ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 159
ตอนที่ 159 เสียงเพลง
หน่วยนักล่าอสูรทั้งหมดราวกับติดอยู่ในภาพลวงตาแห่งความฝัน… พวกเขาดูเหมือนจะเดินวนไปวนมาอยู่ในที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ทั้งๆที่จริงแล้วพวกเขานั้นได้ขยับไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นด้านนอกหรือด้านในแม้แต่ออกจากศาลเจ้าเข้าไปในป่าเพื่อไปยังหมาป่า… และสุดท้าย…พวกเขาก็พบว่าพวกเขายังอยู่ในศาลเจ้าเหมือนเดิมโดยที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายไปไหนเลย
นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก!
แต่เมื่อคิดถึงความจริงเรื่องที่ว่าเขาสามารถยิงปืนได้ สามารถสังหารหมาป่าได้หรือแม้แต่ส่งลูกกระสุนให้พุ่งไปข้างหน้าได้ บางทีมันอาจจะไม่ใช่ปัญหาเรื่องของพื้นที่หรือสถานที่ แต่มันเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะหลงติดอยู่ในเวทมนตร์หรือกลลวงทางจิตวิทยาบางอย่าง
เมื่อรับรู้ได้ถึงเล่ห์กล เสวี่ยป้าก็หน้าเคร่งขรึมทันที จากนั้นเขาก็สั่งให้ทีมทั้งหมดถอยเข้าไปในบันไดเวียนโดยด่วน เวลาสถานการณ์เริ่มแปลกขึ้นทุกที เขาไม่อาจจะให้ลูกน้องเดินหน้าไปแบบมั่วชั่วได้ ไม่งั้นเกิดอันตรายขึ้นมาจะไม่คุ้ม
“ทุกคน ถอยกลับเข้าไปที่ทางลับในห้องบันไดเวียน เร็ว! ไปเดี๋ยวนี้” เสวี่ยป้าออกคําสั่งให้ทั้งที่มปฏิบัติทันที
บรรดาลูกทีมเองก็ตกใจปนหวาดกลัวเหมือนกัน…เพราะพวกเขาเองก็สังเกตได้ถึงสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป รวมถึงการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาด… มันคล้ายกับว่าที่ผ่านมานั้นมันเป็นแค่ความฝัน เรื่องการเดินออกไปนอกศาลเจ้าและการยิงหมาป่าเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่เรื่องโกหก…
ทว่า…ร่องรอยดินปืนจากปืนเองและซากศพของหมาป่าที่อยู่รอบๆนั้นมันก็ย้ําเตือนพวกเขาได้อย่างดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง
ลูกทีมทั้งหมดตอบรับด้วยน้ําเสียงที่แผ่วเบาก่อนที่จะรีบวิ่งไปที่ทางลับทันทีพวกเขาตั้งใจที่จะหลบเข้าไปหลังแท่นหินนั้นแล้วไปหลบอยู่ในห้องบันไดเวียน เพื่อตั้งสติก่อน… แม้จะรู้ว่าในนั้นเองก็ไม่ปลอดภัยก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังได้พักหายใจมากกว่าอยู่ในศาลเจ้าลึกลับนี่
ทว่าสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็ได้บังเกิดขึ้น!
“หัวหน้าครับ…ทางลับหายไปแล้วครับ ไม่มีทางลับอีกแล้ว ทํายังไงต่อดีครับ??” สมาชิกคนหนึ่งเมื่อเห็นว่าทางลับหายสาบสูญไปราวกับมันได้ระเหยขึ้นฟ้าไปแล้ว เขาทั้งตกใจใจและหวาดกลัวจนแทบเสียสติ เขาหันกลับมาหาหัวหน้าเสวี่ยป้าทันทีเพื่อถามความเห็น
ประสบการณ์ทั้งหมดให้ความรู้สึกเหนือจากความจริง ราวกับว่าพวกเขาฝันอยู่ และพวกเขาตบตีตัวเองออกมาเพียงเพื่อจะพบว่าตัวเองติดอยู่ในความฝันอื่นอีกรอบ
และตอนนี้เองที่เหล่าหน่วยนักล่าอสูรได้รับรู้ความจริงที่แสนจะเศร้า… พวกเขาได้รับรู้ถึงข้อจํากัดของความสามารถทีมหน่วยนักล่าอสูร… และข้อจํากัดขององค์กรลึกลับอย่างเฟคต้าแล้ว นั่นก็คือเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่สามารถใช้พลังงานที่ผิดปกติ… พวกเขาไม่สามารถสู้มันได้เลย เพราะพวกเขานั้นไม่มีพลัง! ความอ่อนแอ..มันคือความผิดบาป!!
