ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 161
ตอนที่ 161 ภาชนะ
ทุกคนในหน่วยนักล่าอสูรต่างมองไปที่กู้จวิ้นที่มีดวงตาสีเลือดด้วยความหวาดกลัว คําพูดของเขากระตุ้นความกลัวที่อยู่ในจุดลึกสุดของเหล่าสมาชิกนักล่าอสูร ดังนั้นเมื่อความกลัวกดดัน พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนและตั้งท่าที่จะจับกู้จวิ้นไว้
ในสายตาของพวกเขา ตอนนี้เด็กหนุ่มกู้จวิ้นที่เขาเคยรู้จักได้จากไปแล้ว และกลายเป็นอะไรบางอย่างที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ที่แน่ๆมันจะต้องเป็นผีห่าซาตานที่น่ากลัว
ทางฝั่งเสี่ยป้าที่กําลังยิงฝูงหมาป่าอยู่ก็หันมาเห็นสมาชิกคนอื่นๆ ที่ตั้งท่าที่จะจับกู้จวิ้น เขาก็โกนและห้ามทุกคนทันที “ปล่อยเขาก่อน!!อย่าทําเขา!”
ถึงแม้เขาจะกําลังยิงหมาป่าอยู่และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สัญชาตญาณของเขานั้นบอกว่ากู้จวิ้นน่าจะยังมีชีวิตอยู่ จิตวิญญาณของเขาต้องแอบซ่อนอยู่ในร่างกายนั้นแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงส่วนไหน
ทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก พวกเขาไม่รู้ว่าจะเชื่อหัวหน้าหรือว่าจะจับกู้จวิ้นไว้ก่อนดี
ในขณะที่สถานการณ์กาลังย่าแย่ถึงขีดสุด จู่ๆเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็ปรากฏขึ้น
แท่นบูชาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา จู่ๆก็ค่อยๆปรากฏแสงเรืองรองขึ้นมา… และแสงนั่นค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆ
ภายใต้ศาลเจ้าที่เต็มไปด้วยสีเทา แม้กระทั่งท้องฟ้าด้านบนนั้นก็เป็นสีควันบุหรี่ แสงเรืองรองที่ค่อยๆส่องออกมาจากแท่นบูชานั้นได้กลายเป็นที่สังเกตของทุกชีวิต โดยเฉพาะเหล่านักล่าอสูรที่มองแท่นบูชาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก ทันทีที่เห็นแท่นบูชากําลังจะมีชีวิตขึ้นมา พวกเขาก็หวาดกลัวจนแทบหยุดหายใจ
และทันใดนั้นเองลวดลายที่พวกเขาเห็นเป็นลายทึบเมื่อครั้งที่ออกมาจากทางลับ ตอนนี้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของแสง ทําให้มันปรากฏลวดลายออกมาอย่างสวยงาม
ทุกลวดลายดุจดั่งมีชีวิต… และมันมีลักษณะคล้ายกับเลือดที่กําลังเคลื่อนไหว ต่อให้ไม่มีใครบอกพวกเขาก็รับรู้ได้ว่าตอนนี้พลังงานที่ผิดปกติกําลังจะปรากฏขึ้นแล้ว….
ใครที่ค่อนข้างมีลางสังหรณ์หน่อย พวกเขาก็จะรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ลางร้ายแห่งความตายได้มาเยือนแล้ว! เสียงโหยหวนและเพลงแห่งความตายได้ดังขึ้น!
