ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 12
จ้าวหยางหลงเมื่อจัดการทุกอย่างในพรรคเสร็จเรียบร้อยเขาก็คอยไปแวะเวียนไปหานางอยู่เสมอ โดยให้ลูกพรรคนำหีบทองคำเครื่องประดับ ผ้าไหมแพรพรรณเนี้อดีอย่างละยี่สิบหีบใหญ่และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ใช้ในวันมงคลมามอบให้ผู้อาวุโสไว้เป็นสินเจ้าสาว จ้าวหยางหลงสั่งให้บรรดาลูกน้องนำไม้มาสร้างห้องเก็บของขนาดใหญ่โดยให้ลูกน้องฝีมือดีเป็นผู้เฝ้าทรัพย์สินทั้งหมด
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าทำอันใดอยู่หรือ” หลังจากที่เขาได้คุยกับผู้อาวุโสทั้งสองเรื่องพิธีการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบห้าวันข้างหน้าเสร็จสิ้น เขาจึงแยกตัวออกมาพบนางก่อนจะปรายตามองเป็นนัยให้เงาถอยห่างออกไป
“พี่หลงเหตุใดถึงชอบมาเงียบๆ เล่าเจ้าคะ” โม่ลี่สะดุ้งน้อยๆ นางกำลังเพลินอยู่กับการทำขนมจนมิได้สนใจรอบข้างนัก
“ขวัญอ่อนยิ่งนัก มาๆ ให้พี่ปลอบขวัญเจ้าดีหรือไม่” จ้าวหยางทำท่าจะเข้าไปนาง สายตาที่เคยดุดันแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ทันที
“หยุดเลยมิเช่นนั้นลี่เอ๋อร์จะงอนจริงๆ นะเจ้าคะ” โม่ลี่รีบพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นท่าทางของเขา ก็อดจะคิดถึงคราก่อนมิได้ นางรู้สึกว่าใบหน้าร้อนแผ่วแดงซ่านไปทั้งหน้า
“เจ้าไม่สบายรึลี่เอ๋อร์ ไยจู่ๆ หน้าถึงได้แดงเยี่ยงนั้น” จ้าวหยางหลงยกยิ้มมุมปากอย่างรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่
“ลี่เอ๋อร์ไม่คุยกับพี่หลงแล้ว” โม่ลี่แสร้งหันมาทำขนมต่อ ทั้งที่ริมฝีปากบางยังคงประดับยิ้มอย่างเขินอาย จะไม่ให้นางอายได้อย่างไร
เมื่อเจ็ดวันก่อนบุรุษผู้นี้แวะมาหานางก่อนจะเดินทางกลับไปที่พรรคเพื่อจัดการธุระให้เสร็จสิ้น ก่อนไปยังแอบฉวยโอกาสหอมแก้มนางเสียฟอดใหญ่ทำเอานางนิ่งค้างไปพักใหญ่หลังได้สติจะเอ่ยปากต่อว่า แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเขายิ้มอ่อนโยนพลางใช้สองมือกอบกุมมือนางก่อนจะบรรจงจุมพิตเบาๆ ที่หลังมือ“พี่เพียงแค่ขอกำลังใจจากเจ้าเท่านั้น ประเดี๋ยวพี่ก็ต้องกลับแล้ว เจ้าอย่าได้กล่าววาจาทำร้ายใจพี่เลยนะลี่เอ๋อร์คนดี” ได้ยินเช่นนั้นนางจำต้องหุบปากพยักหน้าช้าๆ ส่งผลให้เขายิ้มพลางจุมพิตหน้าผากนางก่อนจะเร้นหายไป ทั้งชีวิตไม่เคยเลยสักครั้งที่จะใกล้ชิดบุรุษถึงเพียงนี้ทำเอานางทั้งหน้าและตัวแดงราวกับผิงกั๋ว
จ้าวหยางหลงคลี่ยิ้มอบอุ่นยืนมองนางสักพัก แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสัมผัสถึงการมีอยู่ของคนๆ หนึ่งก่อนที่จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว สายตาดุคมมองบรรยากาศโดยรอบแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่ก็ไม่คลายความสงสัยคงต้องรีบไปตรวจสอบให้แน่ชัดต้องย้ำเงาให้เฝ้าระวังอารักขานางเพิ่มขึ้นเสียแล้ว
“ลี่เอ๋อร์ เดี๋ยวข้าคงต้องกลับก่อน” สายตาดุคมเปลี่ยนเป็นสายตาอบอุ่นยามที่ทอดมองนาง
