[นิยายแปล]ติดร่างแหไปต่างโลก แต่ต่างโลกดันสงบสุขซะงั้น - ตอนที่ 7
หลังจากที่รวมตัวกับลูน่ามาเรียซังเรียบร้อย พวกเราก็กลับมายังคฤหาสน์ของลิเลียซัง ซึ่งก็ถึงเวลากินอาหารเย็นแล้วพอดี ถึงเรื่องที่เกิดทั้งหมดนั้นจะเป็นความผิดของผมก็ตาม แต่พอลิเลียซังรู้ถึงเรื่องที่พวกเรานั้นพลัดหลงกันในเมืองก็เป็นห่วงใหญ่เลย เพราะงั้นเธอก็เลยยิงคำถามใส่รัวๆ ก็เลยเล่าถึงเรื่องที่มีเด็กสาวเผ่ามารที่ดูใจดีมาช่วยเอาไว้ให้ฟังไปด้วย
แต่ถึงอย่างงั้นลิเลียซังก็ดูเหมือนจะยังเป็นห่วงอยู่ดี อีกทั้งยังขอรับฝากสร้อยคอที่คุโระมอบให้เพื่อเอาไปตรวจสอบดูว่าได้ใส่เวทมนต์แปลกๆอะไรเอาไว้อีกรึป่าว เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธก็เลยมอบให้ไปโดยดี
หลังจากนั้นก็เริ่มกินมื้อเย็นกัน――ในตอนแรกก็แอบหวั่นใจอยู่เหมือนกันว่าอาหารเย็นรอบนี้จะเป็นยังไงบ้าง แต่ดูเหมือนว่าลิเลียซังจะเข้าใจก็เลยไม่ได้สั่งให้เสิร์ฟอาหารแบบเป็นคอร์สเหมือนตอนแรก แต่ให้เสิร์ฟอาหารแบบร้านอาหารทั่วๆไปแทนก็เลยกินได้อย่างสบายใจ
หลังจากที่กินอาหารเย็นเสร็จเธอก็ได้แนะนำภายในคฤหาสน์แบบง่ายๆให้ฟัง แล้วก็ยังมอบห้องที่มีขนาดกว้างเกินไปสำหรับที่นอนคนเดียวมาให้ รวมทั้งอธิบายถึงเวลาอาบน้ำให้ฟังอีกด้วย แต่ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ เพราะที่คฤหาสน์แห่งนี้มีผมคนเดียวที่เป็นผู้ชาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุผลการไม่พึงประสงค์ขึ้น ก็เลยมีการกำหนดเวลาอาบน้ำเอาไว้
ถ้าเป็นในนิยายละก็ห้องอาบน้ำนั้นมักจะเป็นสถานที่ที่ก่อให้เกิดอีเวนส์พิเศษขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ที่ทำให้ผมไม่ได้เป็นพระเอกในนิยายแนวนั้น จึงทำให้ไม่มีอีเว้นท์อะไรแบบนั้นเกิดขึ้น และหลังจากที่แช่น้ำในบ่อที่กว้างเกินไปสำหรับคนเดียวเสร็จก็กลับห้องตัวเอง
ในระหว่างที่เดินกลับห้องแสงตามทางเดินนั้นมันไม่ใช่แสงจากคบไฟหรือหลอดไฟ แต่เป็นแสงที่ลอยอยู่บนอากาศแทน นั้นจึงทำให้มันรู้สึกแปลกตาหน่อยๆ คฤหาสน์หลังนี้ต้องบอกว่าสมกับเป็นบ้านขุนนางจริงๆแม่งโคตรใหญ่เลย แล้วก็ต้องขอบคุณจริงๆที่ให้ห้องของผมนั้นอยู่ไม่ไกลกับห้องน้ำสักเท่าเท่าไร เพียงแต่การเดินบนโถงทางเดินที่มันเงียบสนิทแบบนี้มันให้บรรยากาศเหมือนกับอยู่ในเรียวกังตอนกลางคืนเลย
「……คุ…คะ……」
คงเป็นเพราะมันเป็นคืนที่เงียบสงบจนเกินไป หรือไม่ก็เป็นเพราะมันเป็นคืนแรกในต่างโลกเลยทำให้ความรู้สึกระวังตัวนั้นเฉียบแหลมขึ้นมาก จนทำให้ได้ยินเสียงสะอื้นที่ออกมาจากหลังประตูที่ดูหนาพอที่จะกันเสียงแบบนี้ได้