“หรือว่า..มันจะเป็นเพราะเพลงแย่แล้ว เพราะเพลงแน่ๆ” เสวี่ยป้าตะโกนบอกทุกคนด้วยน้ําเสียงอันดังจน คอแทบแตก
จากนั้นเขาและบรรดาลูกทีมก็สํารวจบรรยากาศรอบๆทันที…. และสิ่งเดียวที่พอจะโยนความผิดนี้ไปให้ได้มันก็คือเสียงเพลง… มันจะต้องเป็นเสียงเพลงที่น่าขนลุกนี้แน่นอน พวกศัตรูน่าจะใช้เสียงของเพลงเพื่อที่จะสะกดจิตสะกดใจของพวกเขาเพื่อที่จะควบคุมจิตวิญญาณและร่างกาย…
เพราะนอกเหนือจากสาเหตุนี้แล้วมันก็ไม่มีสาเหตุอื่นอีก ในฐานะหัวหน้าทีมเสวี่ยป้าตัดสินใจสั่งการทุกคนทันที โดยที่ไม่ต้องกลั่นกรองหาเหตุผลหรือหาข้อสมมติฐานมาอ้างอิงใดๆทั้งนั้นอีก
“ทุกคนอย่าสนใจเพลง! รีบเมินเฉยมันซะ ไม่ก็หันไปสังเกตอย่างอื่นแทนอย่าได้จดจ่ออยู่กับเพลงอีก มันเป็นกับดัก!!”
ทุกคนเมื่อได้ยินคําสั่งของเสวี่ยป้าก็รีบทําตามทันที
แต่แน่นอนว่าพูดมันง่าย แต่การทํานั้นมันยากเหลือแสนพวกเขาจะสามารถไปโฟกัสอย่างอื่นได้อย่างไร ในเมื่อเสียงเพลงมันดังก้องเข้าหูขนาดนี้
แต่มันก็เป็นความจริงที่พวกเขาไม่รู้อะไรเลย…พวกเขาไม่รู้ทั้งเนื้อหาของเพลง… ไม่รู้ความหมาย.. ท่วงทํานองนี้ก็แปลกอย่างมาก… และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเพลงนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไรด้วย
แต่อย่างเดียวที่รู้ก็คือท่วงทํานองแต่ละจังหวะของเพลงนั้นมันเหมือนกับการดึงดูดวิญญาณของพวกเขาออกมา… มันราวกับว่าพวกเขากําลังฟังเพลงโปรดที่สามารถดึงดูดจิตใจของพวกเขาไปได้ทั้งหมด…แต่
ปกติแล้วผู้ชายโตเต็มวัยหรือว่าผู้หญิงที่อยู่ในวัยสาว มีใครกันบ้างที่จะติดใจเพลงกล่อมเด็กที่ยึดยาวแบบนี้จนตกหลุมรักในทํานองของมัน….
ไม่มี… และพวกเขาเองก็ไม่ได้ชอบเพลงกล่อมเด็กด้วย…
คนอื่นเป็นยังไงไม่รู้… แต่กู้จวิ้นรู้สึกว่าเขาอาการแย่สุด
ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะพลังจิตวิญญาณที่สูงส่งของเขาหรือว่าความเข้าใจในภาษาต่างโลกของเขาที่สูงล้ําเหนือคนอื่นกันแน่ ถึงได้ทําให้เขาได้รับผลกระทบจากเพลงนี้มากที่สุด
แต่ก็อย่างหนึ่งที่ค่อนข้างตรง เสวี่ยป้านั้นทายถูก… พวกเขาทุกคนกําลังตกอยู่ในมนต์สะกดของเพลงนี้นี่เอง
แต่ว่าทุกคนนั้นได้รับผลกระทบเพียงเบาบาง และมีเพียงคู่จวินเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากเพลงมากที่สุด จนทําให้ถึงกับเกิดภาพหลอนปรากฏขึ้นในจิตใจเลยด้วยซ้ํา
ในจิตวิญญาณของเขานั้นเขารู้สึกว่าได้ยินเสียงเพลงที่โหยหวนนั้นฟังดูนุ่มนวลและชัดเจนมากขึ้น
“ฝันร้ายนั้นรุนแรงขึ้นทุกวัน…ราวกับรอว่าจะอุบัติขึ้นมาบนโลก”
“แม่…แม่ผู้เสียสละที่ยิ่งใหญ่กําลังครุ่นคิดอยู่วันแล้ววันเล่า ว่าร่างกายของเธอจะเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ หรือเมล็ดพันธุ์แห่งปีศาจที่ตายแล้วได้หรือไม่”
“ความคิดถึง ความเศร้าโศกของผู้เป็นแม่”
“การกําเนิดของชีวิต ไม่สามารถแยกออกจากความเจ็บปวดได้”
“ความคิดถึง ความสงบของแม่”
“การกําเนิดของชีวิต ไม่สามารถแยกออกจากความเจ็บปวดได้”
“การกําเนิดของชีวิตไม่สามารถแยกออกจากความเจ็บปวดได้” กู้จวิ้นฟังเพลงนั้นและเผลอพึมพําโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นภาพหลอนที่ริบหรี่เลือนลางทั้งหมดก็เข้าสู่สายตาอย่างเต็มกลัง
พวกมันไม่ได้ดูเหมือนภาพหลอน แต่มันคล้ายกับความทรงจําที่ถูกกักเก็บมาอย่างยาวนานและถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง!