“เหตุใดครานี้จึงกลับเร็วนักเจ้าคะ ยังมิทันได้ทานสำรับเย็นเลย”
“เจ้าไม่อยากให้ข้ากลับรึ เอาเป็นว่าข้าจะอยู่ดูแลเจ้าทั้งวันดีหรือไม่” จ้าวหยางหลงตาเป็นประกายหยอกเย้าเจ้าร่างบาง
“ลี่เอ๋อร์มิใช่เด็กนะเจ้าคะ ที่ท่านจะต้องมาดูแล หากพี่หลงมีธุระก็ไปทำเถิดเจ้าค่ะ” โม่ลี่หน้าแดงกับคำเย้าของว่าที่เจ้าบ่าว
“ข้ารู้ว่าเจ้ามิใช่เด็ก แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าในสายตาข้า เจ้าเป็นเหมือนแสงตะวันและเป็นดั่งดวงใจ ข้าเฝ้ารอเจ้ามานานเหลือเกินลี่เอ๋อร์ ข้าอยากปกป้องคุ้มครองดูแลเจ้าจากนี้และตลอดไปแม้ว่าต้องเผชิญอันตรายเช่นไร ข้าก็พร้อมจะฝ่าฟันอุปสรรคนั้นเพื่อให้เจ้าได้มาอยู่เคียงข้าง เพราะข้ารักเจ้า” คำพูดรื่นหูน้ำเสียงอบอุ่นจริงใจและหนักแน่น พาให้ใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำใบหน้านางแดงทั้งรู้สึกเขินอายด้วยไม่คิดว่าเขาจะบอกรักนางเช่นนี้
โม่ลี่มองใบหน้าเขาที่ไม่ต่างไปจากนางนั้นก็ให้รู้สึกขบขันในใจ หลังจากเขาพูดจบก็โอบกอดนางแผ่วเบาอ้อมกอดนี้มิใช่การเอารัดเอาเปรียบนางแต่อย่างใดแต่มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายของเขา ทั้งนางรู้สึกว่ามันอบอุ่นและปลอดภัย เสียงหัวใจเขาที่เหมือนกลองระรัวดังอยู่ข้างหูนาง
“ลี่เอ๋อร์ จงจำไว้ยามใดก็ตาม เมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขันเจ้าจงมีสติและรอ ข้าสัญญาไม่ว่าจะไกลเพียงใด ข้าจะไปช่วยเจ้ากลับมาให้ได้ ระหว่างนี้อย่าได้ออกไปที่ใดจงอยู่แต่ที่นี่ทำเพื่อข้าได้หรือไม่” เขารู้สึกไม่สบายใจจึงได้บอกเตือนนางหากเกิดเหตุไม่ดีขึ้นระหว่างที่เขาไม่อยู่
“มีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” โม่ลี่ผละออกจากการโอบกอดของชายหนุ่ม เงยหน้ามองเขาก็เห็นหัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“ไม่มีอันใดหรอก ข้าอาจคิดมากไปเอง” หยางหลงพูดให้นางสบายใจ
“เจ้าค่ะ ลี่เอ๋อร์จะมิออกไปที่ใด พี่หลงอย่าได้กังวล” โม่ลี่คลี่ยิ้มบางๆ บอกให้เขาคลายกังวล
“อืม งั้นข้าคงต้องไปก่อน แต่เจ้าไม่มีกำลังใจให้พี่หน่อยรึ” จ้าวหยางหลงยื่นหน้าเข้าไปใกล้นางช้าๆ ก่อนจะเห็นสีแดงเข้มปรากฏขึ้นบนในหน้างามก็พาให้อดยิ้มเอ็นดูมิได้ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาเร้นกายไปอย่างรวดเร็ว
“พี่หลงนี่ ทะ…ท่าน…ฮึ่ม!!…” ยังมิทันที่นางจะต่อว่าเขา ร่างหนาก็หายไปเสียแล้ว คนนิสัยเสียก่อนจะไปยังมิวายหยอกเย้านางให้เขินอาย แค่นี้หัวใจนางก็จะกระดอนออกมาจากอกอยู่แล้วมันน่ากัดให้จมเขี้ยวนักเชียว
หลังแยกจากโม่ลี่ จ้าวหยางหลงเรียกให้บรรดาเงากระจัดกระจายกำลังออกค้นหาบริเวณรอบหมู่บ้านและกระท่อมอย่างละเอียด ก็ไม่พบบุคคลต้องสงสัยอย่างใด แต่ก็ยังวางใจไม่ได้สั่งกำชับเงาดูแลความปลอดภัยให้นางอย่างเข้มงวด หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นให้รีบส่งนกพิราบสื่อสารแจ้งข่าวทันที
ภายในถ้ำมืดมิดบริเวณหลังเขาห่างไกลจากหมู่บ้านอวี้ฟง กลุ่มคนชุดดำประมาณสามสิบคนกำลังคุกเข่าฟังคำสั่งจากบุรุษผู้สวมอาภรณ์สีดำขลิบทอง
