ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 160
ตอนที่ 160 พวกนอกรีต
เหล่าคนชุดดําที่เดินเข้ามาในศาลเจ้าเหล่านี้พวกเขาล้วนสวมเสื้อคลุมแบบยาว ถึงจะบอกว่าเป็นเสื้อคลุมแบบยาว แต่การออกแบบและการสร้างสรรค์เสื้อคลุมชนิดนี้นั้นมันช่างแปลกและไม่คุ้นตา… และที่สําคัญ มันไม่ใช่การออกแบบแบบแนวแฟชั่นที่ทันสมัย และมันแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ..มันแปลกจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นการออกแบบของโลกใบนี้..
อย่างไรก็ดีเสื้อคลุมยาวสีดํานี่ถึงแม้จะดูแปลกและไม่คุ้นตา แต่บัดนี้มันไม่ต่างอะไรกับของโหลตามตลาดนัด เพราะเสื้อคลุมนั้นเป็นลายรูปเดียวกันหมด และมีคนมากมายที่สวมชุดสีดําลวดลายนี้ มันคล้ยจะเป็นชุดยูนิฟอร์มของศาสนาและลัทธินอกรีตแห่งหนึ่ง
และที่มาของลวดลายของชุดนั้นมันดูคล้ายคลึงกับแผนที่อะไรบางอย่าง… และบนชุดนั่นมีภาพบางอย่างที่เหมือนกับภาพศาลเจ้าและแท่นบูชา… กู้จวิ้นนจําลายพวกนี้ได้ มันมาจากต่างโลกอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเมื่อเอามาอยู่ในตัวของคนพวกนี้ เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ต่างอะไรจากของจีนแดงที่เป็นเพียงของก็อปปี้เกรดเอ
“ยิงพวกมันซะสิ เจ้าคนไร้ค่า!! ถ้าพวกนายยังไม่สามารถโจมตีพวกมันในระยะนี้! ก็ไปเป็นเด็กขัดปืนใหม่ซะ” ลู่เสี่ยวหนิงตะโกนด้วยความโกรธจัด เธอกําลังจะพุ่งตัวไปคว้าปืนจากลูกน้อง แต่ถูกลุงต้านที่ใช้สังขารใกล้ร่วงโรยของตนเองมาหยุดเธอไว้ในนาทีสุดท้าย
เมื่อก่อนหน้านี้องค์กรเฟคต้าส่งคนมามากมาย เพื่อสืบค้นเกี่ยวกับบริษัทไล่เฉิงแห่งนี้ แต่พวกเขาก็ไม่โผล่มาให้เห็นแม้กระทั่งเงาหัว แม้กระทั่งเส้นผมสักเส้นของคนในบริษัทนี้ พวกเขายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัส… มันราวกับว่าพวกเขากําลังไล่ตามเงาที่หลบซ่อนอยู่ในม่านหมอก ไม่ว่าตามยังไงก็ไม่มีวันเจอได้อย่างแน่นอน… และพวกเขาก็คิดมาอย่างนั้นตลอด
แต่เพราะว่าวันนี้ศัตรูที่พวกเขากําลังกล่าวถึง กลับละทิ้งม่านหมอกและเดินออกมาเอง… นี่ไม่ใช่การกระทํา ที่น่าสงสัยหลอกเหรอ พวกเขากําลังวางแผนอะไรอยู่ ถ้าพวกเขาออกมา…มันไม่ได้แปลว่าพวกเขากําลังอ่อน แอกลายเป็นแกะที่รอการถูกยิงอยู่รีไร?? เมื่อไม่แน่ใจลุงต้านก็ไม่อาจจะปล่อยให้ลู่เสี่ยวหนิงออกไปหาเรื่องอีกได้
ตอนนี้สถานการณ์ยังคงย่ําแย่…เพราะมีศัตรูถึงสอ
งฝ่ายที่ต้องจัดการ ในฐานะที่เสี่ยป้าเป็นหัวหน้าอยู่ เขาก็ออกคําสั่งทันที เขาแบ่งคนไปจัดการฝูงหมาป่าในขณะที่เขาให้คนใกล้ชิดนั้นลองเล็งไปที่คนชุดดําและแดงดู…
ทว่า…พวกเขาแม้จะยิงหมาป่าได้แบบไม่ขาดตกบกพร่อง และทุกนัดที่ยิงพวกมันหนึ่งตัวล้วนต้องล้มตาย ไม่ใช่สําหรับการยิงคนในชุดสีดําแบบนี้… ทุกครั้งที่ยิงกระสุนจะค่อยๆเคลื่อนผ่านตัวพวกเขาและก็หายไปในอากาศ
