[นิยายแปล]ติดร่างแหไปต่างโลก แต่ต่างโลกดันสงบสุขซะงั้น - ตอนที่ 8
「……แค๊ก แค๊ก……」
「แบบว่า ขอโทษด้วยนะ พอดีเห็นอ้าปากซะกว้างแบบนั้นก็เลยเผลอไปหน่อย……เป็นอะไรไหม?」
เด็กสาวที่คุ้นเคยกำลังกล่าวขอโทษพร้อมกับลูบหลังให้ผมที่กำลังสำลักอาหารอยู่ ใครจะไปคิดว่าฝันร้ายแรกในค่ำคืนของการมาเยือนต่างโลกจะเป็นเบบี้คาสเทลล่าแบบนี้ ต่างโลกแม่งโคตรสุดจริง ต่างโลกแม่งน่ากลัวสุดๆ……ไม่เคยคิดเคยฝันว่าเบบี้คาสเทลล่าแม่งจะกลายเป็นแผลใจแบบนี้ไปได้
หลังจากที่สงบสติได้ ก็หันไปมองทางเด็กสาวที่อยู่ข้างๆอีกครั้ง
「แล้ว……ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละ คุโระ?」
「ก็แบบว่า~เรื่องบังเอิญนี่มันสุดยอดไปเลยนะ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกันในที่แบบนี้ เหมือนชะตาฟ้าลิขิตเลยเนอะ!」
「ไม่ใช่ละ บังเอิญบ้านเธอสิ ที่นี่มันบ้านคนอื่นนะ!?」
「ก็นั้นไง ไอ้แบบที่ตอนกำลังฟังอะไรน่าเบื่อๆอยู่ แล้วรู้สึกอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศขึ้นมาบ้างก็เลยออกไปเดินเล่นที่เมือง แล้วบังเอิญเจอคนที่เพิ่งรู้จักกันอยู่ห่างออกไป『หลายกิโล』กำลังอ้าปากกว้างอยู่ เพราะงั้นก็เลยอยากลองขว้างเบบี้คาสเทลล่าผ่าน『เขตแดนป้องกัน』ดูนะ เห็นไหมละเรื่องปกติทั่วไป」
「ปกติก็บ้าและ!」
แม่งเล็งกันชัดๆเลยไม่ใช่รึไง!? เรื่องบังเอิญแบบไหนกันฟะที่บุกรุกคฤหาสน์ตระกูลดยุคยามค่ำคืนแบบนี้นะ!? ไม่ได้การ มีเรื่องให้ตบมุขมากเกินไปจนตามไม่ทันละ
「น่าน่า、รายละเอียดยิบย่อยแบบนั้นช่างมันไปเถอะ」
「……ช่างมันได้ที่ไหนกันละ ทำแบบนี้มันผิดกฎหมายนะ……」
ดูเหมือนว่าคุโระนั้นจะไม่ค่อยสนใจท่าทีของเราสักเท่าไร เธอก็เลยพูดต่อด้วยรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสานั้น
「ก็นั้นไง ผมบอกไปแล้วนี่? ถ้าเกิดมีเรื่องลำบากอะไรให้ผมช่วยได้นะ~ อีกอย่างดูเหมือนไคโตะคุงเองก็กำลังกลุ้มใจเรื่องอะไรสักอย่างอยู่ด้วย เป็นอะไรไปหรอ?」
「เอ๊ะ? อ่อ ไม่หรอก จะพูดว่ากลุ้มใจ……หรือว่ายังไงดีละ……」
อื~ม ตอนที่เจอกันช่วงเย็นก็ทีนึงละ ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าคุโระนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ อีกทั้งไม่รู้ทำไมตอนที่เธอหัวเราะหรือยิ้มด้วยท่าทีที่ดูไร้เดียงสานั้นมันทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาเลยแบบแปลกๆ ทำให้เกือบหลงเสน่ห์เข้าซะแล้ว
「พอดีมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะหน่อยนะ ทั้งเรื่องในอดีตที่ผ่านมา แล้วก็เรื่องหลังจากนี้นะ」
