พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 32 ถึงจุดแตกหัก
สามสิบสอง
ถึงจุดแตกหัก
เป็นแบบนี้ต่อเนื่องมาสองวันแล้ว เหลืออีกเพียงสามวันก็ถึงงานเลี้ยงฉลองพิธีสวมกวานของจี้ชิง ฉินต้าเซิ่งอี๋ยินก็สูญหายไป ท่านเซียนอู่หลิงกับท่านตันชิวโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ สั่งการให้จี้หลิงอู้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ชัด และต้องหาร่องรอยของฉินต้าเซิ่งอี๋ยินให้ได้
สมาชิกจัวลู่ทุกคนต่างกระวนกระวายกับการรอคอยให้ซ่งฉือฟื้นขึ้นมา ทว่าไม่ว่าใครคิดที่จะย่างกรายข้ามธรณีประตูเข้าไปหาซ่งฉือล้วนถูกจี้ชิงขวางไว้
คนแรกที่ถูกขวางก็คือจี้หลิงอู้
หากแม้แต่จี้หลิงอู้ก็ถูกขวาง ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงผู้อื่นเลย
เมื่อมีคนมาน้อย ภายในลานบ้านจึงเงียบสงัด จี้หลินนั่งยองๆ อยู่ที่หน้าประตูนานจนเกือบจะรากงอก คอยส่งข้าวส่งน้ำให้ทุกวัน แต่ซ่งฉือก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น
แม้จะร้อนรนเพียงใด แต่จี้ชิงก็ยังมีความอดทนที่จะดูแลซ่งฉือเป็นอย่างดี
จี้หลินนั่งสมาธิที่ลานบ้านจนเกือบเผลอหลับไป พระอาทิตย์อัสดงที่ขอบฟ้าสาดส่องเข้ามายังลานบ้าน เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความเงียบ
เสียงไอดังมาจากในห้อง หลังจากนั้นจี้ชิงก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง จี้หลินไม่เคยได้ยินเสียงคำรามแหบๆ ที่แฝงไปด้วยความกังวลของจี้ชิงมาก่อน
“จี้จื่อยวน!”
จี้หลินกุลีกุจอเปิดประตูเข้าไปข้างใน เขาเห็นจี้ชิงนั่งที่ข้างเตียงกำลังช่วยพยุงซ่งฉือขึ้นมา จากนั้นก็หันมาสั่งเขา “เร็ว! รีบเอาน้ำมา!”
จี้หลินรีบรินน้ำจากกาแล้วยื่นให้จี้ชิง
จี้ชิงค่อยๆ เอาถ้วยน้ำจดเข้าที่ริมฝีปากซีดเผือดของซ่งฉือ เขาหอบหายใจแรง สีหน้าของซ่งฉือก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นซ่งฉือก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
จี้หลินรู้สึกว่าขอบตาของคุณชายสามแดงเล็กน้อย เขารับถ้วยจากมือจี้ชิงแล้วเดินออกไป
จี้ชิงพยุงซ่งฉือขึ้นมาแล้วเรียกเขาเบาๆ “ซ่งฝูอี้ ซ่งฉือ ได้ยินข้าไหม”
ซ่งฉือตาพร่ามัว สะลึมสะลือและเจ็บปวด “ข้า…ข้าได้ยินแล้ว”
จี้ชิงรู้สึกโล่งอก มุมปากคว่ำลง เขาเกือบร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาเสียแล้ว “ดีแล้ว ดีมากจริงๆ”
ฟื้นขึ้นมาเป็นเรื่องดี ยังมีชีวิตอยู่นับเป็นเรื่องที่ดีมากจริงๆ
“ข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เจ้ากลับมาแล้วรึ” ซ่งฉือหลบสายตากังวลของเขา ก่อนจะขืนตัวออกจากมือของเขาด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ
“ใช่” จี้ชิงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องฉิน เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นชาของอีกฝ่ายจึงค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงและเดินไปที่โต๊ะ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งค้ำไปบนโต๊ะ “เจ้าหิวหรือยัง ลงมากินข้าวสักหน่อยดีไหม”
ซ่งฉือยังไม่ได้ตอบ จู่ๆ ก็มีเสียงผลักประตูเข้ามา
จี้หลิงอู้เดินเข้ามา ร่างทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยไอเย็น ประโยคแรกที่พูดออกมาก็เต็มไปด้วยความโมโหโกรธเกรี้ยว “ซ่งฝูอี้ ฉินล่ะ เจ้าทำฉินต้าเซิ่งอี๋ยินหายไปไหน”
ซ่งฉือนั่งอยู่บนเตียง ยังไม่ทันจะลุกขึ้นก็ถูกจี้หลิงอู้จับที่คอเสื้อ ที่ปลายคิ้วเหมือนถูกแผดเผาด้วยความร้อนรน
“พูดมาสิ!”