“คืนพรุ่งนี้ข้าจะต้องได้ตัวนางไร้รอยขีดข่วน อย่าให้มีคำว่าพลาดเด็ดขาด ไปได้” เสียงเข้มเด็ดขาดเอ่ยขึ้น
“ขอรับ” บรรดาชายหนุ่มร่างกายกำยำอย่างผู้ฝึกยุทธ์รับคำก่อนจะแยกย้ายกันไปเตรียมความพร้อม
ชายหนุ่มอาภรณ์ดำขลิบทองนั่งคิดอยู่ในภวังค์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาพรรคมังกรทมิฬศัตรูคู่แค้นมีความเคลื่อนไหว จึงได้ส่งคนไปสอดแนมก็พบว่าประมุขที่ขึ้นชื่อว่าแสนโหดเหี้ยมผู้นั้นกำลังจะมีงานมงคลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทำให้เขาอยากรู้ว่านางเป็นผู้ใดที่สามารถทำให้คนอย่างมันมอบใจให้จึงออกจากพรรคมาเพื่อดูหน้าสตรีนางนั้น ทั้งยังวางแผนฆ่านางให้ตายอย่างทรมานเสียให้คุ้มกับความแค้นที่มันบังอาจทำลายใบหน้าเขาจนเสียโฉมไปครึ่งหนึ่ง ต้องสวมใส่หน้ากากปกปิดอยู่ทุกวันนี้ มันคงจะทรมานเจ็บปวดเจียนตาย
หากแต่สวรรค์กับไม่เข้าข้างเขาเสียเลย จากที่จะฆ่านางอย่างทรมานกับต้องเร่งกลับพรรคเพื่อวางแผนชิงตัวนางอย่างรัดกุมแทนการสังหารนาง เมื่อนึกถึงคืนที่เขาลอบมองนางครั้งแรกหัวใจที่เคยสงบนิ่งคล้ายหยุดหายใจชั่วขณะต่อมามันทั้งสั่นระรัวกับภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏสตรีร่างบอบบางน่าทะนุถนอมสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์นั่งรับลมอยู่บนแคร่หน้ากระท่อมผิวพรรณนวลเนียนขาวละเอียดดั่งหยกเนื้อดี ทั้งกิริยานุ่มนวลอ่อนหวานไร้จริตเหมือนสตรีทั่วไปมิหนำซ้ำใบหน้านางยามต้องแสงจันทร์นวลกลับงดงามราวเทพเซียนก็ไม่ปาน เหตุใดสวรรค์มิให้เขาเป็นผู้พบนางก่อนแทนที่จะเป็นมัน นัยน์ตาคมสว่างวาบออกมากับความคิด “แล้วอย่างไรผู้ใดจะพบนางก่อน เขาหาได้ใส่ใจไม่ แต่นางจะต้องเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว”
จ้าวหยางหลงเมื่อกลับถึงพรรคก็เรียกเงาออกมาเพื่อไปสืบเรื่องบางอย่างหากเป็นเรื่องดีเขาจะเป็นผู้บอกนางด้วยตนเอง แต่หากเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่กระทบใจนางเขาก็เก็บไว้มิเปิดเผยให้นางได้รับรู้ หลังจากสั่งเงาเรียบร้อยเขาก็เรียกทุกคนมาประชุมและสั่งงานโดยให้บรรดาลูกพรรคประมาณ 30-40 คนเร่งเดินทางไปปักหลักคอยคุ้มคอยนางจนถึงวันวิวาห์ เขารู้สึกมิค่อยดีนักหัวคิ้วกระตุกไม่หยุด
ยามดึกสงัดบริเวณรอบกระท่อมที่อยู่อาศัยของว่าที่นายหญิง บรรยากาศวันนี้ต่างออกไปจากทุกวัน มันเงียบสงบ จนผิดวิสัยสัญชาตญาณร้องเตือนว่าเริ่มมีกลิ่นไม่ดีเสียแล้ว บรรดาเงาที่แฝงตัวอยู่เริ่มชักดาบออกมาเตรียมรับมือ
ชายชุดดำขลิบทองสวมหน้ากากส่งสัญญาณให้คนของตนลงมือ เสียงปะทะกันของคมดาบทำให้ผู้ที่นอนหลับสะดุ้งกายตื่นจากนิทราซิ่นหวาปรากฏกายทันทีที่นายหญิงสะดุ้งตื่นก่อนจะเอ่ยห้ามมิให้นางก้าวออกจากห้องเพื่อความปลอดภัย พร้อมกับนำนกพิราบส่งสารให้กับท่านประมุข
“เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะพี่สาว” โม่ลี่เอ่ยถามหญิงที่นางเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งหลังจากที่พี่หลงของนางแนะนำให้รู้จักกับซิ่นหวาองครักษ์ที่ทำหน้าที่ปกป้องนาง