「อย่างงี้นี่เอง……ถ้างั้น、เรามา『ชมจันทร์』ไปเล่าไปก็แล้วกันเถอะ!」
「ไหงเป็นงั้นอะ!?」
หลังจากเธอพูดเสร็จเธอก็สะบัดเสื้อโค้ดของเธอพร้อมกับเอามือแตะที่พื้นระเบียง ทันใดนั้นก็มีสิ่งที่เหมือนกับเสื่อสีดำปรากฏขึ้นมา อะ เดียวนะ พอดูดีๆแล้วนี่มันไม่ใช่เสื่อทั่วไปแต่มันคือ เสื่อทาทามิ นิ
ยังไม่จบแค่นั้น ตรงเงาเสื้อโค้ดที่ยืดออกนั้น มี ถาด――พาน?สำหรับใส่ซึกิมิดังโงะปรากฏขึ้นมาบนเสื่อทาทามิด้วย เสื้อโค้ดนั้นมันอะไรฟะ? กระเป๋า4มิติที่เอาอะไรออกมาก็ได้หรอ?ดูน่าสะดวกดีแท้……
(三宝 sanbou ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไรเหมือนกัน เลยใช้ พาน? นะครับ)
「เอ้า นั่งสิๆ พระจันทร์ก็สวยใช่เล่นนะเพราะงั้นเรามาค่อยๆคุยกันดีกว่า~」
「……อะ อืม」
ช่างเป็นสถานะการณ์ที่แปลกประหลาดจริงๆ หลังจากที่ถูกรอยยิ้มที่น่ารักของคุโระคะยั้นคะยอให้นั่งลงบนเสื่อทาทามิแล้ว เธอก็สบัดนิ้วไปที่พานเมื่อกี้ อยู่ๆก็มีซึกิมิดังโงะปรา――
「แล้วทำไมมันถึงกลายเป็นเบบี้คาสเทลล่าแทนที่จะเป็นซึกิมิดังโงะได้ละ!?」
「เอ๊ะ?ก็ไอ้การชมจันทร์นี่มันคือการนั่งมองพระจันทร์ไปกินขนมไปไม่ใช่หรอ?」
「……ไอ้ตรงนั้นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ดูเหมือนจะเข้าใจจุดสำคัญผิดไปหน่อยนะ……」
ใช่แล้ว สิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าผมก็คือ……ขนมอบที่แสนชั่วร้ายที่มันกลายมาเป็นแผลใจของผมเมื่อกี้ เบบี้คาสเทลล่านั้นเอง ทั้งๆที่รู้จักเสื่อทาทามิกับพานแท้ๆ แต่ทำไมดังโงะที่ควรจะเป็นตัวเอกถึงกลายเป็นเบบี้คาสเทลล่าแทนได้ละ? ไอ้ความรู้ครึ่งๆกลางๆนี่มัน……
「หึหึหึ จะดูถูกกัน มันก็ได้แค่ตอนนี้แหละ ทำไมนะหรอนั้นก็เพราะเบบี้คัสเทลล่าที่อยู่ตรงหน้านั้นสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับการชมจันทร์ยังไงละ! ลองชิมดูเดียวก็รู้เลย!! เอ้าเอ้า~」
「ร รู้แล้ว รู้แล้วน่า……เดียวลองชิมดูก็ได้」
ถึงแม้ว่าท่าทีของเธอที่ในมือถือเบบี้คาสเทลล่าแล้วพยายามขยับเข้ามาหานั้นมันค่อนข้างที่จะไปสะกิดแผลในใจอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ต้องฝืนใจกินเบบี้คาสเทลล่าดู
「อุ!? นี่มัน……」
เบบี้คาสเทลล่าที่เอาเข้าปากเมื่อกี้ถึงแม้ว่าภายนอกนั้นจะดูเหมือนปกติ แต่ภายในนั้น――ให้สัมผัสของแป้งที่เหนียวหนึบซึ่งห่อไส้ถั่วแดงกวนเอาไว้และมีหวานที่กำลังเหมาะลิ้นของคนญี่ปุ่น
อย่างงี้นี่เอง หมายความว่าเบบี้คาสเทลล่าอันนี้ห่อดังโงะไว้ข้างในสินะ ถ้าไม่ใช่คนที่มีฝีมือจริงๆไม่มีทางที่จะห่อดังโงะไว้ในเบบี้คาสเทลล่าที่มีขนาดเล็กแบบนี้ได้――