ศาลเจ้านี้ กู้จวินเริ่มจําได้แล้ว นี่คือสถานที่ที่คนในลัทธิที่มีอารยธรรมแบเดียวกับต่างโลกใช้สําหรับประกอบพิธีการบรรลุนิติภาวะ
อุโมงค์หินที่เชื่อมกับทางลับของศาลเจ้า ห้องหิน บันไดเวียน ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพิธีนี้
ว่ากันว่านี่คืออารยธรรมพิธีกรรมของมนุษย์ต่างโลกที่สร้างขึ้นเพื่ออาจเอื้อมไปหาพระเจ้าบนสวรรค์ ผู้คนในอารยธรรมต่างโลกเชื่อว่าเทพธิดาแห่งชีวิตได้จัดเตรียมทุกสิ่งผ่านแผ่นดินใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาแล้ว
อุโมงค์หินนับหมื่นก้าวนั้นคือตัวแทนของการลงมาสู่อ้อมกอดของเธอ การเข้าไปในห้องหินก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการหวนคืนสู่ครรภ์มารดา และการเดินขึ้นบันไดเวียนก็เป็นเหมือนกับการจําลองกระบวนการเกิดใหม่
และการพังของบันไดเวียน รวมถึงข้อห้ามในขณะที่ลงหรือขึ้นบันไดเวียนก็มีอยู่เช่นกัน การผลักแท่นบูชาออกจากกันก็เป็นส่วนหนึ่งของพิธีเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความยากลําบากในการกําเนิด
บันไดหินที่โยกเยกได้ง่ายและเปราะบางเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเปราะบางของมารดาในช่วงคลอดบุตร
และเป็นการต้อนรับชีวิตใหม่ที่กําลังถือกําเนิดออกมาด้วย ในขณะเดียวกันการถือกําเนิดก็ทําให้มารดาได้รับบาดเจ็บ เพลงนี้ถูกขับร้องโดยชายหนุ่มและหญิงสาวในระหว่างพิธีบรรลุนิติภาวะจนกระทั่งพวกเขาเสร็จสิ้นพิธีกรรม
“แต่ทําไมฉันถึงรู้เรื่องทั้งหมดนี้” กู้จวินเริ่มสับสนอย่างมาก ทําไมรู้สึกเหมือนฉันเคยเข้าร่วมในพิธีนี้ด้วยตัวเองมาก่อน? มันมาจากวัยเด็กของฉันหรือไม่นะ??”
เสียงหอนของสัตว์ร้าย เสียงปืนที่ดังลั่น และเสียงร้องเพลงที่ทะลุออกมาจากหมอกปะปนกันไป ราวกับเป็นคณะนักร้องประสานเสียงที่แปลกประหลาดราคาถูก…
และทันใดนั้นในห้วงคิดของคู่จวินที่กําลังสงบเยือกเย็นก็มีการเรียกที่เยือกเย็นและทรงพลังปรากฏขึ้น
และเสียงนี่ดังมากจนแม้แต่เสวี่ยป้าที่กําลังระแวดระวังและเหล่าสมาชิกนักล่าอสูรคนอื่นๆ ก็ได้ยินชัดเจน เสียงนั่นกําลังร้องเตือนกู้จวิ้นที่กําลังเงียบอยู่คนเดียว!