“นายหญิงโปรดอยู่ในนี้ อย่าออกไปนะเจ้าคะ เรามิรู้ว่ามันมากันมากน้อยแค่ไหน” ซิ่งหวาเอ่ยขณะที่คอยสังเกตการณ์ต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้านนอก
“แล้วท่านตาท่านยายละเจ้าคะ”
“ท่านผู้อาวุโสปลอดภัยดีเจ้าค่ะ มีซิ่นสือคอยดูแลอยู่โปรดวางใจ”
เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ ในเมื่อตอนกลางวันทุกคนต่างค้นหาทุกพื้นที่ตามคำสั่งท่านประมุขก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จำนวนคนมากขนาดนี้มันไปหลบซ่อนตัวที่ใด ทั้งฝีมือแต่ละคนก็มิได้ด้อยไปกว่าบรรดาพวกพ้องของตน ซ้ำพวกมันยังถนัดใช่พิษ “พิษหรือ? …หรือว่าจะเป็น” แต่ซิ่นหวาไม่มีเวลาคิดมากนัก เพราะบุรุษอาภรณ์ดำขลิบทองปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้านางเสียแล้ว
“หยวนเทียนเหอเจ้าคนสารเลวถอยออกไปเดี๋ยวนี้ บอกมาว่าเจ้าต้องการอะไร” ซิ่นหวาเอ่ยด้วยเสียงโมโหบุรุษตรงหน้า
“หึหึ…ข้าต้องการอะไรจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยหรือ” น้ำเสียงยียวนเอ่ยอย่างไม่ใคร่สนใจ สายตามองสตรีด้านหลังอย่างหลงใหล
“นายหญิงหนีไปเจ้าค่ะ” ซิ่นหวาเห็นสายตาที่มองมาก็รู้ทันทีจึงรีบเอ่ย
“ตะ…แต่เจ้า”
“หนี!!… เชื่อข้า!!…” ซิ่นหวาลอบมองเหตุการณ์ด้านนอกพร้อมตั้งรับกระบี่ที่ฟาดลงมาตรงหน้าด้วยใจมิสู้ดีนัก ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากกว่า อีกทั้งพวกมันใช้พิษเข้าเล่นงานทำให้ฝ่ายของนางเริ่มเพลี่ยงพล้ำเข้าทุกที
จางโม่ลี่ทำตามที่ซิ่นหวากล่าวทันที นางมิอยากเป็นตัวถ่วงทำให้คนที่ช่วยเหลือนางต้องเสียสมาธิพลาดพลั้งจนบาดเจ็บ จึงตัดสินใจวิ่งออกมาและหาที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรงหญ้าไม่ไกลจากกระท่อมนัก นางเป็นห่วงท่านตาท่านยาย ทั้งรู้สึกผิดกับซิ่นหวาไม่น้อย “พี่หลงอยู่ที่ใดเจ้าคะ ช่วยบอกลี่เอ๋อร์ทีข้าหนีออกมาเช่นนี้ตัดสินใจถูกแล้วใช่หรือไม่” โม่ลี่หวนคิดถึงชายหนุ่มในใจก่อนที่ภาพด้านหน้าจะวูบดับไปบุรุษท่าทางเจ้าเล่ห์ติดตามนางมาตั้งแต่ที่กระท่อมจนสบโอกาสเข้าใกล้นาง ก่อนจะลอบโปรยผงนิทราให้อีกฝ่าย
“เจ้าจะไปไหนไม่ได้ท่านนั้น หากจะไปต้องฆ่าข้าเสียก่อน” ซิ่นหวายกมือต้านกระบี่ที่อีกฝ่ายฟันลงมา
“ข้ามิให้เจ้าตายหรอก แต่จะให้เจ้านำข่าวไปแจ้งแกนายเจ้าแทน”หยวนเทียนเหอกล่าวเสียงเหี้ยม
หลังจากต่อสู้กันดุเดือด ซิ่นหวาตอนนี้กำลังตกเป็นรองอีกฝ่าย แม้นางจะมีฝีมือเพียงใดแต่การต่อสู้ที่ยาวนานทั้งยังพลาดโดนพิษของอีกฝ่ายทำให้เรี่ยวแรงเริ่มถดถอย
“อึก…หยวนเทียนเหอเจ้าคนสารเลว เป็นบุรุษเสียเปล่าแต่กับใช้วิธีลอบกัด ข้าว่าเจ้าเหมาะจะใส่อาภรณ์สตรีมากกว่าชุดบุรุษเสียอีก” เสียงกระอักเลือดออกมาคำโตแต่ยังมิวายที่จะยั่วยุคนตรงหน้า
“ปากดีนัก คราแรกว่าจะเมตตาไว้ชีวิตเจ้า แต่ข้าว่าคงไม่จำเป็นแล้วละ” ร่างสูงกล่าวจบก็เดินเข้าไปใกล้ซิ่นหวาที่ตอนนี้ใช้เข่ายันพื้นข้างหนึ่งด้านข้างเป็นกระบี่ที่ปักอยู่กับพื้นเพื่อใช้พยุงร่างมิให้ล้มไปกับพื้น