「แล้วทำไมไม่ทำซึกิมิดังโงะซะตั้งแต่แรกเลยฟะ!! ทำไมถึงต้องเอาเบบี้คาสเทลล่ามาห่อด้วย!? ไอ้ความรักต่อเบบี้คาสเทลล่านี้มันอะไรกัน! น่ากลัวชิบ! อีกอย่างทั้งๆที่ชอบมันขนาดนั้นแท้ๆ ทำไมตอนแรกถึงจำชื่อผิดได้ฟะ!?」
「ร่าเริงดีจริงๆเลยนะ~แต่ว่า พูดติดๆกันแบบนั้นเดียวก็เหนื่อยเอสหรอก? เอ้านี้ เตรียมเครื่องดื่มไว้ให้แล้วนะ แถมเป็นเครื่องดื่มของต่างโลกด้วย」
「อืม、ขอบคุณ――พรู๊ดดด!?」
คุโระมองผมที่กำลังตบมุกรัวๆด้วยท่าทียิ้มแย้มนั้น ยื่นถ้วยชามาให้ สงสัยเพราะตบมุกมากไปหน่อยคอเลยเริ่มแห้งขึ้นมา เพราะงั้นก็เลยลองดื่มมันดู……และก็สำลักมันออกมาทันที
「เป็นอะไรรึป่าว?ดื่มรวดเดียวแบบนั้นมันอันตรายนะ ค่อยๆดื่มสิ」
「แค้ก แค้ก……ทำไม……ถึงเป็นกาแฟได้ละ……」
「เอ๊ะ?ก็ที่ต่างโลกเวลากินขนมมันต้องดื่มไอ้นี่ไปพร้อมกันไม่ใช่หรอ?」
「……」
อยากจะขอต่อยพวกผู้กล้าที่เคยมาในอดีตจริงๆที่บังอาจมายัดเยียดความรู้แบบครึ่งๆกลางๆให้กับคุโระนะ ให้ตายเหอะ
พอคิดว่าต้องมาชมจันทร์ในวันปีใหม่แบบนี้แล้วมันก็รู้สึกตลกๆอยู่เหมือนกันแหะ แต่สำหรับโลกนี้เดือนแห่งท้องฟ้า――ถ้าเทียบกับโลกเดิมแล้วก็คงเป็นช่วงปลายปีกับต้นปีสินะ ดูเหมือนจะเป็นช่วงที่เห็นพระจันทร์ได้ใหญ่ที่สุดด้วย ก็คงเหมาะที่สุดแหละละมั้ง
แต่เอาจริงๆ――ไอ้การที่ต้องนั่งชมจันทร์บนเสื่อทาทามิ โดยที่มือนึงถือถ้วยชาที่ใส่กาแฟเอาไว้ แล้วก็กินเบบี้คาสเทลล่าไปแบบนี้ ต่อให้ไม่ใช่ต่างโลกมันก็ดูแปลกๆอยู่นะ……
「……อื~ม。จะว่ายังไงดีละ เผ่ามนุษย์นี่ชอบกลุ่มใจในเรื่องแปลกๆไปซะทุกเรื่องเลยนะ ให้ตายสิ~」
「พอเป็นมุมมองของเผ่ามารแล้ว เห็นเป็นแบบนั้นหรอ?」
ในขณะที่กำลังชมจันทร์อยู่กับคุโระนั้น บรรยากาศรอบๆตัวเธอก็เปลี่ยนไป จากตอนแรกที่ดูวุ่นวายก็เปลี่ยนไปเป็นสงบนิ่งเหมือนกับผู้ที่อยู่มายาวนาน มันดูเป็นธรรมชาติมากซะจนไม่อยากจะเชื่อเลย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศพิเศษรอบๆตัวเธอและน้ำเสียงที่ทำให้รู้สึกสบายใจของเธอรึเปล่า ที่ทำให้สามารถเล่าทุกอย่างออกไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งเรื่องที่ตัวเองนั้นไม่รู้ว่าอยากจะทำอะไร หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ตัวเองนั้นรู้สึกกังวลและรู้สึกคาดหวังให้กับเรื่องที่ตัวเองนั้นโดนลูกหลงมายังต่างโลกแบบนี้ ทั้งๆที่ตอนที่คุสึโนะกิซังถามยังไม่สามารถตอบกลับไปได้เลยแท้ๆ
หลังจากที่เล่าสาเหตุให้คุโระฟังทั้งหมด ก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างเงียบๆ
