้งศาลเจ้าทั้งหมดก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ
เสาหินทั้งสี่ที่แสนสวยงามและวิจิตระการตาก็พังทลาย ทุกคนได้ยินเสียงหวีดร้องที่หนาวเหน็บดังขึ้นมาจากใต้ดิน แม้แต่แผ่นดินเองก็สั่นสะท้าน บันไดเวียนที่สูงประมาณห้าพันเมตรจากพื้นดินที่พวกเขาเคยเดินขึ้นมา…และเป็นสถานที่เดียวกับที่เกิดการนองเลือดนั่นก็พังทลายลงหมาป่ากลายพันธ์ทั้งที่มีชีวิตเหลือรอด พวกมันต่างก็ส่งเสียงครวญครางด้วยความหวาดกลัว และพวกมันก็รีบหนีไปซ่อนอย่างรวดเร็ว
หมอกควันที่เทาจางๆ ที่ล้อมรอบศาลเจ้าก็หายไปในพริบตาใบหน้าของร่างในชุดดําและแดงทั้งหลายก็เริ่มปรากฏขึ้นมาชัดเจนมากขึ้น พวกเขาดูมีตัวตนมากขึ้นกว่าเดิม…ไม่ใช่แค่ “วิญญาณร้าย” อีกต่อไป
หากแต่เจอเรื่องแบบนี้เข้าไป พวกเขาไหนเลยจะทําใจสวดมนต์หรือว่าร้องเพลงต่อกันได้ การร่ายคาถาของกู้จวินได้ทําลายพิธีทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง… ท่าทางและพลังรวมถึงความกดดันได้แผ่ไปทั่วทุกที่ ทําให้ปากของพวกเขาไม่กล้าที่จะร้องเพลงที่น่าสยดสยองให้ระคายหูคู่จวินอีกต่อไปทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน
“ทํา…ลาย…” ร่างของกู้จวินเริ่มสั่นไหวและใบหน้าของเขาเริ่มมีสีซีดอย่างน่ากลัว
การใช้พลังสาปและการร่ายคาถาติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง… บัดนี้มันได้เรียกค่าตอบแทนของมันคืนแล้ว ทุกคําพูดทุกพลังที่เปล่งออกมาก่อนหน้านี้ มันราวกับจะดูดพลังชีวิตของคู่จวินไปทั้งหมด… นอกจากร่างกายของเขาจะสั่นไปทั่วร่างแล้ว ลมหายใจก็ติดขัดคล้ายจะเป็นลมล้มครืนได้ตลอดเวลา แต่ถึงเขาจะอ่อนแอลง แต่จิตใจ ของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความแค้นที่แรงกล้า
ในเวลานี้สมาชิกหน่วยนักล่าอสูรของเขาทําได้แต่นั่งคุกเข่าอยู่กับที่ แต่ละคนถือปืนเอาไว้อย่างโง่งม แม้จะถือปืนหากแต่พวกเขาไม่สามารถทําอะไรกับปืนได้
พวกเขาทําไม่ได้แม้กระทั่งยิงปืนสักนัดเดียว และได้แต่มองคนของลัทธิหลังความตายหรือคนของบริษัทไล่ เฉิงกําลังนั่งร้องเพลงกันอย่างเงียบๆ เวลานี้พวกเขาไม่ต่างอะไรจากหุ่นเชิดเป็นเพียงแค่รูปปั้นที่ไร้คนสนใจ
แต่ในสายตาของคู่จวินในตอนนี้ พวกเขาก็คือคนถืออาวุธ! จวินตรงเข้าไปหาเสวี่ยป้าและหยิบปืนไรเฟิลที่เขาถือเอาไว้มาเป็นของตนเอง
จากนั้นเขาก็ได้ทําสิ่งที่ใครต่อใครก็ไม่กล้าคิด…เขาได้เล็งปืนไปที่สมาชิกของบริษัทไล่เฉิงคนแรกสุด เป้าหมายของเขาคือ สาวกหลักในชุดแดงที่พูดกับเขาก่อนหน้านี้…ใช่! คนที่บอกว่าเขาเป็นแค่ภาชนะที่ว่างเปล่า นั่นแหละ!