หยวนเทียนเหอเงื้อกระบี่หมายจะปลิดชีพสตรีตรงหน้าแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงด้านนอกที่ด้วยเหมือนจะมีผู้เข้ามาเพิ่มขึ้น เมื่อมองฝ่าความมืดออกไปก็เห็นคนของตนกำลังพลาดท่าเสียเปรียบอีกฝ่ายอยู่ ซิ่นหวาใช้โอกาสที่อีกฝ่ายเสียสมาธิเพียงเสี้ยวนาทีก็จ้วงแทงอีกฝ่ายเข้าที่ท้องน้อยอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงผงะเซถอยหลังมองท้องตนเองที่มีกระบี่ปักคาอยู่
ซิ่นหวากัดฟันข่มความเจ็บและความทรมานจากพิษกระชากกระบี่ออก แล้วซัดฝ่ามือเข้าที่หน้าอกของอีกฝ่าย ซิ่นสือวิ่งมายังห้องของนายหญิงหลังจากที่ฝ่ายตนเริ่มควบคุมเหตุการณ์ได้แล้ว เมื่อพบกับหยวนเทียนเหอก็เกิดการต่อสู้อีกครั้งบาดแผลหลายแห่งเกิดขึ้นบนร่างกายของทั้งสองแต่ที่จะสาหัสสุดคงเป็นชายชุดดำขลิบทองที่ตอนนี้ชุดมีรอยฉีกขาดหลายที่จากคมกระบี่
หยวนเทียนเหอเริ่มคลุ้มคลั่งเพราะมัวแต่เสียเวลาประมือกับคนพวกนี้จนทำให้นางหนีรอดไปได้ ไม่เป็นไรครั้งหน้าจะไม่มีคำว่าพลาด ตอนนี้เขาทำอะไรมิได้แล้วต้องรีบไปพักรักษาตัวเสียก่อน เขาจึงรีบใช้วิชาตัวเบาเร้นกายหายไปดุจสายลม
“ซิ่นหวาเจ้าโดนพิษรึ เป็นอันใดหรือไม่ และนายหญิงอยู่ที่ใด”
“ขะ…ข้ามิเป็นไร เจ้าไปตามหานายหญิงก่อนเถิด นางไปทางนั้น อั๊ก…” ซิ่นหวาชี้ไปยังทิศที่จางโม่ลี่วิ่งออกไปก่อนจะกระอักเลือดหมดสติไป
ซิ่นสือได้ยินดังนั้นก็ตะโกนเรียกพวกพ้องของตนให้กระจัดกระจายกันออกตามหาว่าที่นายหญิง ก่อนจะปล่อยให้ซิ่นลู่พาซิ่นหวาไปรักษาตัว
“นายหญิงขอรับ ท่านอยู่ไหนขอรับ” เสียงเรียกหาว่าที่นายหญิงดังอยู่ต่อเนื่องกว่าครึ่งชั่วยาม (1 ชั่วโมง) ก่อนที่ซิ่นสือจะสังเกตเห็นโพรงหญ้าที่พอใช้เป็นที่หลบซ่อน
ซิ่นสือเดินตรงไปยังโพรงหญ้าก่อนจะสังเกตบริเวณรอบๆ ก็ต้องสะดุดกับสารที่มีมีดพกขนาดเล็กปักติดไว้กับต้นไม้ เขาคลี่อ่านก็ต้องหน้าซีดก่อนจะเพ่งมองมีดสั้นในมือก็เห็นสัญลักษณ์บางอย่างที่ปลายด้ามมีด
จ้าวหยางหลงหลังจากได้รับสารจากพิราบขาวก็เกิดโทสะจนยากจะควบคุมทั้งห่วงนางอันเป็นที่รักยิ่ง เขาเร่งใช้วิชาตัวเบาขั้นสูงเพียงสามชั่วยาม (6 ชั่วโมง) ก็มาถึงออกมายังกระท่อม ซิ่นสือที่รอคอยการมาของท่านประมุขก็ยื่นสารพร้อมทั้งมีดสั้นให้อีกฝ่ายทันทีก่อนจะคุกเข่ารอรับคำสั่งต่อไป เมื่ออ่านสารจนจบเขากลับขยำกระดาษลงพื้นกำมีดสั้นไว้แน่น
“เป็นฝีมือผู้ใด”เสียงเหี้ยมดวงตาวาบกดดันมองเงาอย่างกดดัน
“หยวนเทียนเหอขอรับท่านประมุข ซิ่นหวาต้องพิษแต่ก่อนหมดสติ นางได้บอกว่ามันต้องการตัวนายหญิงขอรับ มันหลบหนีไปได้แต่ก็บาดเจ็บสาหัสคงไปไม่ได้ไกล”
เจ้าสารเลวหยวนเทียนเหอ จ้าวหยางหลงกำหมัดแน่นไอสังหารเข้มข้นถูกปล่อยออกมาจนบรรดาเงาได้แต่นั่งหน้าซีดเผือด เห็นทีครานี้คงปล่อยมันมิได้เสียแล้ว ต้องกวาดล้างลบชื่อมันออกจากยุทธภพเสียที แต่ตอนนี้สิ่งใดก็ไม่สำคัญเท่านางอีกแล้ว คงต้องเร่งออกเดินทางป่านนี้นางจะเป็นเช่นไรบ้างก็ไม่รู้และครานี้เห็นทีต้องสั่งสอนมันให้หลาบจำจนตายที่อาจหาญแต่ต้องนาง
“พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อมอีกหนึ่งเค่อ (15 นาที) ข้าจะเดินทางไปเขาเย่วซานบุกพรรคดับจันทรา” ดวงตาคมวาบฉายไปด้วยโทสะ
ยามซื่อ (9.00-10.59 น.) ในห้องรับรองแขกหรูหราประดับตกแต่งไปด้วยข้าวของราคาแพงไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเก้าอี้ หรือชุดกาน้ำชา บนเตียงตั่งขนาดใหญ่แสงอาทิตย์อ่อนๆ เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีขาวบริสุทธิ์กระทบผิวกายของสตรีที่นอนอยู่บนเตียง ภาพเบื้องหน้าปรากฏร่างอรชรอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอม นางมีดวงหน้างดงามราวกับเทพเซียน ทำให้เขาอดตะลึงไม่ได้เสียทุกครั้งที่พบหน้านาง“นางงดงามถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าเจ้านั้นถึงรีบตบแต่งนางเสียเร็วนัก น่าเสียดายๆ”เย่วหย่งเซิง คิดในใจ
ร่างบางเริ่มขยับตัวแพขนตายาวเริ่มไหวน้อยๆ เปลือกตาที่เคยปิดสนิทค่อยๆ เปิดรับแสงที่ส่องเข้ามาจนต้องเอามือขึ้นบังแสงนั้น ก่อนจะลืมตาขึ้นมองบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยหัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นจำได้ว่าครั้งสุดท้ายนางซ่อนตัวอยู่ในโพรงหญ้าก่อนที่ภาพตรงหน้าจะดับวูบไป
“ตื่นแล้วหรือเจ้าหลับไป 2 ชั่วยาม (4 ชั่วโมง) เลยทีเดียว” เสียงทุ้มของบุรุษเจ้าสำราญท่าทางเจ้าเล่ห์เอ่ยถาม เมื่อเห็นนางขยับกายขึ้นนั่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“ท่านเป็นใคร เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” จางโม่ลี่ถามบุรุษตรงหน้าอย่างระแวง ถึงเขาจะไม่คล้ายคลึงกับบุรุษสวมหน้ากากผู้ที่บุกรุกเข้ามาภายในห้องนางก็จริง แต่นัยน์ตาเจ้าเล่ห์และท่าทีคุกคามไม่น่าไว้วางใจนั่นที่ทำให้นางรู้สึกไม่ดี เพราะในโลกใบใหม่นี้มีบุรุษแค่สองคนที่นางไว้ใจคือท่านตา และพี่หลงเท่านั้น
“ข้ามีนามว่าเย่วหย่งเซิง แล้วเจ้าเล่าคนงามมีนามว่ากระไร”
“ข้าแซ่จางนามโม่ลี่ คุณชายเย่วบอกได้หรือไม่เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” โม่ลี่ข่มความหวาดกลัวถามบุรุษตรงหน้า
“พอดีข้าพบเจ้าโดยบังเอิญเลยพาเจ้ากลับมา” เย่วหย่งเซิงคงตอบคำถามนางเช่นเคย พลางก้าวเท้าไปหานางช้าๆ
บังเอิญหรือ? เขาคิดว่านางเป็นเด็กไม่ประสารึ ยามวิกาลเช่นนั้นไม่น่ามีผู้ออกมาเดินเล่นในป่าในเขาคำพูดและท่าทางไม่น่าไว้วางใจทั้งท่าทีคุกคามทำให้นางต้องลุกออกจากเตียงก้าวถอยหลังออกมาช้าๆ ป่านนี้พี่หลงคงรู้เรื่องแล้วคงกำลังมาช่วยนางตามสัญญา นางมั่นใจว่าเขาจะไม่ผิดสัญญาที่ไว้กับนางเด็ดขาด“ลี่เอ๋อร์จะมีสติและรอพี่หลงนะเจ้าคะ” โม่ลี่คิดในใจ ตอนนี้คงทำให้แต่ถ่วงเวลาเท่านั้นสินะ
“หากบังเอิญ ยามนั้นคงไม่มีผู้ใดออกมาเดินเล่นในยามวิกาลแน่ หากท่านมิใช่คนพวกนั้นที่บุกรุกเข้ามาทำร้ายคนของว่าที่สามี ข้าก็ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือข้าไว้ ข้าอยากกลับบ้านท่านโปรดเมตตาด้วย” โม่ลี่ยังคงก้าวถอยหลังทั้งระวังบุรุษเบื้องหน้าที่ยังก้าวหานางไม่หยุด
“อืม…ฉลาดใช้ได้” เย่วหย่งเซิง กล่าวชม
“ข้าถูกใจเจ้านัก แต่น่าเสียดายๆ ข้าไม่คิดจะปล่อยเจ้าไปไหนทั้งนั้น ข้ามีเรื่องจะตกลงกับเจ้า หากเจ้าตอบรับคำข้าๆ จะพาเจ้ากลับไปที่นั่น”
“ตกลงเรื่องอันใด”
บุรุษที่โหดเหี้ยมที่สุดในใต้หล้าใช้เวลา 1 ชั่วยาม (2 ชั่วโมง) ก็มาถึงเขาเย่วเซิงที่ตั้งของพรรคดับจันทรา ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือดผลัดกันรุกผลัดกันรับเสียงปะทะของคมกระบี่ดังขึ้นต่อเนื่อง จ้าวหยางหลงเมื่อเห็นฝ่ายของตนได้เปรียบอยู่ก็รีบเร้นกายหายเข้าไปภายในพรรค
“เจ้างามนักรู้ตัวหรือไม่ หากเจ้ายินดีแต่งกับข้าแทนว่าที่สามีเจ้า ข้าสัญญาจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าจะมีทุกอย่างทั้งชื่อเสียงเงินทอง” เย่วหย่งเซิงยังคงก้าวเข้าหานางต่อไป
“ขออภัยหากมิใช่เขาข้าก็ไม่คิดจะแต่งให้ผู้ใด ชื่อเสียงเงินทองหาได้สำคัญกับข้าไม่” น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังทำเอาเย่วหย่งเซิงกระตุกยิ้มถูกใจ
“ทั้งที่มันอัปลักษณ์งั้นรึ”
“ใช่ไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไรอัปลักษณ์เพียงใดข้าก็รักเขา หากท่านรู้เช่นนี้แล้ว โปรดปล่อยข้าไปเถิด” น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังทั้งเอ่ยขอร้องตอบคนตรงหน้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นางรู้ว่านางรักเขาเข้าเสียแล้ว เป็นรักที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใดตอนไหน นางรู้แต่เพียงว่านางรู้สึกอบอุ่น เขินอายยามที่เขาเย้าแหย่นาง หัวใจนางเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาเพียงใดเมื่ออยู่ใกล้เขา
“หึ…เจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ข้าถูกใจเจ้าและไม่คิดจะปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด” บุรุษเจ้าเล่ห์ยกยิ้มมุมปากอย่างถูกใจ ก่อนจะหน้าซีดตกใจหลังจากเห็นนางกระทำบางสิ่งจนต้องหยุดชะงัก
จางโม่ลี่ได้ยินเช่นนั้นก็ตัดสินใจทำบางอย่าง นางดึงปิ่นเหล็กปักผมที่ท่านตามองให้ออกมาจากศีรษะกำมือแน่น ก่อนจะกดปลายแหลมของปิ่นแนบไปที่ลำคอจนเห็นโลหิต ดวงตาที่เคยอ่อนหวานบัดนี้เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวหาได้เกรงกลัวต่อความตายไม่ ถึงตอนนี้นางยังเชื่อว่าพี่หลงต้องมาช่วยนางแน่ “พี่หลงท่านอยู่ที่ใด ลี่เอ๋อร์กลัวว่าจะรอท่านตามสัญญามิได้ หากคนผู้นี้คิดจะข่มเหงก็คงได้แต่เพียงร่างที่ไร้ลมหายใจ ข้าขอตายเสียยังดีกว่าที่จะสู้หน้าพี่หลงต่อไปในวันข้างหน้า” โม่ลี่คิดในใจ
“แม่นางวางปิ่นลงเถิด”เย่วหย่งเซิงเอ่ยอย่างตกใจมิคิดว่านางจะกระทำเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง
“ไม่!!…ท่านถอยไปเดี๋ยวนี้ หากท่านยังก้าวมาแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจักขอปลิดชีพเสียตรงนี้” ดวงตางามฉายแววมุ่งมั่นไม่หวาดกลัว พร้อมทั้งยังเพิ่มน้ำหนักมือกดปิ่นเข้าที่ลำคอที่บัดนี้แดงฉานไปด้วยโลหิตเปรอะเปื้อนอาภรณ์ขาวเป็นทางยาว