「สำหรับผมนะน๊ะ มนุษย์ที่มีความฝันหรือเป้าหมายอะไรแบบนั้นไม่ได้สุดยอดไปกว่าคนที่ไม่มีอะไรพวกนั้นหรอกนะ การที่ไม่มีอะไรพวกนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นพวกไม่ได้เรื่องหรอก แน่นอนว่าก็ไม่ได้หมายความว่าการปราถนาเป็นเรื่องไม่ดีหรอกนะ……เพียงแค่รู้สึกว่าการไม่พยายามยื่นมือเข้าไปหามันนั้นมันน่าเสียดายนะ?」
「น่าเสียดายหรอ?」
「อืม ไคโตะคุง――ช่วงชีวิตของมนุษย์นะน๊ะ สำหรับผมแล้วนั้นมันสั้นแค่พริบตาเดียวเอง ไม่ถึง100ปีซะด้วยซ้ำไป เพียงเวลาแค่นั้น ถ้ามัวแต่มาเสียเวลาคิดเรื่องเล็กๆน้อย ไม่ก็มัวแต่หาเหตุผลไปเรื่อยๆ หรือมัวแต่กลุ้มใจไปวันๆนั้น ชีวิตมันจะไม่เหลืออะไรเอานะ ถ้ามีเวลาคิดเรื่องแบบนั้นละก็ ลองสนุกไปกับมันเลยน่าจะดีกว่านะ」
「……สนุกไปกับมันหรอ……」
เพราะไม่รู้ว่าจะต้องสนุกยังไงนั้นแหละ ถึงจะคิดว่าความจริงอาจจะต้องการอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร
「……สมัยก่อนนะน๊ะก็เคยมีเด็กที่พูดเหมือนกับไคโตะคุงอยู่เหมือนกัน ว่าตัวเองนั้นว่างเปล่า」
「ว่างเปล่าหรอ?」
「ใช่แล้วละ หลังจากที่ตัวเองมัวแต่ทำตามคำขอร้องหรือทำตามความคาดหวังของคนอื่นมาตลอด……พอรู้สึกตัวอีกทีตัวเองก็ไม่สามารถใช้ชีวิตโดยขาดคำสั่งพวกนั้นได้แล้ว บางครั้งเจ้าตัวถึงกับพูดออกมาเลยนะว่าข้างในตัวเองนั้นว่างเปล่า~ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้คิดมากกับเรื่องนั้นก็ตาม แน่นอนว่าเจ้าตัวก็บอกว่าก็แค่อยากจะตอบรับความคาดหวังนั้นเฉยๆ ถึงอย่างนั้นบางครั้งเจ้าตัวก็ยังคิดว่าตัวเองนั้นมีความรู้สึกอยู่จริงๆเปล่านะ」
「……อืม อาจจะคล้ายกันนิดหน่อยก็ได้มั้ง」
「อืม อาจจะเป็นเพราะอย่างงั้น? ที่ทำให้ผมชอบเด็กแบบไคโตะคุงที่สุดนะ」
「หะ?」
เพราะตกใจในคำพูดของคุโระเลยหันไปหาเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาสีทองของเธอที่เหมือนกับมองทุกสิ่งทุกอย่างทะลุปรุโปร่งนั้นกำลังจ้องตรงมาที่ฉัน มันไม่ใช่สายตาที่มองด้วยความเกลียดชังหรือดูถูกดูแขลย แต่เป็นสายตาของแม่ที่มองมาด้วยความรักและอ่อนโยน
「……เธอนะเป็นเหมือนกับลูกนกที่เพิ่งเกิดมาโดยที่ไม่รู้อะไรเลย」
「ลูกนก?」
「ใช่แล้วละ ถึงแม้ว่าตัวเธออยากจะได้ปีก――แต่เธอก็ยังไม่รู้วิธีที่จะได้มันมา และถึงแม้ตัวเธออยากจะโบยบิน――แต่เธอก็ยังไม่รู้วิธีที่จะบิน การที่รู้สึกกลุ้มใจ ผมคิดว่ามันก็คล้ายๆกับความปราถนานะ ภายในตัวไคโตะคุงนั้นยังมีความปราถนาที่กำลังเปล่งประกายซ่อนอยู่ เพียงแค่ว่าเธอนั้นยังหามันไม่เจอเท่านั้น ถึงแม้ตอนนี้ตัวเธอจะยังว่างเปล่าก็ไม่เป็นไร การที่ที่ผ่านมายังหามันไม่เจอนั้น มันไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเรื่องเลวร้ายอะไรหรอกนะ」