กระสุนไม่อาจหยุดยั้งการเดินเข้ามาของพวกเขาได้ พวกเขาหลายร้อยคนค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ศาลเจ้าจากทั้ง 4 ด้าน และแต่ละกลุ่มคลับคล้ายคลับคลาว่ากําลังปกป้องบุคคลคนหนึ่งอยู่ ซึ่งคนคนนั้นอยู่ในชุดสีแดง… และคนในชุดสีแดงนั้นแม้จะถูกลูกกระสุนปืนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันราวกับว่าเขาคงกระพันสามารถโจมตีได้ไม่ว่าใช้อาวุธอะไรก็ตาม
“พระเยซูโปรดช่วยพวกเราให้พ้นจากผีเหล่านี้ด้วยเถิด..” หลินม่ออธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างรวดเร็ว…เขาเปลี่ยนจากนักแม่นปืนชํานาญการกลายเป็นสาวกแห่งศาสนาอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งก็คงเพราะเขานั่งอยู่บนเปลหามคนเดียว และตัวเขาไม่สามารถวิ่งได้แม้ว่าเขาจะต้องการก็ตาม ดังนั้นมันจึงทําให้เขายิ่งหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก เพราะเขาไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็น “ตัวอะไร” เขาไม่สามารถบอกได้ว่านี่เป็นภาพลวงตาหรือเป็นวิญญาณ และนั่นก็ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของพวกเขาอย่างมาก
จากนั้นใบหน้าที่เที่ยวแห้งและไร้ความรู้สึกก็ขยับริมฝีปากที่แตกระแหงและเหี่ยวแห้งไปพร้อม ๆ กัน “กู้จวิ้น! เปิดตาของเธอ และดูสิว่าเธอเห็นอะไร? เธอกําลังทําอะไร? เธอพอจะจําได้ใช่ไหมว่าพวกเขาเป็นอะไรกับเธอบ้าง??”
เสวี่ยป้าและคนอื่น ๆ ที่กําลังยิงและต่อสู้เมื่อได้ยินเสียงนี้พวกเขาก็รู้สึกสับสนไปด้วย พวกเขาพยามมองกู้จวิ้นและส่งเสียงเรียกแต่ก็ไร้ประโยชน์
มันราวกับว่าเพลงกล่อมเด็กนั้นได้เข้าไปสู่ร่างกายและจิตวิญญาณ รวมถึงจิตใต้สํานึกของกู้จวิ้นเรียบร้อยแล้ว และมันได้ควบคุมร่างกายจิตใจของเขาทั้งหมด…ซึ่งก็ไม่ผิดนัก เพลงกล่อมเด็กที่ว่านั้นได้กลายร่างเป็นเหมือนสว่านที่มองไม่เห็นจริงๆ มันได้เจาะเข้าไปตั้งแต่จิตสํานึก จิตใต้สํานึก ความทรงจําและอีกหลายๆอย่าง ทําให้ความคิดแปลกๆ ที่ไม่แม้แต่จะทราบที่มาได้ประทุไหลออกมาราวกับท่อน้ําแตก
กู้จวิ้นพยักหน้า เขารู้สึกว่าใบหน้าพวกนี้ เขาเหมือนจะคุ้นตาอยู่
เสียงลึกลับนั่นเต็มไปด้วยความพอใจ มันพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงที่อ่อนโยน “เธอรู้จักพวกเขาเหรอ เธอก็บอกชื่อของพวกเขาออกมาที่ อยากรู้ว่าเธอจําชื่อพวกเขาได้ไหม?”
ทันใดนั้นเนื้อสมองของกู้จวิ้นที่อยู่ในกะโหลกศีรษะก็เริ่มขยายตัว… และผลก็คือมันทําให้สมองของเขานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มันราวกับว่าสมองของเขากําลังจะถูกตีจนเละ มันปวดจนทําให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างไม่อาจจะควบคุมได้… และด้วยความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะต้านทาน ทําให้กู้จวิ้นรู้สึกว่าตัว เขานั้นได้สูญเสียการควบคุมร่างกายของตัวเองไปแล้ว
จากนั้นเขาก็หมุนศีรษะของตัวเองไปมาราวกับหุ่นกระบอกที่ไร้ชีวิตและมองดูใบหน้าของเพื่อนร่วมทีมที่แสนจะคุ้นตาทั้งหลาย จากนั้นเขาก็เริ่มเอ่ยชื่อออกมาทีละคน
หัวหน้าเสวี่ยป่า…ลุงต้าน ลู่เสี่ยวหนิง หลินม่อ จางฮ่าวฮาว หยางเฮ่อหนาน โจวอี้ เกาหมิงเผิง และ… และ…??