ทันใดนั้นพวกเขาเหมือนตกอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดมิด… กล้ามเนื้อที่แข็งแรงพละกําลังที่ยังพอมีอยู่ ก็อ่อนลงอย่างน่าประหลาด แม้กระทั่งอากาศที่พวกเขาหายใจก็ดูเหมือนเบาบางขึ้น สมาชิกหลายคนที่อ่อนแออยู่แล้ว เมื่อพบกับพลังงานผิดปกติที่วนเวียนอยู่ในบริเวณนี้ พวกเขาถึงกับคุกเข่าลงไปด้วยความเหนื่อยล้า
กู้จวิ้นเองก็หลบหนีไม่พ้น เขากําลังอยู่ในสภาพที่แปลกประหลาดและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อเจอบรรยากาศแบบนี้เข้าไปเขาก็ถึงกับชะงักงัน และอยู่ในสภาพนิ่งเงียบ ไร้ปฏิกิริยา
และราวกับพวกหมาป่าที่กําลังบุกเข้ามารับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ป่า พวกมันที่วิ่งเต็มกําลัง หมายจะเข้ามาตะครุบพวกกู้จวิ้นให้แตกดับนั้นถึงกับเบรกจนเกือบหัวทิ่ม
มันราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวทําให้ร่างกายของพวกมันหยุดเคลื่อนไหว… หมาป่าแต่ละตัวพากันถอยห่างออกจากศาลเจ้าและไม่กล้าเข้าไปอย่างสิ้นเชิง พวกมันได้แต่มองเหยื่อของมันที่กําลังตกอยู่ในสถานที่น่ากลัวแบบนั้นด้วยความคลั่งแค้น
ผู้ที่หยุดไม่ได้มีเพียงหมาป่า สาวกของบริษัทไล่เฉิงในชุดคลุมทั้งหมดก็หยุดอยู่ตรงนั้นเช่นกัน พวกเขายืนอยู่รอบๆศาลเจ้า และไม่ได้พูดอะไรอีก… มีเพียงชายในชุดคลุมสีแดงเท่านั้นที่ก้าวออกมา
เขาไปยืนอยู่ในจุดมุมอับ ทําให้ความมืดนั้นได้อาบไปทั่วร่างของเขา ทําให้ทุกคนในหน่วยสมาชิกนักล่าอสูรได้เห็นเพียงใบหน้าที่เที่ยวแห้งและร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยความมืด
“ตอนนี้ความศรัทธาของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว… รู้หรือไม่การเป็นผู้ละทิ้งความเชื่อมันก็ยังดีกว่าถูกทอดทิ้ง… ไม่ว่าท่านจะเป็นกู้จวิ้นหรือว่าเป็นบุตรแห่งความโชคร้าย….แต่บทบาทของท่านก็ไม่มีอะไรนอกจากเกิดมาเพื่อ ทําตามความปรารถนาของพวกเรา การมีอยู่ของท่านก็คือการทําให้พิธีทั้งหมดมีความศักดิ์สิทธิ์และน่าเชื่อถือ การดํารงอยู่ของท่านนั้นคือที่มาของพลัง แต่… อย่าเข้าใจผิด ท่านไม่ใช่พระเจ้าของเรา ไม่ใช่เทพที่พวกเรานับถือ แต่ท่านเป็นเพียงเทพเจ้าตัวปลอม… เป็นเพียงภาชนะที่พวกเราได้หล่อหลอมและเลี้ยงดูมาเพื่อความปราถนาของพวกเราต่างหาก” ชายใบหน้าเหี่ยวแห้งในชุดคลุมสีแดงกล่าวประโยคยาวๆแบบนี้ออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
แม้กระทั่งเสียงของเขาก็เป็นเสียงโทนต่ํา ไร้ชีวิตชีวาอย่างสิ้นเชิง… ทุกคําไม่ใช่คําถาม มันราวกับว่าทุกอย่างคือคําสั่ง… เป็นอนาคตที่ถูกกําหนดเอาไว้แล้วแน่นอนและไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
ในตอนนี้กู้จวิ้นยังคงมีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่บ้าง…เขาไม่ได้ถูกควบคุมไปเสียทั้งหมด! และคําพูดทั้งหมดที่ชายชุดแดงพูดออกมา มันก็กระทบไปที่จิตใจของเขาอย่างรุนแรงทันที…
มันทําให้กู้จวิ้นรู้สึกหมดหวัง และทันใดนั้นเขาได้รับรู้ความจริง นั่นก็คือเขาเป็นเพียงแค่มนุษย์… เขาทั้งไร้พลัง ไร้อํานาจและไม่มีความสามารถที่จะโต้ตอบพวกมันได้ มันช่างไร้ค่าอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับพลังอันน่ากลัวของเหล่าคนปริศนา