น้ำเสียงที่สดใสของเธอนั้นเป็นดั่งเพลงกล่อมเด็ก ที่ดังก้องอยู่ภายในก้นบึ้งของจิตใจ เธอบอกว่าเป็นแบบนั้นต่อไปก็ได้ และไม่ต้องกลุ้มใจไปก็ได้งั้นหรอ――
「เพราะงั้นเรามาหาสมบัติกันเถอะ!」
「……หะ?」
เอ๊ะ? เดียวนะมันแปลกๆ? ตรงจุดนี้มันควรเป็นฉากที่ต้องซาบซึ้งไม่ใช่หรอ? ทำไมอยู่ๆถึงพูดอะไรแปลกๆแบบนั้นออกมาหว่า? อารมณ์สินะ? นี่ ทำตามอารมณ์ตัวเองสินะ?
「อืมอืม ดูเหมือนว่าผม จะถูกใจไคโตะคุงเข้าให้ซะแล้ว ไม่เลวเลยแหะ」
「เอิ่ม ไม่ค่อยเข้าใจที่พูดสักเท่าไร……แล้วทำไมถึงอยู่ๆถึงมาโอบกอดจากข้างหลังแบบนั้นละ? แล้วทำไมอยู่ๆเสื้อโค้ดนั้นถึงมีรูปร่างเป็นปีกขนาดใหญ่แบบนั้นละ? รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยตั้งใจจะทำอะไรนะ!? แรงเยอะอีกตั้งหาก!?」
「ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่ไปเดินเล่นกลางท้องฟ้าแค่นั้นเอง」
「ไอ้คำอธิบายนั้นมันไม่เห็นช่วยให้สบายใจไ――ว๊ากกกกกกกก!?」
หลังจากที่เธอเข้ามาโอบกอดจากด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาตินั้น ในระหว่างที่กำลังจะพูดแย้งเสื้อโค้ดที่เปลี่ยนเป็นปีกขนาดใหญ่ก็กระพือขึ้นไปบนฟ้า ทันใดนั้นทิวทัศน์ที่เห็นก็เปลี่ยนไปทันที
ถึงแม้จะเผลอหลับตาอยู่ก็ตาม แต่กับไม่เห็นรู้สึกถึงแรงลมที่มันควรจะรุนแรงอะไรแบบนั้นเลย กับรู้สึกถึงสายลมที่มากระทบกับแก้มเบาๆมากกว่า
「นี่ ไคโตะคุง ลองลืมตาดูสิ」
「เอ๊――ะ!?」
พอได้ยินเสียงที่อ่อนโยนนั้นจึงค่อยๆลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นนั้นมันไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคือดวงจันทร์อันใหญ่โตที่อยู่บนฟ้า กับ แสงระยิบระยับดั่งดวงดาวที่สว่างจากพื้นดิน นอกจากคำว่าสมบูรณ์แบบก็คงไม่มีคำไหนที่จะเหมาะกับทิวทัศน์แห่งนี้แล้ว
「ไคโตะคุง โลกเรานั้นมันกว้างนะ」
「เอ๊ะ?」
「แม้แต่ตัวผมเองที่มีชีวิตอยู่มายาวนานก็ยังมีเรื่องที่ไม่รู้และไม่เข้าใจอยู่เต็มไปหมด ต่อให้เธอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอทั้งหมด――ก็ไม่มีทางที่จะรู้ทุกสิ่ง หรือ เห็นทุกอย่างได้หรอกนะ」
「……」