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขาสามารถจําชื่อได้เพียงแปดคนนี้เท่านั้น ส่วนชื่อของอีกแปดคนนั้นมันช่างเหลือพร่ามัวและราวกับว่ามันไม่สําคัญ
เมื่อคําว่าไม่สําคัญโผล่ขึ้นมาในหัว ใบหน้าของพวกเขาที่เหลือก็ค่อยๆ ถูกดูดและจางหายไปในพื้นหลัง ชื่อของพวกเขาหายไปพร้อมกับการดํารงอยู่ของพวกเขา…และกลายเป็นผู้ถูกทิ้งและถูกลืมในที่สุด
“คนเหล่านี้เคยมีอยู่จริงหรือไม่? แล้วเธอเองล่ะ…กู้จวิ้นเธอน่ะมีอยู่จริงหรือไม่? เปิดตาของเธอซะ” คําอัญเชิญอันเยือกเย็นได้แทงทะลุจิตวิญญาณของเขาอีกรอบ ดวงตาของกู้จวิ้นมองไปมาอย่างไร้จุดหมาย
หัวหน้าเสี่ยป้า…ลุงต้าน ลู่เสี่ยวหนิง หลินม่อ จางฮ่าวฮาว หยางเฮ่อหนาน โจวอี้ เกาหมิงเผิง… แล้วคนเหล่านี้เป็นใคร? คุณคือใคร? ฉันเป็นใคร?
รู้หรือไม่ว่าชื่อคืออะไร… มันไม่ใช่แค่ตัวอักษรหรือประโยคธรรมดาที่เอาไว้ใช้เรียกบุคคล แต่มันคือตัวแทนของทุกสิ่งของบุคคลผู้นั้น
ชื่อนั้นมีพลังโดยธรรมชาติ พวกมันเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณและการดํารงชีวิตอยู่ของบุคคล
แม้กระทั่งปีศาจ… เรื่องเล่าโบราณว่ากันว่า หากผู้ใดสามารถหยั่งรู้ชื่อของปีศาจได้ ก็จะสามารถควบคุมปีศาจตัวนั้นเอาไว้ในกํามือ ในทางกลับกันปีศาจตนใดไม่มีชื่อ พวกมันก็จะถูกลืมเลือนและหายไปในที่สุด
ดูอย่างหมูที่อยู่ในโรงฆ่าสัตว์สิ พวกมันมีชื่อเล่นหรือไม่ พวกมันมีชื่อเรียกที่แท้จริงไหม พวกมันมีชีวิตอยู่ เพียงแค่เป็นอาหารของมนุษย์ ไม่จําเป็นต้องมีชื่อเรียกแต่อย่างใด… ทันที่ที่พวกมันตายไป มีใครสักคนหรือไม่ที่จะคิดถึงการตายของมัน… ไม่มีหรอกก็เพราะพวกมันไม่มีชื่อ
ในทางกลับกันเมื่อผู้คนมีชื่อ… แต่กลับถูกลืม ความเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์และความทรงจําที่กู้จวิ้นมีต่อคนผู้นั้น เขาก็รู้สึกว่ามันกําลังขาดหายและถูกลบเลือนไป จิตใจของเขากําลังค่อยๆ ถูกแยกออกจากโลกใบนี้ และคืนสู่ความเหงาหงอยที่อยู่ภายในความมืดมิดเพียงลําพัง… มันราวกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน และเขาไม่ได้เกิดมาบนโลกนี้
ในขณะที่กําลังหวนคืนสู่ความว่างเปล่า นิมิตแปลกๆอื่นๆที่เขาเคยพบมาตั้งแต่อดีตก็เริ่มปะทุขึ้น ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เมื่อเขาได้รับตอนที่อยู่ในอุโมงค์ก่อนหน้านี้ได้กลับคืนมา และทันใดนั้นเองเสียงพูดที่เยือกเย็นนั้นก็กําลังพยายามดึงอะไรบางอย่างออกจากร่างกายของเขา
จากนั้นเสียงคํารามของสัตว์ร้ายหรือว่าหมาป่าหน้าตาแปลกๆ แบบนั้นรวมถึงเสียงปืนที่เคยยิงพวกมันก็ได้จางหายไป สิ่งที่เหลืออยู่คือเสียงจากเหล่าผู้คนของบริษัทไล่เฉิงที่ต่างตะโกนพร้อมกันด้วยน้ําเสียงที่ประสานกันอย่างน่ากลัวว่า “ลืมตาขึ้นซะ!!”