“กู้จวิน! เปิดตาของเธอซะ มองไปรอบ ๆ ตัวเธอเร็วเข้า ลืมตาขึ้นสิ” เสียงเรียกนี้ดึงกูจวิ้นที่กําลังเข้าสู่ห้วงแห่งความสงบให้ตกใจขึ้นอย่างกะทันหัน
ในเวลาเดียวกันหลังจากการเรียกคู่จวิน คนชุดดําก็เดินออกจากหมอกรอบๆ ศาลเจ้าเข้ามาด้านในศาลเจ้าโดยทันที พวกเขาเดินเข้ามาจากคนละทิศคนละทาง แต่การเดินนั้นราวกับเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างน่าประหลาด
เมื่อเห็นสิ่งนี้แล้วยังยืนนิ่งได้อยู่ก็ประหลาดคนแล้ว รู้ไหมอะไรคือความหมายของการจู่โจม… การจู่โจมหมายถึงการโจมตี และหน่วยจู่โจมก็หมายถึงหน่วยที่รับหน้าที่ในการจู่โจมหรือการโจมตีศัตรูนั้นเอง
และอะไรคือการโจมตีที่ถูกต้อง… เหล่าหน่วยนักจู่โจมในหน่วยนักล่าอสูรได้เรียนมาแล้วเป็นอย่างดี การโจมตีที่ถูกต้องนั่นก็คือการเปิดตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม!
หน่วยจู่โจมของหน่วยนักล่าอสูรไม่รอช เขาหยิบปืนไรเฟิลขึ้นมาจากนั้นก็ลองยิงไปที่คนชุดดําที่กําลังเดิน เข้ามาทันที… เสียงของกระสุนดังลั่นและผ่านอากาศทะลุไปยังร่างของเหล่าคนชุดดําและกระสุนนั้นก็ได้หายไปในสายลม..
นอกจากเสียงการยิงแล้วไม่มีเสียงอื่นใดเล็ดรอดออกมาอีก ไม่มีแม้กระทั่งเสียงกรีดร้องหรือเสียงทะลุของกระสุนที่เข้าไปในเนื้อใน… มันเงียบราวกับว่ากระสุนนั้นไม่สามารถแตะต้องตัวของพวกเขาได้….มันราวกับว่าเขานั้นกําลังยิงใส่ภาพลวงตา
และอย่างที่บอกว่าที่ศาลเจ้านี้ไม่ได้มีสิ่งมีชีวิตหรือศัตรูแค่ชนิดเดียว… นอกจากคนชุดดําและคนชุดแดงแล้ว หมาป่ามันก็ยังไม่ได้หมดฝูง มันยังคงจ้องมาทางพวกเสวี่ยป้าอย่างไม่วางตาและทําท่าเหมือนจะฆ่าฟันพวกเขาให้ได้และมันจะไม่ยอมหยุดถ้าพวกเขาไม่ตายทั้งหมด
สิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือหมาป่าพวกนี้มันเลือกที่รักมักที่ชัง มันไม่มองคนชุดดําและคนชุดแดงแม้แต่น้อย สิ่งที่พวกมันจ้องมองมีเพียงพวกของเสวี่ยป้าที่ยืนอยู่ตรงนั้นเท่านั้น
การจ้องมองจากหมาป่าและความกดดันที่เกิดขึ้นโดยรอบ รวมถึงคนชุดดําและคนชุดแดงที่เดินมาอยู่ตลอด ทําให้เสวี่ยป่า โจวอี้และนักแม่นปืนคนอื่นในทีมนักล่าอสูรเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
พวกเขาไม่รอช้ารีบไปหากระสุนปืนมาเติมโดยเร็ว พวกเขาก็ตั้งลํากล้องเตรียมปืนเพื่อเตรียมโจมในกรณีที่คาดไม่ถึง… และทันใดนั้นพวกเขาก็ได้พบกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่มากนั่นก็คือ กระสุนปืนของพวกเขามันเหลือน้อยเต็มที่แล้ว
ในขณะที่ทุกคนกําลังเช็คกระสุนปืน
เสียงเรียกก็ยังคงดังอยู่และกู้จวินที่กําลังลืมตาแต่ยังไม่ตื่นจากภวังค์นั้น… เขาก็ได้ยินเสียงนี้อีกรอบ
“กู้จวิน เปิดตาของเธอแล้วมองไปรอบ ๆ และดูว่าเธอเป็นอย่างไร ??”
และในขณะนั้นคนในชุดสีดําก็ค่อยปรากฏตัวขึ้นจากหมอกและเดินเข้าไปใกล้ศาลเจ้า ในเวลาเดียวกันนั้นเองคนของหน่วยนักล่าอสูรก็เต็มไปด้วยความตกใจ
“ทุกคน…ดูสิ คนพวกนี้มีหน้าตาเหมือนกัน…”