[นิยายแปล]ติดร่างแหไปต่างโลก แต่ต่างโลกดันสงบสุขซะงั้น - ตอนที่ 9
หลังจากที่ตื่นมาเพราะแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างมานั้น ผมก็มองไปรอบๆห้องที่ไม่คุ้นเคยนี่ด้วยท่าทีที่ยังสะลึมสะลืออยู่ และในที่สุดก็นึกถึงเหตุการที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้
นั้นสินะเรามาต่างโลกนี่นา พอนึกดูดีๆแล้วเมื่อวานเกิดเรื่องวุ่นวายมากมายจริงๆ
ทั้งติดห่างแหการอัญเชิญผู้กล้า ต้องมาเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของต่างโลกใหม่ แถมยังได้มาชมจันทร์กับเผ่ามารที่ไม่ค่อยเข้าใจ แล้วยังโดนพาบินขึ้นไปบนฟ้า จนไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อตอนไหน――เอ๊ะ? เอาเป็นว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนั้นช่างมันไปก่อน เมื่อวานนี่มันสุดจริงๆนั้นแหละ ถึงสาเหตุส่วนใหญ่จะเป็นเพราะเบบี้คาสเทลล่าก็เหอะ แต่จำไม่เห็นได้เลยว่าตัวเองกลับห้องมาตอนไหน แล้วหลับไปตั้งแต่เมื่อไร?
ในขณะที่กำลังคิดถีงเรื่องพวกนั้น อยู่ๆเบื้องหน้าก็มีตัวอักษรที่ส่องสว่างปรากฏขึ้นมา
『แล้วจะมาหาใหม่นะ~』
เราลองมาทบทวนเรื่องราวต่างๆดูอีกครั้งละกัน ที่ที่เราอยู่ตอนนี้คือคฤหาสน์ของคนที่เราจะมารบกวน ดยุกลิเลีย อัลเบลซึ่งเป็นเผ่ามนุษย์ และสำหรับเผ่ามารตนนั้นแล้วถือว่าเป็นบ้านของคนอื่น ขอย้ำอีกครั้งนะว่าเป็นบ้านของคนอื่น――ช่างทำอะไรตามใจชอบจริงๆเลยให้ตายสิ ยัยเด็กเผ่ามารตนนั้น
หรือเราควรไปบอกกับลิเลียซังตรงๆไปเลยดีกว่าว่า「เมื่อคืนมีเผ่ามารแอบลักลอบเข้ามานะ」 และต่อให้บอกว่ายังไม่เข้าใจถึงสามัญสำนึกของโลกนี้ดีก็ตาม แต่การลักลอบเข้ามายังคฤหาสน์ดยุกมันก็น่าจะเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ ถึงแม้ตัวการที่ทำให้คุโระแอบลอบเข้ามาหาก็คือตัวผมเองก็เหอะ แต่ตัวเองก็ไม่ได้รับอันตรายอะไรด้วย――นอกจากแผลใจที่เกิดจากเบบี้คาสเทลล่าเท่านั้น
ถึงแม้จะยังมีจุดที่ทำให้รู้สึกกังวลอยู่บ้างก็ตาม……แต่จากลางสังหรณ์แล้ว ถึงจะบอกไปและต่อให้มีการเพิ่มความระวังตัวมากขึ้นก็ตาม แต่จากลักษณะของคุโระแล้วเธอก็คงโผล่มาด้วยสีหน้าสบายๆอยู่ดีนั้นแหละ ถ้าเป็นงั้นจริงสงสัย……ต้องดูสถานะการก่อนน่าจะดีกว่ามั้ง? แต่ไม่ว่าจะดูยังไง ก็ไม่คิดว่าคุโระจะเป็นคนเลวอะไรแบบนั้นด้วย แถมยังมีบุญคุณที่เคยช่วยไว้ตอนหลงทางอีกด้วย
อะ แต่ว่า เมื่อวานก็ค่อนข้างเสียงดังอยู่อาจจะโดนถามก่อนก็ได้……
ในตอนที่กำลังคิดแบบนั้นอยู่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับบอกว่าอาหารเช้าเตรียมเสร็จแล้ว เพราะงั้นก็เลยออกจากห้องแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องอาหารพร้อมกับคิดว่าจะทำยังไงกับเรื่องของคุโระดี
