ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 13
หกเดือนผ่านไปหลังจากกลับมาจากหมู่บ้านอวี้ฟง ณ. จวนตระกูลหลี่ภายในห้องทำงานปรากฏร่างของชายต่างวัยสองคนและหนึ่งสตรีอรชรที่ล่วงเข้าเลขสามแต่ความงามมิได้จางหาย บัดนี้กำลังปรึกษาหารือเรื่องบางอย่าง
“เป่าเอ๋อร์เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะให้แม่และพ่อไปสู่ขอนาง” เสียงสตรีวัยกลางคนเอ่ยถามลูกชายคนเดียวของนาง
“ข้าแน่ใจขอรับท่านแม่”
“แต่นางเป็นกำพร้าทั้งยังไม่สามารถเกื้อหนุนอนาคตของเจ้าได้แม่มิอยากเชื่อเลยจริงๆ บุตรชายเพียงคนเดียวเป็นถึงแม่ทัพไร้พ่ายกับปักใจรักสตรีที่เพิ่งรู้จักเพียงแค่สามวัน”
“ท่านแม่ข้ามิได้ต้องการสตรีที่สามารถเกื้อหนุนอนาคตของข้า ข้ามีวันนี้ได้เพราะความพยายามฝึกปรือฝีมือของตนจากนายทหารต๊อกต๋อยจนมาเป็นแม่ทัพไร้พ่ายถึงตอนนี้ ท่านแม่ข้าต้องการภรรยาที่เกิดจากความรักมิใช่ภรรยาที่มีผลประโยชน์เข้าเกี่ยวข้อง”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้ารักนาง มิได้เพียงหลงใหลนาง”
“ข้ามั่นใจว่ารักนางถึงจะใช้เวลาช่วงสั้นๆ นางเป็นดั่งสายน้ำเย็นทำให้เวลาอยู่ใกล้นางข้ารู้สึกสงบและสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งนางนั้นอ่อนหวานมิมีจริตดั่งสตรีที่ข้าเคยพบเจอไม่” ดวงตาและคำพูดหนักแน่นทำเอามารดาถึงกับถอนหายใจ
บุรุษวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาของอดีตแม่ทัพแผ่นดิน ทอดมองภรรยาสุดที่รักและบุตรชายที่ตนภูมิใจกำลังสนทนากันจนเกือบครึ่งชั่วยาม (1 ชั่วโมง) ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปของเรื่องนี้เสียทีทั้งคู่คงลืมไปกระมั้งว่ายังมีเขานั่งอยู่ทั้งคน
“เป่าเอ๋อร์ พ่อกับแม่มิคิดคัดค้านอันใดเจ้า เพียงอยากถามให้แน่ใจเท่านั้น หากเมื่อนางแต่งเข้ามาแล้ว จู่ๆ เจ้ากลับคิดว่านางมิใช่คนที่เจ้ารักแต่เป็นสตรีอีกนางหนึ่งเล่าจะทำเช่นไร” หลี่กังเฉินถามบุตรชาย
“ท่านพ่อคำตอบเดียวที่ข้าให้ท่านได้คือข้ารักนาง และจะแต่งนางเป็นฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
เมื่อหลี่กังเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว บุตรเขาบางทีก็ดื้อรั้นนักตั้งแต่กลับมาจากปราบปรามกลุ่มโจรก็ผ่านมา หกเดือนที่เพียรพยายามให้เขาและภรรยาเดินทางไปทาบทามสู่ขอสตรีนางนั้นเสียให้ได้
“เจ้าจะให้พ่อและแม่ไปสู่ขอทาบทามนาง เจ้าได้ถามได้บอกกับนางหรือยังว่าเจ้าพึงใจนาง” กงเฉินยังคงถามต่อ
“เอ่อ…ข้าลืมไปเสียสนิท” แม่ทัพไร้พ่ายถึงกับเสียงอ่อย เขามัวแต่รบเร้าให้ท่านทั้งสองส่งแม่สื่อไปทาบทามนางจนลืมไปหานางเพื่อบอกความรู้สึกของตน
“เฮ้อ…เป่าเอ๋อร์เจ้ายังมิบอกความรู้สึกแก่นาง แต่คะยั้นคะยอแม่ให้ไปทาบทามนาง หากนางปฏิเสธแม่ไม่เสียหน้าแย่หรือ” ฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของอดีตแม่ทัพแผ่นดินเอ่ยตำหนิบุตรชาย