พอได้ยินเสียงนั้นก็เลยหยุดโดยไม่รู้ตัว ถ้าจำไม่ผิดห้องนี้เป็นห้องของยูซึกิซังสินะ? กำลังร้องไห้อยู่หรอ? ก็คงไม่แปลกแหละอยู่ๆก็ถูกพามายังต่างโลกแบบนี้ แถมยังโดนบอกอีกว่าถ้ายังอยู่ไม่ครบ1ปีก็ไม่สามารถกลับโลกเดิมได้ อีกอย่างพอความรู้สึกสับสนหายไป การที่ความรู้สึกกังวลใจและความเหงาจะออกมาแทนมันก็เป็นเรื่องปกติแหละ
……แต่ถึงจะพูดแบบนั้นไป แต่ก็ใช่ว่าเราจะทำอะไรให้เธอได้สักหน่อย สำหรับเราแล้วเธอนั้นเป็นเพียงแค่คนที่มาจากประเทศเดียวกันเท่านั้น ไม่เคยแม้แต่จะคุยกันมาก่อนซะด้วยซ้ำ เรื่องที่เราทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงแค่ ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรและเดินจากไปเท่านั้น
หลังจากถอนหายใจหนึ่งที เราก็เริ่มเดินไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และหลังจากที่เดินไปได้ประมาณ10ก้าวก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว ทุกอย่างนั้นกลับไปเงียบเหมือนปกติ
แต่ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องบังเอิญมันชอบเกิดติดๆกันแบบนี้ตลอด――ตรงด้านหน้านั้นมีคุสึโนะกิซังกำลังเดินมาทางนี้อยู่ ถึงแม้ตัวเองจะมีความคิดที่ว่าชุดนอนของผู้หญิงในยุคกลางนั้นจะต้องเป็นเสื้อคลุมแบบหลวมๆก็ตาม แต่ชุดที่คุซึโนะกิซังใส่นั้นกับเป็นชุดนอนสีขาวธรรมดาๆที่ให้ความรู้สึกน่าคิดถึง
「……」
「……」
ถึงจะบอกไปแล้วหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ว่าผมกับพวกคุสึโนะกิซังและยูซึกิซังก็ไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้น เป็นแค่คนอื่นคนไกลที่ดันต้องมาติดอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันเท่านั้น เพราะงั้นพวกเราก็เลยเดินผ่านกันไปโดยแค่พนักหน้าให้กันเล็กน้อยและไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
「……มิยามะซัง」
「หืม?」
เพราะงั้นการที่อยู่ๆก็ถูกเรียกแบบนั้นเลยทำให้รู้สึกตกใจนิดหน่อย ก็เลยหันกลับไปตามเสียงนั้น คุซึโนะกิซังที่หยุดเดินนั้นยังคงหันหลังให้ผมและมองไปข้างหน้าเหมือนเดิม แต่แผ่นหลังของเธอที่ผมเห็นนั้นถึงแม้จะมีเส้นผมสีดำยาวสลวยปิดบังอยู่ก็ตามแต่มันช่างดูบอบบางซะยิ่งกว่าตอนที่เธอยังใส่ชุดนักเรียนซะอีก
「……มิยามะซัง、ทำไมดูท่าทางใจเย็นจังคะ」
「เห็นเป็นแบบนั้นหรอ?」
「……คุณเชื่อเรื่องที่พวกลิเลียซังเล่าให้ฟังรึป่าวคะ?」
เธอไม่ได้ตอบคำถามผมกลับ แต่เธอนั้นก็ยังถามต่อ อาจจะเป็นเพราะบนทางเดินนั้นมีแค่แสงไฟสลัวๆอยู่ก็เลยทำให้เห็นไม่ค่อยชัดสักเท่าไร แต่ถึงอย่างงั้นก็รู้สึกได้ว่าไหล่ของเธอนั้นกำลังสั่นอยู่
ถึงจะถามว่าเชื่อสิ่งที่ลิเลียซังเล่ามารึป่าวก็เหอะ? แต่มันคงจะหมายถึงเรื่องความปลอดภัยและเรื่องที่จะเป็นคนดูแลทุกอย่างให้อะไรพวกนั้นสินะ? ถ้าเป็นเรื่องนั้น คำถามตอบฉันก็คือ――
「ไม่รู้สิ อย่างน้อยก็ตอนนี้นะ」
「……เอ๊ะ?」