“อาจขึ้นตื่น!” เสียงของเสวี่ยป้าที่กําลังตะโกนอย่างร้อนใจก็ได้ดังขึ้น เขาตะโกนอย่างต่อเนื่องและพยายามของกู้จวิ้นด้วยความเป็นห่วง “ชื่อของเธอคือ กู้จวิ้น เธอมีอยู่จริง!”
แม้แต่ลุงต้านก็ยังตะโกนใส่เขา “อาจวิ้น!! ฟังฉันนะ”
“ทําไมเสียงของพวกเขาถึงฟังดูนุ่มนวลจัง? นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ? คนพวกนี้มีชีวิตจริงๆ เหรอ??’ กู้จวิ้นได้ยินเพียงเสียงของสมาชิกสองคนนี้เท่านั้น ส่วนคนอื่นๆได้จางหายไป ซึ่งเสียงของพวกเขาก็หายไปพร้อมกับตัวตนของพวกเขาด้วย
ไม่ใช่ว่ากู้จวิ้นไม่ได้ต่อต้านพลังที่ชั่วร้าย แต่เสียงเพลงนั้นได้ฉีกจิตวิญญาณของเขาเป็นชิ้น ๆ และมันได้ไปปลุกฝันร้ายภายในร่างกายของเขาอย่างรุนแรง เขาเคยฟังเพลงนี้เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กหรือ?…เขาอาจจะเคยฟังตั้งแต่ก่อนหน้านั้น!!
กู้จวิ้นรู้สึกเหมือนว่าตนเองถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งถูกฝันร้ายกลืนกินไปแล้ว มันทําให้เขานึกถึงตัวเองที่ยังอยู่ในช่วงของเยาว์วัยซึ่งตัวเขาถูกวางไว้ในโพรงต้นไทร และเสาทั้งสีรอบศาลเจ้าก็ปากฎขึ้นอย่าง กะทันหัน หรือบางทีเสานั่นอาจจะล้มลง…และกลายเป็นภาพหลอน… ไม่ก็กลับเข้าสู่ความว่างเปล่าเงียบงัน..
ในเวลาเดียวกันที่โลกแท้จริง ลุงต้านเป็นแพทย์แน่นอนว่าเขาคือบุคคลที่ไม่มีอาวุธและตอนนี้เขาก็กําลัง เห็นดวงตาของกู้จวิ้นกําลังกลายเป็นสีเลือด เส้นเลือดในดวงตาของกู้จวิ้นทําให้เขานึกถึงลวดลายสีแดงเข้มบนก้อนหินเมื่อก่อนหน้า
ในขณะที่พวกเขากําลังคิดกันอยู่นั้นเอง ใบหน้าของกู้จวิ้นนั้นก็เปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึกและปราศจากอารมณ์ทันที!
“พวกนอกรีตที่แสนสกปรก…” เสียงเข้มและแหบแห้งได้ดังขึ้นจากปากของเด็กหนุ่ม มันฟังดูแตกต่างไปจากกู้จวิ้นตามปกติอย่างสิ้นเชิง ดวงตาที่แดงก่ําของเขาจับจ้องไปที่คนในชุดแดงคนหนึ่งด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึกอย่างมาก
และผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะแตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างแท้จริง
บัดนี้ลุงต้านและคนอื่นๆ ก็เห็นว่าลวดลายของเสื้อคลุมของชายคนนี้ที่สวมใส่นั้นมันดูแตกต่างจากคนอื่นอย่างแท้จริง เพราะมันดูบิดเบี้ยวและลวดลายเยอะมากขึ้นจน…หากใส่ออกไปข้างนอกสุนัขคงเห่าและวิ่งไล่ตาม
แต่อย่างไรก็ตาม…พวกเขาไม่รู้ว่ากู้จวิ้นกําลังพูดอะไรกันแน่ เขาหมายถึงอะไรโดยผู้ละทิ้งความเชื่อของศาสนางั้นหรือ? อย่างไรก็ตามในตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามั่นใจ พวกเขาไม่ได้อยู่กับกู้จวิ้นหมอหนุ่มผู้ชาญฉลาดที่พวกเขารู้จักอีกต่อไป และพวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างของกู้จวิ้นนั้นถูกบุคคลอื่นเข้าครอบงําโดยสมบูรณ์แล้ว