“เป่าเอ๋อร์ลูกรัก แม่มิคัดค้านเจ้าหากสิ่งนั้นทำให้ลูกมีความสุขแม่ก็มีความสุข เจ้าอย่าลืมแม่ก็มิใช่คุณหนูตระกูลใหญ่ที่ใดหากแต่เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นที่เผอิญได้รักและพบกับบุรุษเช่นพ่อของเจ้า แม่เพียงหวังให้เจ้าไตร่ตรองให้ดีว่าเจ้าจะรักนางจริงมิใช่เพียงหลงใหลนางเพียงอารมณ์ชั่ววูบของบุรุษ และรับหญิงอื่นมาเป็นฮูหยินรองทำให้นางเจ็บช้ำน้ำใจก็เท่านั้น”
“ท่านแม่โปรดวางใจ ข้ารักนางจริงหาใช่ความหลงใหลไม่ อีก 3 วันข้าจะเดินทางเพื่อไปบอกความรู้สึกที่ข้ามีต่อนาง หากนางมีใจให้ข้าก็คงให้ท่านแม่เป็นธุระจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยขอรับ”
“พ่อเห็นด้วยกับเจ้า เป็นลูกผู้ชายจักทำการอันใดก็ต้องชัดเจน ใช้หัวใจนำทางอย่าได้ใช้อารมณ์ หากมีวาสนาต่อกันยังไงก็หนีกันไม่พ้น”
“อืม”หลี่ซูหนี่ว์ครางรับคำ
“แม่ขอให้เจ้าทำใจเผื่อไว้บ้างหากนางมิคิดเช่นเดียวกับเจ้า เข้าใจแม่หรือไม่”ซูหนี่ว์เตือนบุตรชายด้วยความเป็นห่วง
“ขอรับท่านแม่ หากนางมิคิดเช่นเดียวกับข้าๆ ก็จะปล่อยมือจากนาง” ดวงตาคมสั่นไหวน้อยๆ ด้วยกลัวจะเป็นตามที่มารดากล่าวเตือน
“ไม่มีอะไรแล้วลูกขอตัวขอรับ ต้องเร่งสะสางงานให้เรียบร้อยเสียก่อนจะออกเดินทาง” หยงเป่าเอ่ยบอกบิดามารดา
“ไปเถิด”
หลังจากที่ทั้งสองอนุญาตหลี่หยงเป่าก็เร่งกลับไปยังเรือนของตน ตรงไปยังห้องทำงานที่ตอนนี้มีงานเอกสารต่างๆ ในค่ายทหารที่ต้องตรวจสอบ ทั้งรายงานที่ต้องถวายให้กับฮ่องเต้คงต้องเร่งทำให้เสร็จเสียที นี่ก็ผ่านมาหกเดือนแล้วไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็นเช่นไรบ้าง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปพบหน้านาง หากแต่เพราะภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมายจนเขาไม่สามารถหาเวลาไปพบนางได้
หลังจากที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเขานำนางมาส่งยังกระท่อมอย่างปลอดภัย จ้าวหยางหลงก็ขอคุยธุระกับจางหลี่เจี้ยนเป็นการส่วนตัวทันที
“ข้าจะมิอ้อมค้อมอันใด ข้าจะเลื่อนงานแต่งให้เร็วขึ้น ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร” จ้าวหยางหลงเอ่ยถามก็จริงแต่ก็บอกเป็นเชิงว่าเขามิได้ขอความเห็นใดๆ จากคนตรงหน้า
“ข้าเห็นด้วยกับท่าน หากนางยังคงอยู่ที่นี่ต่อไปคนพวกนั้นคงบุกขึ้นมาอีกเป็นแน่” หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวจากซิ่นหวาผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองนาง จึงจับใจความได้ว่าพวกที่บุกรุกเป็นคนของพรรคพิษไร้พ่ายต้องการที่จะชิงตัวนางเพราะความเสน่หา
“อีกสามวันข้างหน้า เกี้ยวเจ้าสาวคงเคลื่อนขบวนมาที่นี่”
“อืม ในระหว่างนี้ข้าจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อม”
“มิจำเป็น ท่านเพียงสั่งคนของข้าก็พอ งานพวกนั้นก็ให้คนหนุ่มทำกันเถิด”
“เข้าใจแล้วขอบคุณท่านประมุขมาก” หลี่เจี้ยนเอ่ยขอบคุณคนตรงหน้า