แต่คนที่โมโหรู้สึกว่าจะไม่ใช่เพียงกู้จวิ้นแค่คนเดียว…. กระทั่งพลังงานผิดปกติที่อยู่ในตัวของกู้จวิ้นก็พลัน ไม่เสถียรตามไปด้วย
และทันใดนั้นเอง ด้วยพรสวรรค์ทางด้านการคิดของกู้จวิ้น เขาได้มองภาพรวมของพิธีการอัญเชิญการบูชายัญออกทั้งหมดแล้ว…
เขารู้ต้นตอของค่า S ที่ลดลงของเขาแล้ว… แท้จริงแล้วมันไม่ใช่อารมณ์ของเขาเพียงคนเดียว คือความชั่วร้ายและความบ้าคลั่งของตัวตนที่มีชื่อว่าบุตรแห่งความโชคร้าย และเมื่อพลังนั้นได้ปะทะกับอารมณ์ของเขาเอง มันก็ทําให้ค่า S ของเขาลดลงกระหน่ําอย่างกับเทศกาลลดราคา! และเมื่อค่า S ของเขาลดลงจนถึงขีดสุด… จิตใจของเขาก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้อีกต่อไป และมันก็จะอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “ความว่างเปล่า
ในวินาทีนั้นเขาก็จะกลายเป็นภาชนะที่แท้จริง… และสามารถใช้ร่างของเขาในการอัญเชิญได้ และโอกาสที่จะประสบความสําเร็จนั้นก็จะสูงมากขึ้นอย่างเทียบไม่ได้กับการอัญเชิญปกติ
และความหมายของเพลงที่พวกเขาร้องนั้น กู้จวิ้นได้วิเคราะห์และเอามาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์นี้แล้วเรียบร้อย… มันได้ความว่า
ลูกก็คือภาชนะสําหรับการอัญเชิญพระเจ้า… เช่นเดียวกบผู้เป็นแม่ เธอเป็นเพียงแค่ภาชนะที่รองรับภาชนะ อีกที… เพราะการตั้งครรภ์ของเธอนั้นมันเปรียบได้กับการปลูกฝังสิ่งมีชีวิตตัวอื่นเอาไว้ในร่างกาย… และมันก็เป็นแบบนี้มานานหลายทศวรรษ
วันนี้หลังจากที่กู้จวิ้นเสร็จสิ้นพิธีกรรมสําหรับพิธีบรรลุนิติภาวะในศาลเจ้าแล้ว เขาก็จะหมดแรงทั้งร่างกายและจิตใจ เรียกได้ว่าสภาพของเขาอยู่ในสถานะที่พร้อมที่สุดสําหรับการเป็นร่างทรงของเทพเจ้า… และนี่ก็คือเป้าหมายของพวกเขานั่นเอง
ทันใดนั้นกู้จวิ้นก็นึกถึงนิมิตในสมัยอดีตของเขาได้… มันเป็นนิมิตเมื่อครั้งที่เขาอยู่ใต้ต้นไทรริมทะเลสาบ ชายใบหน้าแห้งเที่ยวในชุดสีแดงบอกกับเด็กชายที่กําลังนั่งอยู่ในต้นไทร…
ดูเหมือนเขาจะเปิดเผยว่าตัวเองมาจากอารยธรรมอื่นของต่างโลก เขามาเพียงจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ร่างกา ยมันเป็นของคบนโลกใบนี้
ซึ่งพวกเขาคงจะเรียกวิญญาณของคนจากอารยธรรมนั้น มาสวมใส่ในร่างภาชนะของโลกใบนี้อย่าง แน่นอน… และมันก็เป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่เขากําลังจะเจอ เขากําลังจะถูกยึดครองร่าง… และคนที่จะมาครองร่างของเขาก็คือบุตรแห่งความโชคร้ายที่จะมาถึงกําเนิดบนโลกใบนี้
เพียงแต่….คนของบริษัทไล่เฉิงไม่ได้ตั้งใจจะบูชาบุตรแห่งความโชคร้าย เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขา คือการใช้แท่นบูชานี้เพื่อระงับพลังและผูกมัดบุตรแห่งความโชคร้ายก่อนที่เขาจะลงครองร่างมาได้อย่างเต็มที่ และเข้าถึงพลังศักสิทธิ์ของตนเอง
พวกเขาจะใช้ช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอนี้ปราบปรามบุตรแห่งความโชคร้าย และควบคุมพลังของเขามาไว้ในมือ! จากนั้นสิ่งที่น่าหวาดกลัวก็จะเกิดขึ้น… คนของบริษัทไล่เฉิงจะได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ นั่นก็คือพลังแห่ง พระผู้เป็นเจ้า