จี้ชิงจับมือข้างที่จี้หลิงอู้คว้าคอเสื้อของซ่งฉือ “พี่รองปล่อยมือก่อน”
จี้หลิงอู้ปรายตามอง ความโกรธได้ลามไปถึงจี้ชิงแล้วอย่างชัดเจน
ซ่งฉือเม้มปาก แล้วเลื่อนสายตาจากหน้าของจี้ชิงไปยังผ้าห่ม เขาจับผ้าห่มไว้แน่นแล้วคุกเข่าบนเตียงทันที
มีหลายคนที่มองมาจากนอกหน้าต่าง
ซ่งฉือคุกเข่าต่อหน้าจี้หลิงอู้เหมือนกับเด็กที่กระทำความผิด เขาก้มหน้า ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ข้าขอโทษ”
จี้ชิงตกใจอยู่พักหนึ่ง เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ
“ซ่งฝูอี้ เจ้ารู้ไหมว่านั่นคือฉินสะกดมาร หากมันสูญหายหรือเกิดเสียหายขึ้นมา เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าใต้หล้านี้จะเป็นอย่างไร!” จี้หลิงอู้สะบัดแขนเสื้อ รีบก้าวออกจากห้องไป “ลูกศิษย์ทั้งหมดตามข้าไปเขาผนึกมาร จี้ชิงทางที่ดีที่สุดเจ้าต้องคุมซ่งฉือให้ดีนะ ตราบใดที่ยังหาฉินต้าเซิ่งอี๋ยินไม่พบ เขาก็จะไม่มีวันได้ออกไปจากเขาอู่หลิง!”
จี้ชิงมองพี่รองที่เดินฟึดฟัดออกไปพร้อมกับลูกศิษย์หลายคน ความตื่นเต้นที่ซ่งฉือฟื้นขึ้นจางหายไปหมดแล้ว ในใจเหลือเพียงความทุกข์ระทมและความว้าเหว่
“ไม่ใช่เจ้า ใช่ไหม…” เขาหันกลับไปมอง สายตาเต็มไปด้วยแวววิงวอนและคำถาม
ซ่งฉือลงจากเตียงด้วยสีหน้าซีดเผือด เดินเพียงสองก้าวก็เข้าใกล้ตัวขี้ชิง เขาขมวดคิ้วและจงใจแสดงท่าทางห่างเหิน
“ข้าไม่พูดปด ข้าทำเอง”
จี้ชิงถอยหลังไปสองก้าว ในใจเกิดช่องโหว่ขึ้นอย่างฉับพลัน เจ็บปวดและสิ้นหวังราวกับสูญเสียเลือดเนื้อ
“ถ้าจะลงโทษก็ลงโทษเลย แล้วแต่เจ้า”
จี้ชิงไม่อาจเก็บซ่อนความโกรธไว้ได้ อีกฝ่ายทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแค่สารภาพออกมาด้วยท่าทางเย็นชา…คล้ายกับว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า
จี้ชิงค่อยๆ ยืนตัวตรง สีหน้าก็กลับสู่ภาวะปกติราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น สีหน้าเย็นชาเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“ข้าไม่มีสิทธิ์ลงโทษเจ้า ทุกอย่างต้องรอให้พี่รองเป็นผู้ตัดสินใจ ตอนนี้เจ้าต้องอยู่ที่เขาอู่หลิงต่อไป นอกจากสถานที่ฝึกวิชาแล้ว ห้ามแอบไปที่อื่นเด็ดขาด”
สิ้นเสียง จี้ชิงก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ข้างนอกอากาศหนาวมาก มีลมแรง หลายวันมานี้อากาศผิดปกติ
ซ่งฉือนั่งกอดอกบนเก้าอี้ นึกถึงตอนที่เขาฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าคางของจี้ชิงมีเคราสีเขียวขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายดูโทรมไปมาก
เขารินน้ำใส่ถ้วย พอกลืนลงไปเพียงคำแรกก็เหมือนกับมีอะไรร้อนๆ พุ่งขึ้นมา ซ่งฉือไออย่างรุนแรงจนโต๊ะสั่น จานบนโต๊ะกระทบกันเกิดเป็นเสียงดังสนั่น พออาการไอเริ่มดีขึ้น เขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารใส่ปาก อาหารเย็นชืด ไม่มีร่องรอยว่าถูกแตะแม้แต่เพียงคำเดียว น่าจะเป็นอาหารที่จี้หลินทำให้จี้ชิง แต่อีกฝ่ายไม่ได้กินมัน
เขามองไปที่อาหารเต็มโต๊ะทั้งน้ำตา
จี้ชิงน่าจะเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว ไม่ยอมกินข้าว เอาแต่นั่งเฝ้าเขาอยู่ข้างเตียงตลอดเวลาจนหนวดเริ่มงอก ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย ปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนสภาพทรุดโทรม
ทันใดนั้นด้านนอกมีเสียงฝีเท้าคนเดิน ซ่งฉือนึกว่าจี้ชิงกลับมาจึงรีบวางตะเกียบลง เขายืนขึ้นมองออกไปที่ประตู เป็นจี้หลินที่ปรากฏตัวขึ้น
“คุณชายซ่ง” จี้หลินชี้ไปที่อาหารด้วยท่าทางอึดอัด “มันเย็นหมดแล้ว ประเดี๋ยวข้าเอาไปอุ่นให้ท่านนะ”
ซ่งฉือรับรู้ได้ว่าคำว่า ‘ท่าน’ ของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาและรักษาระยะห่าง
เขาหัวเราะฝืดๆ พร้อมกับแสยะยิ้ม “ขอบใจ”
จี้หลินเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกไป
ซ่งฉือถอยหลังออกไปหลายก้าว นั่งอยู่บนผ้าห่มท่ามกลางความมืดมน เขาเจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออก ทุกครั้งที่หายใจเข้าไปเขารู้สึกราวกับใกล้ตาย
ปีศาจ…
เมื่อนึกถึงใบหน้ามืดมิดของคนคนนั้น เขาก็รู้สึกคลื่นไส้
ดูท่าว่าฉินต้าเซิ่งอี๋ยินจะหายไปเสียแล้ว
เขาไม่รู้ว่าคนคนนั้นทำฉินหายไปที่ใด แต่เขารู้เพียงว่าอีกไม่นานโลกนี้ก็จะถูกจอมมารครอบครอง
ตั้งแต่เจดีย์กว่างหลิงถูกเผา ท่านเซียนอู่หลิงกับท่านตันชิวก็ตระเวนตรวจตราคุกที่ใช้ขังพวกปีศาจ หอหลิงจิงไม่เหลือใครแม้แต่คนเดียว
เมื่อจี้หลินเดินเข้าไป ภายในห้องไม่ได้จุดตะเกียง
จี้ชิงนั่งอยู่คนเดียวบนเบาะ กำลังร่ำสุราท่ามกลางแสงจันทร์
จี้หลินไม่กล้าที่จะพูดคุยกับเขามากเกินไป ได้แต่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “คุณชายสาม ข้าอุ่นอาหารเสร็จแล้ว ข้าเอาไปที่ห้องคุณชายซ่งเลยนะขอรับ”
จี้ชิงไม่ได้ว่าอะไร ปกติเขาจะนั่งตัวตรงด้วยท่าทางเคร่งขรึม ทว่าตอนนี้กลับนั่งเท้าโต๊ะดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า…ในที่สุดก็ยกไหสุรากรอกปาก
“คุณชายสาม ดื่มแบบนี้เสียสุขภาพนะขอรับ!” จี้หลินอยากจะไปแย่งไหสุราจากมืออีกฝ่าย ทว่าเขายังคงเกรงกลัวจี้ชิงจึงทำได้เพียงกระทืบเท้าอย่างเป็นกังวลอยู่ที่เดิม
ผ่านไปสักพักหนึ่ง พอสุราหมดไหจี้ชิงก็หยุดดื่ม เขาฟุบหน้าลงพร้อมกับไหสุราที่ล้มระเนระนาดอยู่บนโต๊ะ
“ทำไม…” จี้ชิงพึมพำ
จี้หลินขยับเข้าไปใกล้เพื่อเงี่ยหูฟัง
แสงจันทร์นวลผ่องส่องกระทบใบหน้าเขา ใบหน้างดงามราวกับเทพบุตรมีเคราสีเขียวขึ้นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกของเด็กน้อยที่กำลังแตกเนื้อหนุ่ม
ใบหน้าคุณชายสามตอบลงเล็กน้อย น้ำตาไหลลงมาราวกับเกล็ดหิมะตกจากใบหน้าของเขา