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึง จางโม่ลี่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงเพลิงตัดกับสีผิวขาวนวลงดงามเช่นเดียวกับเจ้าบ่าวผู้สวมหน้ากากสีดำสลักลวดลายมังกรสีทองที่กำลังประคองนางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแปดคนหามอย่างทะนุถนอมเพื่อมุ่งหน้าไปยังหุบเขาทมิฬ
อีกด้านหนึ่งไม่ไกลนักมีม้ากำลับควบมาด้วยความเร็วหลังจากที่ได้หยุดพักในโรงเตี๊ยมของหมู่บ้าน จนได้ยินชาวบ้านว่าเล่าต่อกันว่าวันนี้ประมุขพรรคมังกรทมิฬยกขบวนกันมาเพื่อรับตัวว่าที่เจ้าสาวผู้โชคดีที่อยู่ในหมู่บ้านอวี้ฟง หลี่หยงเป่าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกร้อนใจจึงต้องเร่งออกเดินทาง เขาจะไม่รู้สึกอันใดเลยหากมันมิใช่หมู่บ้านที่นางอาศัยอยู่ ทั้งภายในใจภาวนาขออย่าให้เป็นนาง
“หยุด!!…” เสียงฝีเท้าม้ามาหยุดตรงหน้าขบวนพร้อมกับร้องสั่งให้หยุดขบวนชั่วคราว
“ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น” จ้าวหยางหลงสั่ง
“ขอรับ”
“ขออภัยคุณชายมิทราบว่าท่านมาขวางขบวนเจ้าสาวด้วยเหตุใด”
“ขออภัยท่านด้วย มิทราบว่านี่เป็นขบวนเจ้าสาวของพรรคมังกรทมิฬหรือไม่” หลี่หยงเป่าถาม
“ใช่ ท่านทำให้ข้าเสียเวลารู้หรือไม่ท่านแม่ทัพ” คำถามนี้เป็นจ้าวหยางหลงเองเป็นผู้ที่ตอบ เนื่องด้วยเขาให้คนไปสืบเรื่องของบุรุษผู้นี้ ทั้งหน้าตาและรูปร่างจึงพอสันนิษฐานได้ว่าบุรุษผู้นี้คือใคร
“ท่านรู้จักข้า?”
“ก็พอรับรู้”
“ต้องขออภัยท่านประมุขแล้ว ข้าขอถามบางอย่างได้หรือไม่” หลี่หยงเป่าเข้าประเด็นทันที มองคนตรงหน้าก็พอจะรู้ว่าเขาเป็นใคร
“ว่ามา ข้ามีเวลาไม่มากนัก”
“มันอาจจะเสียมารยาทไปเสียหน่อย มิทราบว่าเจ้าสาวของท่านมีนามว่ากระไร”ระหว่างขึ้นมาหานางที่กระท่อมกับพบขบวนเจ้าสาวเข้าซึ่งเป็นทิศทางจากเรือนของนาง จึงจำเป็นต้องเสียมารยาทกับอีกฝ่าย ดวงใจเต้นระรัวราวกับกลัวคำตอบว่าเจ้าสาวในเกี้ยวนี้คือผู้ใด
“หึ…นางคือจางโม่ลี่ ถ้าไม่มีอันใดข้าขอตัว” จ้าวหยางหลงปรายตามองอีกฝ่ายกดยิ้มมุมปากเพียงแวบเดียวก็กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะหันหลังให้อีกฝ่ายแต่ยังมิทันก้าวก็ต้องชะงัก
หลี่หยงเป่ารู้สึกเหมือนกับมีคนมากระชากดวงใจเขาไปทั้งดวง ยืนเหม่อลอยสับสนไปหมดกับชื่อที่เขาได้ยินว่าเป็นผู้ใด ก่อนจะตั้งสติเรียกบุรุษที่กำลังจะหันหลังให้เขา
“ท่านบังคับหรือว่านางเต็มใจ” หนึ่งดวงตาคมเข้มอีกหนึ่งดวงตาดุเข้มทรงอำนาจมองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“หึหึ ข้ามิเคยบังคับจิตใจผู้ใด”
“แล้ว…” แต่ยังไม่ทันที่หลี่หยงเป่าจะกล่าวอันใดจบเสียงนุ่มอ่อนหวานก็ดังขึ้นเสียก่อน คำเรียกขานชื่ออีกฝ่ายทำให้เขาอดเจ็บปวดใจมิได้
“พี่หลงเกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ”จางโม่ลี่ถามอย่างสงสัยด้วยเกี้ยวเจ้าสาวหยุดเคลื่อนมาได้สักพักแล้ว