「อุส่าห์ได้มาที่โลกนี้ทั้งที มาลองหามันก็เถอะนะ มาหา『สมบัติ』ที่เธอจะรู้สึกว่ามันสำคัญออกจากใจของเธอจริงๆได้……มาหาสิ่งที่เธออยากจะทำ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่เจอคำตอบนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ขอแค่หลังจากที่เธอจากที่นี้ไป ต่อให้เธอไม่รู้ว่าตัวเองนั้นอยากทำอะไร แต่ขอแค่เธอสามารถตอบคำถามได้ว่า『เธอนั้นได้มาทำอะไรที่นี่』『เธอนั้นได้พบเจอกับอะไรที่นี่』แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว……เพราะงั้น ต่อให้ตอนนี้ตัวเธอว่างเปล่าอยู่ก็ไม่เป็นไร」
หลังจากที่คุโระพูดเสร็จ เธอก็ปล่อยมือที่โอบกอดออก ในตอนแรกนึกว่าจะต้องร่วงลงไปแน่ๆนั้น แทนที่จะร่วงลงไปด้วยความเร็วสูงแต่ร่างกายของผมนั้นค่อยๆร่วงลงอย่างช้าๆ
อาจจะเพราะเป็นการตกมาจากที่สูง ทิวทัศน์สายตาผมแทนที่จะเห็นแสงดาวที่จากบนพื้นดิน――แต่กับเห็นคุโระที่กำลังอ้าแขนกว้าง พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนอยู่ข้างหน้าแทน
แสงจากพื้นที่ส่องระยิบระยิบขึ้นมาดั่งดวงดาวผ่านด้านหลังเธอ เส้นผมสีเงินที่ไหวปริวไปกับสายลม ดวงตาสีทองที่จ้องมองมาด้วยความอ่อนโยนนั้น มันช่างงดงามดั่งเทพธิดาจนไม่สามารถเบือนตาหนีได้
「ถึงแม้ว่าเธออยากจะได้ปีก――แต่เธอก็ไม่รู้วิธีได้มันมา และถึงแม้ว่าเธอนั้นอยากจะโบยบิน――แต่เธอก็ไม่รู้วิธีที่จะบิน เพราะงั้นเธอก็ยังเป็นแค่ลูกนกที่น่ารักที่ยังไม่รู้อะไรเลย……」
ทั้งๆที่พวกเราน่าจะอยู่ห่างกันระดับนึงแท้ๆ แต่ผมกับได้ยินเสียงของเธอดังชัดเจนเหมือนกับว่าไม่มีเสียงของลมมาบดบัง
「เพราะงั้น――ผมจะเป็นคนสอนเธอเอง! ทั้งเรื่องที่เธอยังไม่รู้ ทั้งสิ่งที่เธอยังไม่เคยเห็น และเรื่องของโลกใบนี้!」
「ッ!?」
ถึง คุณพ่อ-คุณแม่ที่รัก――ผมติดร่างแหอัญเชิญผู้กล้า และได้มายังต่างโลก
「ขอให้โลกที่แสนอ่อนโยนใบนี้และตัวผม อวยพรให้การมาเยือนของเธอ!」
แต่ดูเหมือนว่า――ต่างโลกนั้นจะสงบสุขดี เพราะงั้นตัวผมคงไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไป ความกล้าที่อยากจะเปลี่ยนตัวเองผมก็ยังไม่มีเหมือนเดิม
「เพราะงั้น มาเริ่มกันเถอะ เริ่มหามันจากต่างโลกใบนี้! มาหาตัวตนที่แม้ตัวเองก็ยังหาไม่เจอ!」
แต่ถึงอย่างงั้น――การได้พบเจอกันแบบแปลกๆนี่ การโดนหยอกล้อ หรือแม้กระทั่งการโดนทำลายสามัญสำนึกจนไม่เหลือสากนั้น
「นับตั้งแต่ตอนนี้ จากช่วงเวลานี้มาเริ่มกันเถอะ! มาเริ่มทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน!」
พอลองคิดดูดีๆแล้ว การได้มาพบเจอกับเผ่ามารที่ผิดสามัญสำนึกตนนี้นั้นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปก็ได้
「เธอตั้งหากละ――ที่เป็นตัวเอกของเรื่องราวนี้!!」
ใช่แล้ว การมาต่างโลกนั้น――มันเป็นอะไรที่บ้าที่สุด แต่ถึงอย่างงั้นก็เป็นเรื่องราวที่อบอุ่น――เป็นจุดเรื่องต้นของเรื่องราวทั้งหมด