“ทําลาย!” นิ้วชี้ขวาของเขาดึงที่ไกปืนทันที จากนั้นกระสุนก็ถูกยิงไปยังเป้าหมาย…
เสวี่ยป้า ลุงต้าน ลู่เสี่ยวหนิงและคนอื่นๆ ต่างก็อ้าปากค้างที่จู่ๆ กู้จวินลุกขึ้นมาทําอะไรแบบนี้
ในสายตาของพวกเขา กู้จวินเป็นแค่นักศึกษาแพทย์ที่เพิ่งเข้าทํางานในเฟคตาได้ไม่นาน พวกเขาเคยอ่านประวัติของกู้จวินมาผ่านๆ ตาบ้าง… ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับรู้ว่าจริงๆแล้วกูจวินก็มีความสามารถทางด้านการแพทย์ที่ดีมากคนหนึ่ง… และมันไม่ใช่ดีธรรมดา แต่มันดีในระดับที่พระเจ้ายังต้องหลีกทางให้เขาเลย แม้กระทั่ง ลุงต้านที่มีประสบการณ์มาหลายปีก็ไม่อาจเทียบกับคนรุ่นใหม่อย่างเขาได้… แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มที่เก่งด้านรักษาคนแบบนี้จะถึงกับจับปืนเป็นด้วย
ก่อนหน้านี้พกเขาได้ยินมาว่ากูจวินคือตัวสํารองของหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่ ดังนั้นเขาจึงได้รับการฝึกอบรมหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการแพทย์นอกสถานที่หรือแม้แต่การกินอยู่แบบฉุกเฉิน แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่ชายหนุ่มยังไม่ได้รับการฝึกฝนนั่น ก็คือเรื่องการใช้อาวุธ…
ความหมายของ หน่วยนักล่าอสูรที่คิดแบบนี้ก็คือชายหนุ่มไม่น่าจะยิงปืนเป็น… ถึงแม้มันจะค่อนข้างขัดกับพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของพวกเขาในตอนที่แจกอาวุธก็เถอะ พวกเขาได้แจกปืนให้แก่กู้จวินด้วยความจริงมันก็ แค่เป็นการแบ่งของที่ให้ถือเท่านั้น พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่านักศึกษาแพทย์คนนี้จะสามารถใช้ปืนมายิงคนจริงๆ ได้
แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว! เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มกําลังอยู่ในอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้น และก็ไม่มีใครห้ามเขาได้อีกต่อไป
ในขณะที่กระสุนกําลังจะไปถึงเป้าหมาย ทุกคนก็ต่างคาดเดากันไปต่างๆนานๆ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยระดมกระสุนเข้าใส่กลุ่มของบริษัทไล่เฉิงเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสาวกในชุดสีดําหรือว่าชุดสีแดง แต่กระสุนของพวกเขาที่ยิงไปก็ไม่อาจจะไปถึงร่างของคนพวกนั้น… ไม่สิ! พูดว่าไม่ถึงร่างมันก็ไม่ถูกควรจะพูดว่ามันไม่สามารถแตะต้องร่างพวกเขาได้มากกว่า
กระสุนที่ยิงทั้งหมดนั้นดุจดั่งผ่านอากาศไปเลย…. เหมือนดั่งว่าร่างกายของพวกเขานั้นแก่นแท้เป็นเพียงแค่อากาศ เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่กระสุนปืนนั้นไม่สามารถแตะต้องหรือทําอันตรายอะไรพวกเขาได้การมีตัวตน ของพวกเขาไม่ต่างอะไรจากวิญญาณหรือผี และพวกเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจากกันบึงกับสิ่งที่ไม่สามารถต่อสู้ได้
พวกเขาแม้จะเป็นหน่วยนักล่าอสูรที่เป็นหนึ่งในหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่ก็ตาม แต่พวกเขาก็คือมนุษย์! มนุษย์ตัวเป็นๆที่มีเลือดสีแดงและมีกําลังรวมถึงไม่มีพลังแสดงอภินิหารใดๆทั้งสิ้น แต่พวกเขาก็ยังคงจับอาวุธ และต่อสู้กับสิ่งที่ผิดปกติในโลกหน้าทั้งหลายทั้งแหล่เพื่อปกป้องมวลมนุษย์และความสงบสุขของประเทศ…พวกเขามีเพียงแค่จิตใจที่ไม่ยอมแพ้ก็เท่านั้น
บทสรุปของเรื่องนี้มันออกมาตั้งแต่กระสุนปืนไม่สามารถทําอะไรพวกมันได้… รวมถึงเพลงนั้นมันสามารถสะกดการเคลื่อนไหวของพวกเขาเอาไว้ได้ด้วย
ชัยชนะของพวกเขาเหมือนถูกปิดตาย!
ดังนั้นลึกๆ แล้วพวกเขาก็เตรียมพร้อมที่จะสละชีวิตแล้วเหมือนกัน… บางคนถึงขนาดคิดภาพงานศพของตัวเองที่เหมือนกับอดีตเพื่อนร่วมงานหลายคนที่ต้องตายเพราะปฏิบัติการแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
พวกเขาก็คิดว่ากระสุนของกู้จวินก็คงไม่แตกต่าง… แม้ก่อนหน้านี้กู้จวินเพิ่งจะทําลายศาลเจ้าทั้งหมดด้วยตัวเองก็ตาม
แต่เรื่องราวที่พวกเขาคิดไว้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น!
และในที่สุดกระสุนจากปืนไรเฟิลก็ถึงเป้าหมาย!
กระสุนทั้งหมดไม่ได้ผ่านร่างของคนเหล่านั้นดุจผ่านอากาศอีกต่อไป กระโหลกศีรษะของเขาแตกและเลือดกระเซ็นออกมาทันทีที่กระสุนเข้าถึง! ใบหน้าที่เหี่ยวแห้งซึ่งดูหมิ่นปีศาจและพระเจ้าก่อนหน้านี้ก็ร่วงหล่นเหมือนแมลงวันในแอ่งเลือด
การสวดมนต์และร้องเพลงที่น่ากลัวได้หยุดลง แต่กลับถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงครวญครางอันน่าสยดสยอง ทั้งหมดนี้มันทําให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากําลังประสบพบเจอกับนรกบนดิน