“มิมีอันใดหรอกลี่เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้กังวลอีก 1 ชั่วยามกับ 3 เค่อ (2ชั่วโมง 45นาที) ก็ถึงที่หมายแล้วอดทนสักนิดนะคนดี”จ้าวหยางหลงชักม้าไปใกล้เกี้ยวเจ้าสาวเพื่อบอกกล่าวนาง พลางปรายตามองไปยังบุรุษที่อยู่บนหลังบนหน้าขบวนด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
“ลี่เอ๋อร์ พี่อยากให้เจ้าพูดคุยกับใครบางคน แต่จงอย่าได้เปิดผ้าคลุมหน้าออกเข้าใจหรือไม่”
“เอ่อ…เจ้าค่ะ” โม่ลี่รับคำอย่างงงๆ จ้าวหยางหลงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา
หลี่หยงเป่าเห็นดังนี้ก็คร่อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ ก่อนจะชักม้าศึกเข้าไปใกล้เกี้ยวเจ้าสาวด้วยแววตาเจ็บปวดระคนเจ็บใจตนเอง กัดฟันข่มความเจ็บในอกเรียกนางอย่างแผ่วเบา
“แม่นางจาง”
“เอะ ท่านแม่ทัพหรือเจ้าคะ”
“ใช่ข้าเอง ข้าผ่านมาแถวนี้พอดีเลยจะแวะไปเยี่ยมเยียนเจ้าเสียหน่อย แต่กับได้ยินว่าวันนี้เป็นงานมงคลสมรสของเจ้า ข้าเลยรีบควบม้ามาเพื่อแสดงความยินดีก่อนจะเร่งกลับเมืองหลวง”
“ท่านมิน่าลำบากเลยเจ้าค่ะ”
“มิลำบากอันใด ข้าขอให้เจ้ามีแต่ความสุขทั้งในวันนี้และอนาคตข้างหน้า ขอให้สามีเจ้าเป็นบุรุษที่ดี รักและถนอมและมิทอดทิ้ง ให้เจ้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจ” หยงเป่าอวยพรนางที่เป็นรักแรก และกำลังจะกลายเป็นคนผู้อื่น ประโยคแรกอวยพรให้นางแต่ประโยคหลังกับจ้องมองบุรุษผู้ชิงนางในดวงใจไป
“ขอบคุณท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” เสียงใสกังวานเอ่ยกับแม่ทัพไร้พ่าย
จ้าวหยางหลงเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างมิได้ใส่ใจกับสายตาที่อีกฝ่ายมองมา ที่เขาอนุญาตให้มันเข้าใกล้เกี้ยวเจ้าสาวก็เพราะรู้ว่าคนผู้นี้รู้จักผิดชอบชั่วดีไม่มีพิษมีภัยอันใดกับนาง และเขาก็อยากให้มันรู้ว่านางเต็มใจที่จะแต่งให้เขาหาใช่การบังคับไม่
“หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าคงต้องเคลื่อนขบวนเสียที” จ้าวหยางหลงส่งสัญญาณให้คนของตนเคลื่อนขบวนทันที และควบอาชาทมิฬเข้าใกล้แม่ทัพไร้พ่าย
“วางใจเถอะ ในเมื่อสวรรค์ส่งนางมาให้ข้า ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางทำให้นางต้องเจ็บช้ำน้ำใจอย่างที่เจ้ากล่าวเป็นแน่ ที่สำคัญข้ารักนางและนางรักข้า” กล่าวจบเจ้าบ่าวกระทุ้งสีข้างอาชาทมิฬเพื่อนำขบวนเกี้ยวเจ้าสาวไปยังจุดหมายทันที
หลี่หยงเป่าเหม่อมองเกี้ยวเจ้าสาวจนลับตา จบสิ้นแล้วรักแรกของข้ายังมิทันได้เริ่ม ยังมิทันได้บอกความรู้สึกของตนให้นางได้รับรู้ นางก็ไปจากข้าเสียแล้ว คำพูดสุดท้ายของเจ้าบ่าวทำเอาเขาแทบกระอักเลือดคำโต สวรรค์เหตุใดจึงทำลายรักแรกของข้าได้โหดเหี้ยมเช่นนี้ นัยน์ตาคมหลับตานิ่งข่มความรู้สึกเสียใจไว้ภายใน ก่อนจะลืมตาอีกครั้งมองไปยังทิศที่เกี้ยวเจ้าสาวจากไป “หากเจ้าทำให้นางเจ็บช้ำใจ ข้านี่แหละจะบุกไปชิงตัวนางคืนมาจากเจ้าเอง”ดวงตาแน่วแน่ฉายชัดถึงความตั้งใจก่อนจะหันหลังควบม้ากับเมืองหลวงด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำและปิดตายไปเสียแล้ว