พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 33 กระแสน้ำไม่มีวันไหลกลับ
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 33 กระแสน้ำไม่มีวันไหลกลับ
สามสิบสาม
กระแสน้ำไม่มีวันไหลกลับ
ซ่งฉือถูกขังอยู่ในเขตแดนบนยอดเขา ไม่ได้พบกับจี้ชิงอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น คนที่ส่งเขาขึ้นไปบนยอดเขาก็คือจี้หลิน ซ่งฉือคิดในใจว่าจี้ชิงคงโกรธมาก…โกรธจนไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก
ฉินต้าเซิ่งอี๋ยินหายไป รับรองได้ว่าผู้คนในจัวลู่ทั้งหมดต้องคิดว่าเขาเห็นแก่ตัวต้องการฉินศักด์สิทธิ์เพื่อผนวกหลิงชี่ไว้แต่เพียงผู้เดียว จึงเผาเจดีย์กว่างหลิง
เขาทำสำเร็จแล้ว
ที่ริมน้ำว่านหลิง ซ่งฉือกัดฟัน เมื่อนึกถึงหน้ากากดำขลับอันน่าสยดสยอง ในใจก็รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา
วันนั้นหลังจากที่เขาส่งจี้ชิงลงเขา ระหว่างเดินทางกลับเขาถูกหลอกให้เข้าไปหลบฝนอยู่ในถ้ำ จากนั้นก็หมดสติไป หลังจากได้สติ ปรากฏว่าเขาก็อยู่ในเจดีย์แล้ว ภายในเจดีย์มืดสนิท บริเวณที่ตั้งของฉินต้าเซิ่งอี๋ยินสว่างสุกใส ทว่ามีกลุ่มก้อนอันดำมืดนั่งอยู่ข้างๆ ซ่งฉือดูไม่ออกว่าเป็นคนหรือว่าเป็นสัตว์ร้ายกันแน่
เขาถูกจับมัดไว้ ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด คาดว่าน่าจะเพราะถูกสะกดไว้
“เจ้าเป็นใคร!” เขาตะโกนด้วยเสียงเย็นชา
“ไม่เลวนี่ ไม่ร้องไห้ฟูมฟายเสียด้วย”
มันเคลื่อนตัวมาอยู่ข้างกายเขา ซ่งฉือมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายมีขา
“เจ้าคือหุ่นเชิด” ซ่งฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ตระกูลเหลียนแห่งแม่น้ำว่านหลิงรึ”
“ฉลาด ข้าชอบคบค้ากับคนฉลาด” มันยื่นมืออันแสนโสโครกราวกับมีเมือกดำๆ ที่ส่งกลิ่นเหม็นมาบีบคางของซ่งฉือ ใช้สองรูดำๆ จ้องมองเขาราวกับกำลังสังเกตอย่างละเอียด
ซ่งฉือเริ่มมีอาการคลื่นไส้จนอยากอาเจียนออกมา
“เอามืออันแสนสกปรกของเจ้าออกไปซะ!” ซ่งฉือเอนกายไปข้างหลัง เขาล้มลงกับพื้น ใช้ขาตะเกียกตะกายดันตนเองไปพิงผนัง
ดูเหมือนว่ามันจะถูกยั่วโมโห กลุ่มก้อนอันดำมืดกดขาของเขาพร้อมขยับเข้ามาใกล้ ส่งเสียงทุ้มเหมือนกับเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากนรก “ไร้ซึ่งหอไห่ถัง เด็กกำพร้าอย่างเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงเมื่อไรกัน”
“ก็ฆ่าข้าสิ” ซ่งฉือแสยะยิ้มเย็นชา “เจ้าฆ่าข้าสิ หากวันนี้เจ้าไม่ฆ่าข้า พรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ ข้าจะทำลายว่านหลิงของเจ้าให้สิ้นซาก!”
“โอ๊ะ วาจาสามหาวไม่หยอกนะ”
มันค่อยๆ ถอยหลัง ซ่งฉือเริ่มมองเห็นบางอย่าง เมือกหนาติดพื้นเผยให้เห็นโครงร่างดั้งเดิมอันเลือนรางของสิ่งนี้
ดูคล้ายกับ…เงือก
ไม่ใช่หุ่นเชิด? ซ่งฉือเริ่มตงิดขึ้นมา แต่ยังไม่รู้ว่าจะหนีออกไปหาพวกจัวลู่ยังไง
ใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครรับรองได้ว่ามีความสามารถในการปกป้องฉินต้าเซิ่งอี๋ยินมากกว่าเขาทั้งนั้น สกัดไม่ให้จอมมารฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก
“เรามาตกลงกันดีกว่า เจ้าร่วมมือกับข้าเพื่อช่วยจอมมารให้บรรลุภารกิจอันยิ่งใหญ่นับพันปี เมื่อถึงตอนนั้น ตำแหน่งเจ้าเรือนมารฮวาลั่ว…อาจจะเป็นเจ้าก็ได้”
มันดีดฉินต้าเซิ่งอี๋ยินจนดังกังวานเป็นทำนองไพเราะ ราวกับบุกทะลวงผ่านเยื่อแก้วหูเข้าสู่หัวใจโดยตรง
“ฝันไปเถอะ” ซ่งฉือพยายามยืนขึ้น “เจ้าคิดว่าการร่วมมือกับจอมมารจะสามารถเปลี่ยนใต้หล้าให้กลายเป็นภพมารได้รึ เจ้าคิดว่าเจ้ามายั่วยุข้าเช่นนี้จะไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาต่อกรกับจอมมารรึ” ซ่งฉือแสยะยิ้ม ก่อนจะขยับไปใกล้ “ฆ่าข้าเสียเถอะ ข้าจะได้กลายเป็นผีตามไปหลอกหลอนเขาชั่วชีวิต!”
“เจ้านี่มันปากดีจริงๆ!” มันบีบคอเขา น้ำเสียงทุ้มต่ำและเย็นเยียบราวกับปีศาจเอ่ยขึ้น “หากเจ้าอยากทรมาน ข้าก็จะปล่อยให้เจ้าใช้ชีวิตต่อไปอย่างนี้”
ซ่งฉือรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจอย่างรุนแรงจนหมดสติ
พอฟื้นขึ้นมา ก็เป็นดั่งคำพูดของมัน วิธีการที่ดีที่สุดในการทรมานเขาก็คือให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกประณามในภพมนุษย์ ยอมรับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นโดยไม่อาจโต้แย้งใดๆ
ความจริงซ่งฉือจะเล่าความจริงที่เกิดขึ้นออกไปก็ได้ เนื่องจากเขามีพลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่มีทางเข้าใกล้ฉินต้าเซิ่งอี๋ยินด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการดูดกลืนหลิงชี่ อีกทั้งเขาก็ไม่ฝึกวิชามาร ทว่าหากอยากพบกับเจ้าปีศาจนั่นอีกครั้งเพื่อหาร่องรอยฉินต้าเซิ่งอี๋ยิน เขาก็ต้องทำตามความต้องการของอีกฝ่าย
ความจริงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ซ่งฉือตอนนี้อยู่ตัวคนเดียว เขาเชื่อว่าเจ้าปีศาจตนนั้นจะต้องปรากฏกายออกมาอีกครั้งในไม่ช้า เจ้าสิ่งนั้นยากเกินอธิบาย หากลากจี้หลิงอู้เข้ามาพัวพันด้วยคงยากต่อการหลอกให้มันเชื่อ โดยเฉพาะจี้ชิง หากจะบอกความจริงให้จี้ชิงรู้ อีกฝ่ายจะต้องไม่ยอมร่วมเล่นละครด้วยเป็นแน่ ถึงยอมก็คงแสดงได้ไม่สมจริง
มีแต่เพียงการหลอกลวงจี้ชิงผู้ที่เชื่อใจเขาที่สุดเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้ปีศาจสับสนได้
ซ่งฉือรออยู่สามวันเต็มๆ ทั่วทั้งจัวลู่เหมือนกับว่าไม่มีแม้เงาใครสักคน หรืออาจจะเป็นเพราะฉินต้าเซิ่งอี๋ยินทำให้ที่นี่สับสนอลหม่านไปหมด ซ่งฉือสงสัยเป็นอย่างมาก ตามหลักแล้วสถานที่ต้องห้ามก็ควรสร้างเขตแดนคุ้มกันหรือมีคนคอยดูแลโดยเฉพาะ แต่จากจัวลู่ไปถึงเขาอู่หลิงมีเพียงประตูใหญ่กว้างๆ อยู่เพียงบานเดียว ดูก็รู้ว่าในอดีตต้องเป็นสถานที่โอ่อ่างดงามเป็นแน่ เพียงแต่ตอนนี้มีเถาวัลย์กับหญ้าแห้งปกคลุมจนรกรุงรัง
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเข้าออกพร้อมกับจี้ชิง จึงไม่ทันสังเกต
ซ่งฉือเริ่มรู้สึกมีอาการปวดท้องลึกๆ เมื่อเขาแหวกเสื้อออกก็พบรอยปานสีดำไล่ขึ้นมาตั้งแต่ท้องจนถึงหน้าอก เมื่อกดเบาๆ ก็ปวดจนหน้าเหยเก เขานั่งพิงต้นสนเงียบๆ มองไปที่ดวงอาทิตย์แดงจ้าเหมือนกองไฟที่สุดขอบฟ้า เมฆม้วนเป็นแถวแล้วสยายออกมาเป็นแนวราวกับอยู่เพียงเบื้องหน้า
วันที่สามแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของจี้ชิง รวมถึงเข้าพิธีสวมกวานด้วย ผู้คนเป็นจำนวนมากทยอยกลับมาที่จัวลู่ แต่จี้หลิงอู้ยังไม่กลับมา จี้หลินบอกว่าท่านตันชิวเป็นผู้จัดการทุกอย่าง บางทีจี้หลิงอู้ยังคงพยายามค้นหาฉินต้าเซิ่งอี๋ยินอยู่
ถ้าวันนี้เจ้าปีศาจกลับมาหาเขา เขาก็อาจจะตะล่อมถามเรื่องร่องรอยของฉินต้าเซิ่งอี๋ยินสำเร็จ พรุ่งนี้เขาก็จะได้อธิบายทุกอย่างให้พวกจี้หลิงอู้ฟังเสียที
“เฮ้อ นั่งชมทิวทัศน์งดงามคนเดียว มันเพลินดีจัง” ซ่งฉือแสร้งทำเป็นมีความสุข สีหน้ายังคงเหมือนเดิม เขานั่งชันขาขึ้นข้างหนึ่งพลางวางมือพาดบนหัวเข่า ก่อนจะเผยรอยยิ้มอันเกียจคร้านออกมา “ตอนนี้ข้ากลายเป็นไม่มีอะไรทำในจัวลู่ ผู้คนต่างโกรธแค้นที่ข้าทำฉินศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาหายไป ข้าจะหาเรื่องใส่ตัวไปเพื่ออะไรเล่า”
“ดูท่าเจ้ากับพวกเขาแตกหักกันแล้วสินะ”
ที่หลังต้นสนมีบางอย่างสีดำปีนออกมา
ในที่สุดก็ออกมาจนได้…ซ่งฉือพยายามสะกดความคลื่นไส้ไว้ เอนกายพิงต้นไม้ด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติที่สุด “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าปรารถนาหรอกรึ”
มันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะคืบคลานมาเบื้องหน้าเขา ซ่งฉือมองเห็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งอยู่ในกลุ่มก้อนสีดำนี้ เขารู้สึกคุ้นตามาก
“นี่ก็คือสิ่งที่ข้าต้องการ”
เมือกสีดำพึมพำออกมาก่อนจะค่อยๆ จางหายไป ปรากฏเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง แท้จริงแล้วภายใต้รูปลักษณ์ที่น่าขยะแขยง กลับมีบุรุษรูปงามซุกซ่อนอยู่
“สงสัยอยู่หรือว่าข้าเป็นใคร”
ชายหนุ่มผู้นั้นก้าวมาข้างหน้า ซ่งฉือไม่ได้กลิ่นแปลกๆ อะไรเลย กลิ่นเหม็นสาบบนตัวอีกฝ่ายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เจ้าเป็นใครสำคัญด้วยรึ ที่สำคัญก็คือคำพูดของเจ้ายังเชื่อถือได้อีกหรือไม่” ซ่งฉือลุกขึ้นยืน “หากข้าไปพึ่งบารมีของจอมมาร เจ้าจะรับประกันได้หรือไม่ว่าต่อไปเรือนมารฮวาลั่วจะต้องตกเป็นของข้า”
ชายหนุ่มรูปงามแย้มยิ้ม คิ้วเรียวงามไม่ต่างจากคนในภาพวาด ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในบัดดล
ซ่งฉือก็แสร้งยกยิ้มมุมปาก ทั้งสองสบตาและยิ้มให้กัน กลิ่นอายความทะเยอทะยานฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งใบหน้าและดวงตาของซ่งฉือ
ทันใดนั้นก็มีบางอย่างดังขึ้นจากด้านหลัง ซ่งฉือหันไปมองด้วยความตกใจ
ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ ชายหนุ่มในชุดจันทร์ส่องนทีมีสีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาเหมือนกับเมื่อแรกเจอ