ทั้งหมดก็คือเป้าหมายของบริษัทไล่เฉิง ตอนนี้กู้จวิ้นเข้าใจทุกอย่างแล้ว เหตุผลทั้งหมดที่เขาถูกทอดทิ้ง เหตุผลทั้งหมดที่บริษัทนี้จ่ายเงินให้เขามากมาย เพื่อให้เขาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข เท่านั้นยังไม่พอ บริษัทนี้ยังส่งคนมากมายมาคอยคุ้มครองเขาในตลอดหลายปีที่ผ่านมา…
พวกมันดูแลเขาประหนึ่งว่ากลัวเขาจะได้รับอันตราย ทั้งหมดก็เพราะว่าเขาคือเด็กทดลองเพียงคนเดียวที่ป ระสบควมสําเร็จ…เขาก็คือตัวทดลองที่มีค่าแก่การเป็นภาชนะและสามารถอัญเชิญเทพเจ้าได้
เป็นตัวทดลองเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถประสบความสําเร็จสูงสุดได้ถึงขั้นนี้… ในสายตาของบริษัทไล่เฉิงเขาก็คือสิ่งของที่มีค่า
ทั้งหมดนั่นก็คือแผนการที่บริษัทไล่เฉิงได้วางไว้ พวกเขาวางแผนมานานแสนนานและลงมือทําอย่างยากลําบาก…
พวกเขาเสียทั้งงบประมาณและบุคลากรมากมายเพื่อทําการตรวจสอบ และในที่สุดวันนี้ก็ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว… พวกเขาจะต้องเก็บเกี่ยว “ผลแห่งความมืด” ที่พวกเขาได้ปลูกและจัดเตรียมไว้ตั้งแต่หลายปีก่อน…เพื่อให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ผลแห่งความมืดที่จะทําคือกําเนิดขึ้นวันนี้จะทําให้พวกเขาได้พบกับชีวิตใหม่
“อา…” ทันใดนั้นกู้จวิ้นสามารถสัมผัสได้ว่าจิตสํานึกของเขากําลังจางลง จิตใจและร่างกายของเขาทั้งหมดต กอยู่ในความเงียบงัน
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะยอมจํานน!
มีใครในโลกนี้ยอมตายเพื่อจุดประสงค์ของคนอื่นด้วยล่ะ… แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมตายด้วยเรื่องพรรค์นั้นแน่… โดยเฉพาะโชคชะตาที่ต้องมอบร่างให้คนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่นด้วยแล้ว กู้จวิ้นไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
ชีวิตของเขาอุตส่าห์มีความสุข… เขามีทั้งเพื่อน มีทั้งอาจารย์และมีทั้งทีมที่แข็งแกร่ง ชีวิตของเขาอาจจะไม่ดีมาก ต่ว่ามันก็อบอุ่นและมีแต่เสียงหัวเราะ แต่ทั้งหมดกําลังจะพังทลายเพราะแผนร้ายของพวกคนชั่ว… เพราะ พวกมันทําให้เขาต้องลําบากแบกรับทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความโชคร้าย ความตายหรือแม้กระทั่งการถูกหักหลัง โดยผองเพื่อนและทีม สิ่งนี้ไม่สามารถจะให้อภัยได้… เขาจะไม่ยอมให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของพวกมัน… เขาจะต้องหยุดพวกมัน… แต่เขาจะหยุดยังไง??
ในขณะที่เขากําลังคิด… เวลาและสถานการณ์โดยรอบมันก็ไม่ได้รอให้เขาคิดแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างยังคง ดําเนินต่อไปตามขั้นตอและครรลองที่ควรจะเป็น
เหล่าสาวกของลัทธิหลังความตายหรือคนในบริษัทไล่เฉิงเริ่มทําการร้องเพลงอีกครั้ง… เสียงของพวกเขาคล้ายกับเสียงที่กําลังสวดมนต์… ทํานองของมันเต็มไปด้วยความโหยหวนราวกับส่งผีตายซากลงนรกและมันบิดเบี้ยวจนไม่น่าฟัง มันทําให้ประสาทหูของกู้จวิ้นสั่นเครืออย่างน่ากลัว
กู้จวิ้น…จําต้องใช้สติที่เหลืออันน้อยนิดครั้งสุดท้าย กู้จวิ้นพยายามเข้าครอบครองร่างกายในช่วงเวลาสั้น ๆ ด้วยความยากลําบาก เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าแพทย์ที่อยู่รอบเอวของเขา จากนั้นเขาก็หยิบมีดผ่าตัดคาร์ลอตออกมาจากกระเป๋าอย่างช้าๆ ทันใดนั้นภาพนิมิตรก็อุบัติขึ้น!