「ถึงจะคิดว่าเขาเป็นคนดีก็ตาม แต่ถ้าถามว่าเชื่อใจได้รึไม่ละก็ จะให้ตอบว่า Yes เลยก็คงจะไม่ได้ กับคนที่เพิ่งจะได้รู้สึกจักกันยังไม่ถึงครึ่งวันการจะให้เชื่อใจเต็มร้อยนั้นก็คงจะยาก……เพียงแต่ว่า ในตอนนี้มันไม่มีคนอื่นให้พึ่งนะสิ」
「…นั้น……สินะคะ」
ถึงจะไม่ถึงกับพูดว่าลิเลียซังกับลูน่ามาเรียซังนั้นเป็นคนเลว หรือ บอกว่าพวกเธอนั้นพูดโกหกก็ตาม แต่เรื่องที่พวกเธอนั้นจะเป็นคนดูแลความสะดวกสบายให้ก็ต้องขอบคุณมากจริงๆแหละ แต่ถ้าถามว่าแล้วเชื่อใจพวกเธอได้ไหม ตอนนี้ก็คงตอบได้แค่ ว่าไม่รู้เหมือนกัน เท่านั้น
ก็แหมตั้งแต่ที่พวกเรามายังโลกนี้นอกจากพวกลิเลียซังแล้วก็ยังไม่เคยคุยกับคนอื่นด้วยสิ เพราะงั้นก็เลยยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีข้อมูลที่จะเอามาใช้ในการตัดสินใจอะไรทั้งนั้น แถมตัวเองก็ไม่ใช่เป็นคนที่มีนิสัยมองโลกในแง่ดีจนถึงขนาดรู้สึกสบายได้โดยไม่ต้องคิดอะไรแบบนั้นด้วย
「……」
「……」
อยู่ๆบรรยากาศก็เงียบเฉย แต่ดูเหมือนว่าคุสึโนะกิซังเองก็ตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่างอยู่?
「……ถ้างั้นทำไม ตอนที่ต้องออกไปซื้อของกับลูน่ามาเรียซังกันสองคนถึงได้ตอบตกลงไปทันทีแบบนั้นได้ละคะ?」
「เพราะมันเป็นการไปซื้อของที่จำเป็น ละมั้ง?」
「……หนูรู้สึกกลัวคะ การที่ต้องมาอยู่ในสถานที่ที่เราไม่รู้จัก และการที่อยู่ๆก็มีคนคนที่เราไม่เคยแม้แต่จะคุยด้วยมายื่นความใจดีให้โดยไม่ต้องการผลตอบแทนให้แบบนั้น บอกตามตรงหนูรู้สึกกลัวมากเลยคะ」
「ของฟรีไม่มีในโลกสินะ?ชั้นคิดว่านั้นเป็นความรู้สึกที่ถูกต้องแล้วละนะ?」
「……ถ้าอย่างงั้นทำไม คุณถึงยังมีท่าทีที่ดูสบายใจแบบนั้นได้อยู่ละคะ?ทั้งๆที่หนูนั้นมีฮินะจังกับมิซึนากะคุงอยู่ด้วยแท้ๆ แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังรู้สึกกังวลถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่เข็มแข็งเอาไว้ตลอดละก็จะร้องไห้ออกมาได้ทันทีเลยแท้ๆ……ถึงจะไม่ได้บอกถึงขนาดที่ว่าพวกลิเลียซังอาจจะทำร้ายพวกเราก็ได้ แต่วันนี้คุณนั้นพลัดหลงกันในเมือง? นั้นหมายความว่าคุณต้องอยู่ตัวคนเดียวในต่างโลกเลยนะคะ? ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นทำไม ทำไมคุณถึงยังมีท่าทีที่ดูสบายใจแบบนั้นได้อยู่อีกคะ?」
「ก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกกังวลอะไรแบบนั้นหรอกนะ เพียงแต่ว่า……」
「……บางทีคุณอาจจะบาดเจ็บ หรืออาจตายขึ้นมาก็ได้……คุณไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นบ้างหรอคะ?」
อืม ดูเหมือนว่าคุสึโนะกิซังจะไม่พอใจกับท่าทีของเราที่ดูไม่ค่อยสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกสินะ เอาจริงๆก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ……สงสัยว่าพอเป็นมุมมองของคนอื่นแล้วอาจจะเห็นเป็นแบบนั้นสินะ?
บอกตามตรงตอนที่หลงกันนั้นโคตรกังวลสุดๆไปเลย ถึงขนาดรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาเลยละ แต่ว่า……เรื่องมันก็จบไปแล้ว จะมัวมากังวลกับเรื่องที่มันเกิดไปแล้วต่อไปมันก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมา……
แต่พอมาพูดแบบนั้นแล้ว ไอ้เรื่องที่อาจจะบาดเจ็บหรือตายขึ้นมามันก็มีโอกาสเป็นไปได้จริงๆนั้นแหละ
「เอาเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้วนี่……อีกอย่าง ถ้าเกิดบาดเจ็บหรือตายขึ้นมา――มันก็แค่『โชคร้าย』เท่านั้นแหละ」
「……โช、ค?」
พอตอบกลับแบบนั้นไปคุสึโนะกิซังก็หันกลับมาทันที สายตาของเธอนั้นมีการสั่นไหวเล็กน้อย
「ต่อให้ไม่ใช่ต่างโลกก็ตาม คนเราพอถึงเวลาตายมันก็ตายอยู่ดีนั้นแหละ ต่อให้คนๆนั้นใช้ชีวิตแบบระมัดระวังสักแค่ไหน หรือแต่ให้คนๆนั้นเป็นคนดีหรือเลวก็ตาม ถ้าหากไม่มีดวงมันก็ตายได้ทันทีเหมือนกัน อะ แต่ไม่ได้หมายความตัวเองอยากจะตายอะไรแบบนั้นหรอกนะ เอาจริงๆฉันเองก็กลัวตายเหมือนกันแหละ แล้วก็ไม่อยากตายด้วย……แต่ว่า เรื่องที่ช่วยไม่ได้มันก็ช่วยไม่ได้อยู่ดีนั้นแหละจริงไหมละ?」
「……」
「เอ่อ……โทษที เหมือนจะพูดผิดไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะยัดเยียดความคิดอะไรแบบนั้นให้หรอกนะ แต่แค่อยากจะบอกว่าอย่าไปคิดถึงเรื่องที่มันผ่านไปแล้วมากเกินไปอะไรแบบนั้นน่าจะดีกว่า……」
「……ไม่คะ ทางหนูเองต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษที่อยู่ๆก็ถามอะไรแปลกๆออกไป」
อื~มไม่ไหวแหะ สงสัยเป็นเพราะอยู่โดดเดี่ยวมานานทักษะการสนทนาเลยโคตรแย่ อุส่าตั้งใจจะพูดปลอบแท้ๆ แย่จริงๆ ทั้งๆที่จะต้องอยู่ด้วยกันไปอีก1ปีแท้ๆ ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เกิดบรรยากาศแย่ๆแบบนี้ขึ้นมาเลย……
「……ขอถามอีกสักข้อได้ไหมคะ?」
「หืม?」
「……1ปีนี้มิยามะซังตั้งใจจะใช้ชีวิตยังไงหรอคะ?」
「……」
ที่โต๊ะทำงานที่ถูกทำขึ้นมาใหญ่พิเศษนั้น ลิเลียที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์กำลังนั่งกอดอกทำหน้าเครียดอยู่
「……ถึงแม้จะพอคาดการเอาไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้」
「……ขอโทษด้วยคะ เป็นเพราะฉันทำพลาดเอง」
「ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะลูน่า。เอาจริงๆตัวฉันเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าทั้งตัวเธอและ『เงา』นั้นจะ『คลาดสายตา』กับไคโตะซังพร้อมกันแบบนั้น。ไม่สิ、ประมาทไปจริงๆนั้นแหละ……ถึงผลตรวจสอบอย่างละเอียดจะยังไม่มา、แต่ไม่ผิดแน่เรื่องที่มีการใช้『เวทมนต์ปิดกั้นการรับรู้』กับไคโตะซังนะ」