มื้อเช้านั้นเป็นสไตล์ตะวันตกแบบเรียบง่าย ที่เสิร์ฟด้วยขนมปังขาว สำหรับโลกนี้แล้วจะมีธรรมเนียมที่จะกินมื้อแรกเป็นขนมขาวอยู่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าต้องอบยังไงถึงได้ขนมปังขาวแบบนี้ก็ตาม แต่รสชาติก็คล้ายๆกับบัตเตอร์โรลทั่วๆไป
「เมื่อคืนหลับสบายดีไหมคะ?」
「เอ่อ คะ」
「หนูก็ด้วย ดูเหมือนว่าเมื่อวานจะเหนื่อยไปหน่อยก็เลยหลับอย่างไวเลยนะคะ」
「……」
อยู่ๆลิเลียซังถามขึ้นมา ก็เลยนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนเลยทำให้ไม่สามารถตอบกลับไปได้ทันที
「……ไคโตะซังละคะ?」
「เอ่อ หลังจากที่ชมจันทร์ที่ระเบียงเสร็จแล้วก็เข้านอนนะครับ」
「อ่อ พระจันทร์เมื่อคืนสวยดีนะคะ 『ฉันเองก็ออกไปรับลมแล้วก็ดูอยู่เหมือนกันคะ เมื่อคืนช่างเงียบสงบสมกับเป็นคืนที่30 ของเดือนแห่งท้องฟ้าจริงๆนะคะ 』」
「……นั้นสินะ」
เอ๊ะ? เมื่อคืนเงียบสงบ? แปลกๆแหะ……ถ้าจำไม่ผิดห้องเรากับของลิเลียซังนี่ ก็ไม่ได้อยู่ห่างขนาดที่เสียงตะโกนจะไปไม่ถึงไม่ใช่หรอ? ทำไมรู้สึกเหมือนคุยกันคนละเรื่องเลยหว่า……
แต่ก่อนที่จะสรุปข้อมูลได้ คุสึโนะกิซังก็ถามขึ้นมา
「แต่จะว่าไป สำหรับโลกนี้วันนี้เป็นวันปีใหม่สินะคะ ปกติจะทำอะไรกันเป็นพิเศษหรอคะ?」
「นั้นสินะ……สำหรับเผ่ามนุษย์ช่วงปีใหม่3วันแรก โดยปกติจะออกไปข้างนอก ไม่ก็อยู่ในบ้านของตัวเองนะจ๊ะ และหลังจากนั้นจะมีการจัดงานฉลองปีใหม่ขึ้น แต่ก็จะแตกต่างกันไปตามท้องที่นะ――」
ดูเหมือนว่าที่นี่เองก็จะมีธรรมเนียม3วันแรกเหมือนที่ญี่ปุ่น ที่จะมีบางร้านที่หยุดขายไปนะ และหลังจากนั้นลิเลียซังก็อธิบายรายละเอียดหลายๆอย่างให้ฟัง ทั้งเรื่องการรับพรจากเผ่าเทพหรือการจัดงานเลี้ยงปีใหม่
สิ่งที่เรียกว่าการรับจากเผ่าเทพ ก็เหมือนกับการไปขอพรที่วัดครั้งแรกของปีนั้นแหละ แต่ที่ต่างออกไปก็คือต้องไปยังวิหารที่เทพอาศัยอยู่แทน เพื่อไปขอให้มีสุขภาพดี หรือ ค้าขายดีตลอดปี ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเทพที่อาศัยอยู่และพิธีกรรมแตกต่างกันไป
「ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็ที่เมืองหลวงแห่งนี้จะมีวิหารที่สักการะเทพแห่ง『สุขภาพ』และ『กฎ』อยู่ โดยทั่วไปจะขอพรให้สุขภาพดีไม่ก็ขอให้บ้านเมืองสงบสุขนะ ส่วนที่ที่มีวิหารที่สักการะเทพแห่ง 『ความอุดมสมบูรณ์』 ก็จะขอให้การเก็บเกี่ยวเป็นไปด้วยดีแทน แต่ถึงจะพูดอย่างงั้น คนที่สามารถเจอกับเหล่าเทพธิดาและได้รับพรโดยตรงก็มีแค่เหล่าเชื้อพระวงค์และขุนนางเท่านั้น คนส่วนใหญ่ที่ไปที่วิหารก็เพื่อไปฟังคำอวยพรจากเหล่านักบวชเท่านั้นแหละคะ」
และดูเหมือนว่าค่าความศรัทธาของแต่ละพื้นที่เองก็จะมีผลด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่เองปกติก็จะได้รับพรกันอยู่แล้ว เพียงแค่ว่าธรรมเนียมเหล่านี้เป็นแค่ของเผ่ามนุษย์เท่านั้น ส่วนธรรมเนียมของเผ่าเทพและเผ่ามารจะต่างกันไป
สำหรับเผ่าเทพนั้นในวันนี้จะอธิษฐานให้แก่เทพผู้สร้าง และ จะไม่กินอะไรเลยทั้งวัน
ส่วนเผ่ามารจะจัดพิธีกรรมที่เป็นเหมือนกับการขอบคุณเหล่าหกราชันแทน โดยที่ในวันแรกของปีใหม่นั้นจะทำการกินอาหารที่ถูกกำหนดขึ้นมาไว้เพียงอย่างเดียว
「และอย่างที่ทุกคนทราบดี ลูน่าจะเลือกเข้าพิธีกรรมของเผ่ามารคะ」
「เอ๊ะ? ลูน่าซัง、เป็นเผ่ามารหรอคะ!?」
「สำหรับคำถามของฮินะซัง จะบอกว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ก็ได้คะ」
「แต่ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆก็คือ ดิฉันเป็นเลือดผสมระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามารคะ」
หลังจากที่ได้ยินความจริงจากลิเลียซัง พวกเรานั้นถึงกับตกใจแต่ถึงอย่างงั้นลูน่ามาเรียซังกับตอบกลับด้วยท่าทางปกติ ดูเหมือนว่าที่โลกนี้การที่เผ่ามนุษย์กับเผ่ามารเป็นมิตรกันนั้น การมีเลือดผสมนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกอะไร แต่กลับเป็นเรื่องปกติซะด้วยซ้ำ
「ถ้าจะให้อธิบายอย่างละเอียดละก็ ตัวดิฉันมีเลือดของเผ่ามนุษย์และเผ่าเอลฟ์อยู่อย่างละ1/4 ส่วนเลือดเผ่ามารมีอีกครึ่งนึงคะ เพราะงั้นตรงปลายหูจึงมีความคล้ายกับเผ่าเอลฟ์อยู่นิดหน่อยคะ」
「อ้อ~」
พอลูน่ามาเรียซังพูดเสร็จเธอก็เสยผมให้พวกเราเห็นหูของเธอ จริงด้วยแหะหูของเธอแหลมกว่าปกตินิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เรียวยาวเหมือนอย่างเอลฟ์ในจินตนาการสักเท่าไร
อย่างงี้นี่เอง สำหรับโลกนี้ที่หลายเผ่าพันธ์และมีการติดต่อค้าขายกันมันก็คงไม่ใช่เรื่องปกติ แต่จะว่าไป ลูน่ามาเรียซังนี่เป็นตัวอย่างของคนต่างโลกดีๆเลยนี่หว่า
「เคยได้ยินมาว่าสำหรับคนต่างโลกนั้น ค่อนข้างที่จะอ่อนไหวกับคำว่าเลือดผสมอยู่――แต่คนที่ทำงานอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นเลือดผสม สำหรับโลกนี้แล้วมันค่อนข้างที่จะปกตินะคะ」
ดูเหมือนว่าลิเลียซังจะเข้าใจถึงเรื่องที่พวกเราตกใจสินะ เพราะงั้นเธอก็เลยยิ้มให้พร้อมกับอธิบายว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไร แต่จะว่าไปในนิยายแฟนตาซีทั่วไปพวกเลือดผสมนี่ส่วนใหญ่มักจะถูกขับไล่ ไม่ก็ถูกกลั่นแกล้งเพราะรูปลักษณ์ภายนอกซะส่วนใหญ่นี่เนอะ สงสัยต้องจำเอาไว้จะได้ไม่ไปตัวเสียมารยาททีหลัง
และดูเหมือนว่าลิเลียซังจะเป็นเผ่ามนุษย์เลือดบริสุทธิ์แท้ ถึงจะไม่รู้ว่าบรรพบุรุษเป็นไง เพราะดูเหมือนว่าจะขี้เกียจไปค้นดู
「……แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ส่วนสาเหตุที่ลูน่าเข้าร่วมพิธีของเผ่ามารนั้นเรียบง่าย――ลูน่า สิ่งที่เธอจะกินวันนี้คืออะไรหรอ?」
「กินสิ่งที่ราชันนรกที่ดิฉันเคารพรักกำหนดคะ!」
「……ขอเสริมนะคะ โดยปกติอาหารที่กำหนดนั้นจะถูกเลือกโดยหกราชันคนใดคนนึง」
「「「……อะ」」」
「แน่นอนว่า ในปีนี้คนที่ได้กำหนดสิ่งนั้นก็คือราชันนรกและท่านก็ได้เลือกไว้67ชนิดมี…」
「ตรงนั้นไม่ต้องพูดถึงมันก็ได้นะลูน่า」
ลิเลียซังที่ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายกำลังพยายามหยุด สาวกผู้คลั่งไคล้ที่กำลังจะสาธยายออกมาด้วยสีหน้าที่ดูมีชีวิตชีวา
แต่จะว่าไป ทำไมอาหารที่ถูกกำหนดมันถึงมีหลายชนิดจังหว่า!? อะ งี้นี่เอง เผ่ามารมันมีอยู่หลายเผ่านี่เนอะ? คงจะมีบางเผ่าที่ไม่สามารถกินของบางอย่างได้อยู่ เป็นการเอาใจใส่สินะ? แถมการที่ลูน่ามาเรียซังสามารถจำอาหารที่ราชันนรกกำหนดไว้ได้หมดแบบนั้นเองน่าตกใจอยู่เหมือนกันแหะ……
หลังจากที่กินมื้อเช้ากันเสร็จ ลิเลียซังก็เริ่มคุยถึงเรื่องราวของโลกใบนี้อีกครั้งนึง ในขณะที่เล่าอยู่นั้นเธอก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้
「อะ ลืมบอกเรื่องนึงไป……หลังจากนี้ทุกคนเองก็จะได้รับพรจากเทพธิดาเหมือนกับเหล่าเชื้อพระวงค์และขุนนางคนอื่นๆนะคะ ถ้าจะให้พูดตรงๆ ดูเหมือนว่าร่างกายของเหล่าผู้กล้านั้นจะติดโรคประจำถื่นได้ง่าย เพราะงั้นทุกทีจึงต้องมีการให้พรไร้โรคภัยไว้ก่อนนะคะ」
อย่างงี้นี่เองถึงจะไม่รู้ว่าที่โลกนี้มีแนวคิดเรื่องภูมิคุ้มกันอยู่รึป่าว แต่มันก็คงจำเป็นจริงๆนั้นแหละเพราะอยู่ๆต้องมายังสถานที่แปลกๆแบบนี้ เท่าที่ฟังจากชื่อ พรไร้โรคภัย นั้นก็พอเข้าใจถึงความสำคัญอยู่ และเอาจริงๆ อุส่าได้มาต่างโลกทั้งทีก็ไม่อยากตายเพราะโลกระบาดหรอกนะ
「แต่สำหรับคุณหนูควรไปขอพรเรื่อง『ความรัก』ไม่ก็『การแต่งงาน』น่าจะดีกว่าไหมคะ?」
「……ลูน่า、นี่เธอ……รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังพูดออกมาสินะ?」
「……อ่อ! จะว่าไป เคยขอไปสอ――อั๊ก!?」
เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นนะ? ในขณะที่ลูน่ามาเรียซังกำลังพูด อยู่ๆลิเลียซังนั้นลุกขึ้น แล้วเหมือนกับชกใส่ลิ้นปี่ของลูน่ามาเรียซังยังไงยังงั้น แต่มันเร็วจัดจนเห็นไม่ค่อยชัดสักเท่าไร รู้สึกแค่ว่าเหมือนกับมือของลิเลียซังหายไปแวบนึง แล้วอยู่ๆลูน่ามาเรียซังก็เอามือกุมหน้าอกตัวเองแล้วก็ทรุดลงไป……
「……เมื่อกี้、พูดอะไรรึป่าวคะ?」
「……สะ、สมกับเป็น……คุณหนู……ดูเหมือนว่าฝีมือยังไม่ตก……」
ในขณะที่ลิเลียซังกำลัดพูดด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว กับลูน่ามาเรียซังที่ดูท่าจะยังไม่เข็ดอยู่นั้น ก่อนที่จะคิดว่าทั้งคู่ดูสนิทกันดีจังนะ พวกเรา3คนก็เริ่มกระสิบกัน
「……เห็น、เมื่อกี้ไหม?」
「ไม่คะ มองแทบไม่ทันเลย」
「หรือว่าที่จริงแล้ว、ลิเลียซังนี่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งสุดๆไปเลย……」
ในขณะที่พวกเรากำลังกระซิบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้……ซึ่งเอาจริงๆก็มองไม่ทันนั้นแหละอยู่
「ให้ตายสิเธอนี่นะ――อะ!?」
「「「อึก!?」」」
「อะ ไม่ใช่นะคะ เข้าใจผิดแล้ว!คือ แบบว่า เมื่อกี้มัน……」
หลังจากที่ได้เห็นหมัดที่เฉียบคมซึ่งไม่เหมาะกับคุณหนูที่เป็นลูกขุนนางแบบนั้นเข้าให้ ลิเลียซังที่เหมือนจะรู้สึกตัวเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเราตกใจอยู่นั้น เธอก็หันมาทางพวกเราพร้อมกับพยายามอธิบายอย่างร้อนรน
「บะ แบบว่า เมื่อก่อน、เคยได้มีโอกาสเข้าร่วมกับกองทัพอัศวินมาก่อน เพราะงั้นก็เลยพอมีประสบการณ์ต่อสู้จริงบ้างนิดหน่อยนะคะ……ก็เลย……」
「ก่อนที่คุณหนูจะเข้ามารับตำแหน่งดยุกนั้น คุณหนูเคยเป็นถึง『หัวหน้าหน่วย』อัศวินที่2ประจำราชอาณาจักรมาก่อนนะ」
「「「เอ๋!!!!!!!!!?」」」
「แล้วทำไมถึงต้องบอกข้อมูลที่มันไม่จำเป็นแบบไปด้วยละ!?」
นึกว่าจะเป็นลูกดยุกที่เรียบร้อยแบบถูกเลี้ยงอย่างไข่ในหินซะอีก ไม่นึกเลยว่าจะเป็นสายบู้ซะงั้น
และเพราะไม่รู้ว่านั้นเป็นการเอาคืนที่ถูกลิเลียซังต่อยรึเปล่า ลูน่ามาเรียซังถึงได้มีรอยยิ้มที่เหมือนกับเจอของเล่นที่น่าแกล้งขึ้นมาแบบนั้น
「……ลิเลียซังนี่ ไม่ใช่ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์หรอ?ไม่นึกเลยว่าเป็นสายบู๊แบบนั้น」
「มะ ไม่ใช่แบบนั้นนะคะไคโตะซัง!? ที่จริงท่านแม่เป็นคนบอกไว้ว่าควรที่จะเรียนรู้ทั้งบู๊ และ บุ๋น ไปพร้อมๆกันนะคะ เพราะงั้นก็เลยได้มีโอกาสไปเข้าร่วมกับกองทัพอัศวินแค่แปปเดียวนะคะ! 」
「……ถ้างั้นก็หมายความว่าเพียงไม่นานก็ขึ้นเป็นระดับหัวหน้าหน่วย?ได้นั้นมันสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรอคะ」
「อาโอยซังก็ด้วย!?มะ ไม่ใช่นะคะ ก็นั้นไง เพราะเป็นเชื้อพระวงศ์ก็เลย เลื่อนขั้นได้เร็วกว่าปกตินะคะ……」
「……นอกจากนี้ยังมีผลงานจนถูกเรียกว่า『เจ้าหญิงกุหลาบขาว』――ถ้าจะให้พูดถึงวีรกรรมเด่นๆก็คงเป็น การบุกเดี่ยวไปทำลายกองโจรจนย่อยยับ หรือไม่ก็เปิดเทศกาลนองเลือดกับฝูงมอนสเตอร์นะคะ แต่ไม่ว่าจะอันไหนก็เป็นผลงานที่ทำให้เลื่อนขั้นได้เร็วๆทั้งนั้นเลย」
「ลูน่า!!」
「……หรือว่าที่จริงแล้ว ลิเลียซังจะเป็นคนที่น่ากลัวสุดๆกัน……」
「ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ฮินะซัง!? เรื่องพวกนั้นเป็นแค่เรื่องที่คนรอบข้างพูดเว่อร์ไปเพื่อเพิ่มความสนุกเท่านั้นเองคะ!? ได้โปรดอย่ามองฉันด้วยสายแบบนั้นเลยนะคะ!」
ในขณะที่ลิเลียซังกำลังทำท่าร้อนรนอยู่นั้น ลูน่ามาเรียซังกับดูเหมือนกับกำลังสนุกอยู่เพราะงั้นก็เลยยังพูดไม่หยุด แต่ว่าพอดูจากท่าทีที่ไม่ปฏิเสธกับท่าทางลนลานแบบนั้นแล้ว……บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแต่งแต่เป็นเรื่องจริงสินะ
「แล้วก็ ครั้งแรกที่ดิฉันได้เจอกับเห็นคุณหนู ก็คือการแข่งขันระหว่างสมาชิกอัศวินที่จะจัดขึ้นทุกปี」
「ลูน่า……ขอร้องละ ได้โปรดอย่าเล่าเรื่องนั้นเลยนะ」
「ดิฉันในตอนนั้นยังทำตัวเป็นนักผจญภัยอยู่ มีโอกาสได้ไปดูการแข่งขันที่จะจัดขึ้นที่เมืองหลวง แล้วบังเอิญได้ไปเห็นเด็กสาวที่ในตอนนั้นยังมีอายุได้เพียงแค่14ปี สามารถใช้ทักษะดาบที่งดงามชนะเข้าไปได้คะ」
「ม่ายยยยยย……ขอร้องละ……อย่าเล่าเรื่องนั้นนะะะะ……」
ดูเหมือนว่าจะเป็นประวัติมืดสำหรับลิเลียซังสินะ แต่ว่าฐานะมันควรกลับกันไม่ใช่หรอทำไมอยู่ๆคนที่เป็นเจ้านายถึงไปกอดอ้อนวอนลูน่ามาเรียซังที่เป็นลูกน้องแบบนั้นละ เอาจริงๆก็คิดอยู่นะว่ามันน่าสงสาร แต่ว่าความอยากรู้ดูเหมือนมันมากกว่าเพราะงั้นขอเงียบต่อก็แล้วกัน ขอโทษด้วยนะ ลิเลียซัง
「คู่ตัวสู้ทุกคนนั้นล้วนแต่เป็นอัศวินที่มีประสบการณ์การต่อสู้ทั้งนั้น! และในรอบที่5 ดาบของคุณหนูที่ได้รับการโจมตีที่รุนแรงนั้นหักลง……ตัวดิฉันและเหล่าผู้ชมรอบๆต่างคิดว่าคุณหนูจะต้องแพ้แล้วแน่ๆ」
「……ไม่ใช่นะคะ……แบบว่า พอเป็นศึกแรกแล้วอารมณ์ขึ้นก็เลย……」
「แต่ทว่า คุณหนูกับเลือกที่จะทิ้งดาบของตัวเอง 『และใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างที่หุ้มพลังเวทย์เอาไว้จับดาบของอีกฝ่ายที่กำลังฟันลงมา』และบดขยี้ท่อนบนจนแหลกละเอียด!!」
「「「เอ๊ะ?」」」
「อีกทั้งยังโต้กลับด้วยการคลุกเข้าวงในไปทั้งๆที่อีกฝ่ายนั้นใส่เกราะอยู่! ในตอนนั้นก็แอบคิดเหมือนกันนะว่าบางทีเด็กสาวคนนี้อาจจะไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นออก้าสายพันธ์พิเศษรึเปล่านะ ก็เล่น『ทำลายเสื้อเกราะด้วยมือเปล่า』และชนะมาได้นะคะ」
「「「เอ๋!!!!!!!!!!!!!!?」」」
「ได้โปรด……หยุดเล่าทีเถอะนะ……รอร้องละ……」
「ในตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสพร้อมกับการชูหมัดขึ้นฟ้าของคุณหนูนั้น ดิฉันก็คิดว่า――คนๆนี้แหละที่เราอยากจะขอรับใช้นะคะ」
「อ้าาาาาาาา……」
ลูน่ามาเรียซังที่เล่าด้วยสีหน้าสดใส กับลิเลียซังที่หน้าแดงถึงหูซึ่งกำลังก้มหน้าลงไปที่โต๊ะเพราะโดนแฉอดีตตอนวัยรุ่น?
ลูน่ามาเรียซังนี่ใส่ไม่ยั้งจริงๆ ถึงแม้มันอาจจะดูเสียมารยาทไปหน่อยที่ไม่ยอมช่วยอะไรตอนที่ฟังวีรกรรมเก่าๆแต่ว่า การที่ได้เห็นสาวสวยที่อายจนหน้าแดงแบบนี้ ก็ดูน่ารักไม่เลวเหมือนกันแหะ
「……ไม่ใช่นะคะ……เรื่องตอนนั้นมันเกิดขึ้นเร็วก็เลย……」
「นอกจากนั้นเพราะเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้『จิตใจของเหล่าผู้มีสิทธิ์เป็นคู่หมั้น』ที่ทางบ้านเลือกไว้ให้แตกละเอียดไปพร้อมๆกันด้วย เพราะงั้นก็เลยทำให้เรื่องขอหมั้นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมานะคะ」
「「「……」」」
ทุกอย่างเงียบสนิท ได้โปรดพอเถอะนะ ลูน่ามาเรียซัง! HPของลิเลียซังแทบไม่เหลือแล้วนะ!? น้ำตาเริ่มคลอแล้วด้วย!!
ภายในห้องที่เงียบสนิทนั้นกลับได้ยินแค่เสียงของลิเลียซังที่บ่นงุบงิบว่า「ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย」อย่างเดียว ไม่รู้ทำไมลูน่ามาเรียซังถึงมองมาที่ผม พร้อมกับชี้นิ้วไปทางโต๊ะที่ลิเลียซังนอนพับอยู่
เอ๊ะ? อะไร? หรือว่า จะบอกเป็นนัยๆว่าให้ผมทำอะไรสักอย่างหรอ?ไม่ไหวหรอก!? คุสึโนะกิซัง และ ยูซึกิซังเองก็ด้วยทำไมมองมาทางนี้ละ!? ก็บอกว่าไม่ไหวไง จะให้คนไร้เพื่อนแบบนี้มาช่วยแก้ไขบรรยากาศตอนนี้มันยากไปหน่อยมั้ง!?
แต่ว่านะ ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้มันเพราะยัยเมดไม่ได้เรื่องนั้นไม่ใช่หรอ ถึงแม้ตัวเองจะรู้สึกผิดที่ไม่พยายามหยุดอยู่เหมือนกันก็เหอะ แต่สุดท้ายเพราะความห่วยของตัวเองที่ไม่สามารถต้านแรงกดดันของเสียงข้างมากกับบรรยากาศแบบนี้ได้จึงไม่มีทางเลือกอื่น
「……เอ่อ คือว่านะ ลิเลียซัง?」
「……กระซิก……ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ……ไคโตะซัง ฉันไม่ใช่『หญิงโหดที่ไม่มีทั้งเลือดและน้ำตา』หรือ……『เขี้ยวมังกรของกุหลาบขาว』อะไรแบบนั้นนะคะ」
อะ ท่าทางแบบนี้ อดีตน่าจะโดนแกล้งมาพอตัวเลยนะนี่……เข้าขั้นเป็นแผลใจเลยแหะ อั๊ก สายตาอ้อนวอนแบบนั้นแม่งน่ารักสัส……ไม่ใช่สิ!ต้องปลอบเธอ ต้องปลอบเธอ……
「รู้อยู่แล้วละครับ! เพียงแค่ ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง อีกอย่างผมก็ไม่คิดว่าลิเลียซังจะเป็นคนที่ใช่กำลังหาเรื่องคนไปทั่วแบบนั้นอยู่แล้วด้วย!」
「กระซิก……จริงๆนะ?」
「ครับ! แถม ตอนนั้นยังอายุแค่14เองไม่ใช่หรอ? การที่อายุแค่นั้นต้องมาลงแข่งขัน ครั้งแรกมันก็ต้องพยายามให้เต็มที่หน่อยใช่ไหมละ อีกอย่างก็แค่โชคดีจนชนะมาได้มันก็เท่านั้น……」
「อะ สุดท้ายจบด้วย『รองชนะเลิศ』นะคะ」
เดียวเหอะ ยัยเมดไม่ได้เรื่องตรงนั้นช่วยเงียบไปก่อนได้ไหม
「เอาเป็นว่า ถึงแม้ว่าเราเพิ่งจะรู้จักกันได้แค่วันเดียวก็ตาม แต่เรื่องที่ลิเลียซังนั้นอ่อนโยนนั้นผมเข้าใจดีเลยละ ถึงแม้จะไม่รู้เหตุการณ์ตอนนั้นมันเป็นมายังไง……แต่ผมก็ไม่มีทางกลัวลิเลียซังเพราะเรื่องในอดีตที่มาแล้วหรอกครับ」
「กระซิก……ไคโตะซัง……」
ปลอบเธอได้สำเร็จไหมนะ? เห้ย แล้วมายกนิ้วทำดีมากให้หาอะไรของเธอฟะยัยเมดไม่ได้เรื่อง!
พอเห็นลูน่ามาเรียซังที่บังอาจโยนปัญหาให้ แล้วยังมาบอกว่าทำได้ดีมากแบบนั้นแล้วมันก็รู้สึกโกรธขึ้นมาเลย เพราะงั้นก็หันไปมองทางอื่นแทน
「……เพราะงั้นนะครับ เรื่องที่ผมอยากจะบอกก็คือ……มันไม่ใช่ความผิดของลิเลียซังซะหน่อย?」
「……เอ๊ะ?」
「……หะ?」
「ก็นั้นไง ไม่ว่าใครก็มีอดีตสักอย่างสองอย่างที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้อยู่ใช่ไหมละ เพราะงั้นคนที่เอาเรื่องของคนอื่นมาเล่าอย่างมีความสุขมันช่างโหดร้ายจริงๆนะครับ ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่แค่ขอโทษแล้วมันจะหายกันด้วยสิ」
「อะ เอ่อ ท่านมิยามะคะ? 」
「……เพราะงั้น คนที่สมควรได้รับการลงโทษจริงๆก็คือคนแบบนั้นไม่ใช่หรอครับ ถึงแม้ว่าลิเลียซังเป็นคนอ่อนโยนก็ตาม แต่ในสถานการณ์แบบนี้สมควรที่จะจัดการให้เรียบร้อยไม่ใช่หรอครับ 」
「……นั้น สินะคะ」
ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเท่าที่จะเป็นไปได้พร้อมกับบอกว่าลิเลียซังไม่ได้ผิดอะไร เพราะงั้นลิเลียซังก็เลยหยุดร้องไห้ พร้อมกับลูน่ามาเรียซังที่มีหน้าซีดแทน สมน้ำหน้า ทำตัวเองล้วนๆ
「โอ๊ะ ขอโทษนะครับ พอดูเหมือนว่าจะกินมื้อเช้าเยอะไปหน่อย……เพราะงั้นขอออกไปเดินเล่นเพื่อย่อยหน่อยนะครับ หลังจากนั้นค่อยกลับมาคุยกันต่อก็ได้……คุสึโนะกิซังกับยูซึกิซังเองก็สนใจไปเดินชมคฤหาสน์ด้วยกันไหม?」
「……นั้นสินะคะ」
「ไปคะ」
ดูเหมือนว่าลิเลียซังจะพยายามทำให้พวกเรารู้สึกสบายใจ ครั้งนี้เธอก็คงจะกังวลว่าพวกเราจะรู้สึกกลัวเธอรึเปล่าด้วยนั้นแหละ เพราะงั้นลิเลียซังก็เลยพยายามที่จะไม่โกรธต่อหน้าพวกเรา
หลังจากที่ตัดสินใจกันเสร็จ ผมก็ทำเป็นชวนคุสึโนะกิซังกับยูซึกิซังออกไปข้างนอกอย่างเป็นธรรมชาติ และตอนที่เดินไปถึงประตู หางตาก็เห็นลิเลียซังยืนขึ้นพร้อมกับลูน่ามาเรียซังที่มีหน้าขาวซีด
「อะ เอ่อ ถ้างั้นดิฉันขออนุญาติเป็นคนนำ――「อะ พอดีจำเส้นทางพอได้แล้วเพราะงั้นไม่เป็นไรครับ」――อุ๊!?」
「……ลู~น่า~」
「ฮี้!? คุ คุณหนู、คะ……คะ、คือว่า……」
หลังจากที่พวกเราออกมาจากห้อง เหมือนจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนออกมา แต่ถึงอย่างงั้นก็พวกเราหันหลังกลับไปมอง พอผ่านไปสักพักก็เหมือนกับได้เสียงกรี๊ดร้อง『ของใครสักคน』ออกมา แต่คงคิดไปเองนั้นแหละ
ถึง คุณพ่อ คุณแม่ที่รัก――ลิเลียซังเป็นคนที่น่ารักและอ่อนโยนสุดๆ แต่――ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นสายบู๊ซะงั้น
―――――――――――――――――――――――――――――――――
ในที่สุดก็แปลเสร็จสักทีช่างเป็นตอนที่ใช้เวลาแปลนานจริงๆ ใช้เวลาแปลตั้ง1เดือนเต็มๆ
ในตอนนี้ผมขอเปลี่ยนคำเรียก หกราชันคนนึงนะ เป็น ราชันนรก
สาเหตุที่เปลี่ยนก็เพราะผมลืมว่าตัวเองเรียกยังไงไป แถมพอกลับไปดูตอนเก่าที่แปลก็รู้สึกตัวว่า
ตอน4(ราชันยมโลก) กับ 5(ราชันปรโลก) ที่แปลไว้แม่งแปลได้ไม่เหมือนกันนี่หว่า เพราะงั้นขอเปลี่ยนมาเรียกแบบนี้ก็แทนนะครับ จำง่ายดี