เรื่องที่พวกเธอกำลังคุยกันอยู่ในขณะนี้นั้น ก็คือสาเหตุที่ทำให้คลาดสายตากับกับมิยามะ ไคโตะที่เมืองตอนช่วงเย็นวันนี้ ถึงแม้เจ้าตัวนั้นจะดูเหมือนไม่ค่อยสนใจ――ไม่สิ สำหรับเจ้าตัวอาจจะแค่รู้สึกแค่ว่าพลัดหลงกันในฝูงชนเท่านั้น แต่สำหรับพวกเธอแล้วเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก
「ทั้งการปฏิวัติการเกษตร การผลิต และวัฒนธรรมด้านอาหาร……สิ่งเหล่านั้นคือความรู้ที่ได้รับมาจากเหล่าผู้กล้าที่เคยถูกอัญเชิญมาในอดีต ถึงแม้จะมีผู้มีสิทธิเข้าถึงแหล่งความรู้จากต่างโลกอยู่จำนวนนึงก็ตาม แต่การจะใช้ผู้กล้าที่ปกติมักจะมีการคุ้มกันที่แน่นหนาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องยากมาก」
「……แต่ทว่า ในครั้งนี้นั้นมีการปรากฎตัวของ『คนต่างโลกคนอื่นที่ไม่ใช่ผู้กล้า』มาด้วย เพราะงั้นคุณหนูถึงได้รีบรับทั้ง3ท่านเข้ามาดูแลสินะคะ」
「ใช่แล้วละ ถ้าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปภายนอกละก็จะต้องมีคนที่พยายามจะใช้วิธีที่รุนแรงออกมาแน่ๆ แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีการใช้เวทมนต์เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกแบบนี้……แสดงว่าจะต้องมี『แมลง』ปนมาในหมู่ผู้ที่เข้าร่วมพิธีอัญเชิญด้วยแน่ๆ」
ในตอนที่ไคโตะออกไปข้างนอกนั้น ลิเลียไม่ได้ออกคำสั่งกับแค่ลูน่ามาเรียคนเดียวแต่ยังสั่งให้หน่วยคุ้มกันลับอีกหลายคนตามไปด้วย เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ผู้ที่ต้องการความรู้ของต่างโลกนั้นทำอะไรแปลกๆ……แต่ถึงอย่างงั้น การที่อยู่ๆทุกคนก็เกิดการคลาดสายตากับของไคโตะพร้อมกันแบบนั้น บอกตามตรงว่าผิดคาดจริงๆ
「……ได้บอกเรื่องนี้กับทั้ง3ท่านรึเปล่าคะ?」
「ไม่มีทางบอกได้อยู่แล้ว แค่ความรู้สึกกังวลที่อยู่ๆก็ถูกอัญเชิญมาต่างโลกนั้นก็เต็มกลืนแล้วแท้ๆ แล้วอยู่ๆจะให้ไปบอกยังไงอีกละว่าบางทีพวกคุณอาจจะตกเป็นเป้าหมายอยู่ด้วยนะแบบนั้น……เพราะงั้นประเด็นนี้ต้องรีบจัดการให้เสร็จโดยเร็วที่สุด ก่อนอื่นก็ต้องต้องแจกอุปกรณ์ต้านเวทมนต์ปิดกั้นการรับรู้ให้กับเงาให้พอดีกับจำนวนคนก่อนและหลังจากนั้นต้องแจ้งให้ท่านพี่――ฝ่าบาททราบเรื่องนี้ด้วย 」
「ทราบแล้วคะ แต่ว่า ไม่เข้าใจเลยจริงๆทั้งๆที่อุส่าใช้เวทมนต์ปิดกั้นการรับรู้จนทิ้งร่องรอยไว้ตั้งขนาดนี้แล้วแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย……」
「……น่าจะทำอะไรไม่มากกว่า。แล้วเกี่ยวกับเผ่ามารที่เข้าหาไคโตะซังละ?」
「อย่างที่คิด『ไม่สามารถได้ยินชื่อที่พูดออกมาได้คะ』 คิดว่าคงเป็นเวทมนต์ที่เหล่ามารระดับสูงชอบใช้กันเพื่อปกปิดข้อมูลนะคะ อีกทั้งพอคิดถึงเรื่องที่เวทมนต์ปิดกั้นการรับรู้ที่ร่ายใส่ท่านไคโตะนั้นโดน『บังคังให้ยกเลิก』แบบนั้น พอเอาจุดนั้นมาคิดด้วยแล้ว ก็พอที่จะเดาได้ว่าต้องเป็นเผ่ามารที่มีระดับที่สูงพอตัวแน่ๆคะ แถมยังมีสิ่งนี้อีกด้วย……」
ลูน่ามาเรียพูดออกมาน้ำเสียงที่ดูจริงจัง พร้อมกับนำสร้อยคอที่ไคโตะฝากเอาวางบนโต๊ะ
「……ผลการตรวจสอบละ?」
「เท่าที่ตรวจสอบผลของความบริสุทธิ์ของผนึกเวทมนต์อันนี้มีค่าสูงกว่า90%คะ แถมรูปแบบของเวทมนต์ที่สลักลงไปนั้น……น่าเสียดายที่นักเวทต์จอมเวทย์ของเราไม่สามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันได้ แต่คิดน่าจะไม่ต่ำกว่าระดับ 10 คะ」
「……『ระดับสมบัติประจำชาติ』สินะ……ถึงจะไม่ทราบเป้าหมายที่แท้จริงก็ตาม แต่การที่อยู่ๆมีเผ่ามารระดับนั้นเข้ามาหา ไม่อยากจินตนาการเลยคะ」
「คะ ถ้าไม่เป็นจอมเวทย์ในวังหลวงแล้วละก็ คงไม่สามารถเป็นคู่มือให้ได้……」
「เอาเป็นว่า ตอนนี้เพิ่มระดับการระวังตัวขึ้นไปก่อนละกัน แล้วภายในคฤหาสน์ละ?」
「ในตอนนี้ได้มีการกางเขตแดนขยายการรับรู้และใช้เวทมนต์เสริมการรับรู้เอาไว้หลายชั้น อีกทั้งยังได้เตรียมเงาเอาไว้ในกรณีฉุกเฉินด้วย และได้สั่งไปแล้วว่าห้ามให้แม้แต่หนูตัวเดียวรอดไปได้คะ」
「……ถ้าเป็นไปได้、ก็อยากจะรีบจบเรื่องนี้ให้เร็วๆละนะ」
ในค่ำคืนที่เงียบสงบนี้ ตัวผมกำลังจ้องมองดวงดาวและดวงจันทร์อยู่ที่ระเบียงของห้องอยู่
ถึงจะบอกว่านี่เป็นท้องฟ้าของต่างโลกก็เหอะ แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความต่างกับตอนที่ดูอยู่บนโลกเลย บางทีหมู่ดาวกับจักรราศีอาจจะต่างกันก็ได้ แต่ตัวผมที่ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับดาราศาสตร์มานั้นก็คงไม่รู้อยู่ดี。
ในตอนที่สายลมพัดมาโดนเส้นผมนั้น ก็นึกถึงเรื่องที่คุสึโนะกิซังถามเมื่อกี้
――ตั้งใจจะใช้ชีวิตยังไงหรอคะ?
ตั้งแต่เมื่อก่อน ตัวเราไม่ชอบพวกคำถามประเภท……อยากจะทำอะไร อนาคตอยากเป็นอะไร เป้าหมายคืออะไร อะไรแบบนั้นเลย ถึงแม้หลายๆคนจะชอบบอกว่า เรื่องของตัวเองนั้นตัวเองน่าจะเป็นคนที่เข้าดีที่สุด อยู่ก็ตาม แต่สำหรับตัวเราแล้ว เรื่องของตัวเองตั้งหากละที่ไม่เห็นเข้าใจเลย
พอมาลองคิดดูดีๆอีกครั้ง ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนเดิม สำหรับเราแล้วเรารู้สึกคาดหวังในเรื่องการถูกอัญเชิญมาต่างโลกงั้นหรอ? หรือว่าเราสิ้นหวังกับมันกันนะ? ถึงจะรู้สึกว่าฝั่งใดฝั่งนึงอาจจะถูก แต่ในเวลาเดียวก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ทั้งคู่ด้วย
ตอนเลือกโรงเรียนตอนมัธยมปลายก็ใช้เหตุผลเพราะมันใกล้บ้านแค่นั้น แถมตอนที่จบออกมาก็ยังรู้สึกไม่ค่อยอยากจะรีบทำงานสักเท่าไรก็เลยเลือกเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยแทนแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจเข้าคณะไหนเป็นพิเศษ แค่คิดว่าอยากจะใช้ชีวิตสนุกไปวันๆในในรั้วมหาลัยแค่นั้น บางทีก็คิดพอเรียนจบก็ไปเป็นพนักงานบริษัททั่วๆไป อะไรแบบนั้นไปเรื่อย
ส่วนตัวนั้นชอบเล่นเกม โดยเฉพาะแนว RPG……เพราะต่อให้ไม่ต้องคิดด้วยมากก็ตาม แต่เพื่อที่จะไปฆ่ามอนสเตอร์ที่เป็นเป้าหมายหรือตามหาของสวมใส่ที่จำเป็นตัวเกมก็จะจัดการให้เรา พอเราสามารถเคลียร์เกมนั้นได้มันก็จะให้ความรู้สึกสำเร็จเล็กๆน้อยๆกลับมา
แน่นอนว่าชอบอ่านไลท์โนเวล โดยเฉพาะแนวทั่วๆไปมันให้ความรู้สึกสบายใจเวลาอ่าน ทั้งตอนที่เรามีอารมณ์ร่วมกับตัวเอก ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และสามารถก้าวข้ามมันมาอะไรพวกนั้น
ชั้นนะคิดว่าการคนที่สามารถก้าวผ่านความยากลำบากและความเจ็บปวดมานั้นจนสามารถบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้นั้นเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ทั้งการที่มีเป้าหมายหรือความฝัน และความมุ่งมั่นที่จะทำให้ตัวเองนั้นไปถึงฝันได้นั้น มันก็เป็นเรื่องที่น่านับถือมากๆด้วยเช่นกัน ในทางกลับกันตัวเราที่ไม่มีสิ่งเหล่านั้นถือว่าเป็นคนที่ล้มเหลวรึป่าวละ? หรือว่ามันเป็นการหนีความจริงกันแน่? แล้วมันจำเป็นที่ต้องทำสิ่งนั้นไหม? ส่วนตัวนั้นไม่รู้คำตอบเพราะไม่เคยหามาก่อน
ถึงแม้ว่าจะมีความคิดที่ว่าถ้าพยายามก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อยู่ แต่กลับกัน ก็ยังรู้สึกว่า ก็ยังไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนตอนนี้เลยนิอยู่เหมือนกัน อีกทั้งยังมีความรู้สึกที่อยากจะเปลี่ยนตัวเอง แต่ถึงอย่างงั้นก็มีความรู้สึกที่อยากจะใช้ชีวิตไปวันๆแบบนี้อยู่เหมือนกัน
หลังจากที่ถูกอัญเชิญมาโลกนี้ ถึงแม้จะมีความรู้สึกโล่งใจที่โลกนี้นั้นสงบสุขและตัวเองนั้นไม่ใช่ผู้กล้าที่มีต้องทำหน้าที่ที่มันยุ่งยากอยู่ก็ตาม แต่ในใจก็มีความรู้สึกเสียดายที่ตัวเองนั้นไม่ใช่เป็นผู้กล้า――ตัวเอกของเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน ตัวเองแม่งโคตรย้อนแย้งเลย
ตัวเองนั้นไม่มีทั้งความกล้าที่จะเปลี่ยนตัวเอง หรือ ความพยายามที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็เลยทำได้แค่อ้าปากถอนหายใจมองท้องฟ้าไป พร้อมกับแอบหวังว่ามันจะมี โบตะโมจิตกลงมาใส่ปากบ้างไหมหนอเท่านั้น
(ぼた餅でも落ちてくる โบตะโมจิตกลงมา เป็นสำนวนญี่ปุ่นที่มีความหมาย การพบเจอสิ่งดีๆที่ไม่คาดคิด)
บ้าบอสิ้นดี ถึงจะอ้าปากให้ท้องฟ้าไป――ก็ไม่มีทางที่โบตะโมจิมันจะหล่นลงมา……
「ถ้างั้น、เอาเป็นเบบี้คัสเทลล่าแทนละกันนะ!」
「อ๊อก!?!?」
ในขณะที่เหม่อลอยอ้าปากกว้างอยู่นั้น จู่ๆก็มีเบบี้คัสเทลล่าจำนวนมากยัดใส่ปากมา เพราะงั้นก็เลยสำลักออกไปเหมือนกับพ้นดอกไม้ไฟสีน้ำตาลออก
เด็กดีไม่ควรทำตามนะ แต่ไม่คิดเลยว่าวิกฤตเสี่ยงชีวิตครั้งแรกในต่างโลก จะเกิดจากเบบี้คัสเทลล่าแบบนี้――เรื่องกะทันหันแบบนี้ช่วยเพลาๆหน่อยเถอะ!?
ถึง คุณพ่อ คุณแม่ที่รัก――สิ่งที่ตกลงมาจากฟ้านั้นไม่ใช่ โบตะโมจิ แต่ดันเป็น――เบบี้คัสเทลล่าที่ตกลงมาแทน