“ปัง” เสียงประตูถูกแรงถีบจากฝ่าเท้าแยกออกจากกันอย่างแรงโดยบุรุษผู้สวมหน้ากาก ทำให้ผู้ที่อยู่ภายในห้องทั้งสองชะงักค้างดวงตาเบิกกว้าง จ้าวหยางหลงมองคนรักที่อยู่เบื้องหน้าก็ต้องตกใจ ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกระจ่างใสดั่งดวงจันทร์บัดนี้เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและด้วยสภาพที่ชุ่มไปด้วยโลหิตก็ทำเขาแทบคลั่ง
หากเขามาช้าเพียงนิดนางคงปลิดชีพตนเองเสียแล้วแค่คิดก็ทำเอาใจเขาสั่นสะท้านไปทั้งใจพลางตวัดตามองบุรุษเจ้าปัญหาที่ยืนหน้าซีดก็ให้รู้สึกแค้นนัก พลันรวบรวมลมปราณที่ฝ่ามือซัดเข้าที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำจนกระเด็นไปกระแทกเสากระอักเลือดออกมาคำโต
“ลี่เอ๋อร์ พี่มาช่วยเจ้าแล้วตามสัญญา” เสียงทุ้มอบอุ่นเรียกนางอันเป็นที่รักก่อนจะทะยานกายพุ่งไปรวบนางไว้ในอ้อมกอด มือหนาลูบศีรษะปลอบขวัญนางเบามือ
“พี่หลง ฮือ…ฮือ…เหตุใดถึงนานนัก หากช้าแม้เพียงเสี้ยวข้าคงตัดสินใจปลิดชีพตนเสียแล้ว” โม่ลี่ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย นางทั้งรู้สึกกดดันและหวาดกลัวเพียงใดทั้งต้องแสร้งว่าตนเข้มแข็งเพื่อป้องกันตนจากบุรุษผู้นั้น
“คนดีเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว พี่บอกเจ้าแล้วไม่ว่ายังไงพี่จะตามหาเจ้าให้พบ จงจำคำพูดพี่ไว้ชีวิตเจ้าสำคัญที่สุด ไม่ว่าภายภาคหน้าจะพบกับเหตุการณ์เช่นไรพี่ยังรักเจ้าไม่เสื่อมคลาย จงอย่าทำร้ายตนเอง พี่เห็นเจ้าเจ็บพี่ย่อมเจ็บกว่าเจ้าหลายเท่านักลี่เอ๋อร์”จ้าวหยางหลงเอ่ยปลอบคนตรงหน้าอย่างจริงใจ หากภายภาคหน้าไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับนางเขาก็พร้อมจะยอมรับมัน
“แล้วที่ข้าเจ็บเล่า เจ้าเจ็บแทนข้าไหม”น้ำเสียงยียวนของหย่งเซิงเอ่ยถามเขารู้สึกหมั่นไส้บุคคลทั้งสองจึงเอ่ยขัด
“หึ…ข้าไม่ให้เจ้าพิการก็ดีเท่าไรแล้ว ช่างบังอาจนักที่ลักพาตัวนางมา”
“ลักพาตัวอันใด ข้าช่วยนางเพราะหวังดีทั้งเห็นแก่เจ้าๆ ยังกล้าใส่ร้ายข้าอีกรึ”หย่งเซิงแสร้งทำน้อยอกน้อยใจ
“ช่วยนาง! เจ้าบอกว่าเจ้าช่วยนาง แล้วเลือดนี่คืออันใดแล้วเหตุใดนางจึงคิดปลิดชีพตนเองบอกข้ามาสิ”เสียงเข้มเอ่ยอย่างมีอารมณ์
“ข้าก็แค่เย้านางเล่นเท่านั้น ไม่คิดว่านางจะหาญกล้าทำเรื่องเช่นนี้”หย่งเซิงกล่าวเสียงอ่อย มันเป็นความผิดของเขาเช่นกันที่เย้าแหย่นางจนเกินขอบเขต
“พี่หลงนี่มันอันใดกันเจ้าคะ” หลังจากที่ฟังทั้งสองสนทนากันอยู่เงียบๆ ก็เกิดความสงสัย
“พี่ต้องขอโทษเจ้าแทนไอ้ลูกเต่านี้ด้วย มันเป็นสหายพี่เองแต่มักจะเล่นอะไรเกินเหตุอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้มันจะกล้าลักพาตัวเจ้ามา”
“ข้าบอกว่าไม่ได้ลักพาตัวนางมาอย่างไรเล่า” หย่งเซิงยังคงเถียง
“แม่นางจางข้าต้องขออภัยจริงๆ เป็นข้าที่ผิดเองที่เล่นจนเกินขอบเขตจนแม่นางต้องเจ็บตัวเช่นนี้” หย่งเซิงมองลำคอของนางที่มีผ้าเช็ดหน้าซับเลือดปิดอยู่ก็รู้สึกผิด
“อะ…เอ่อ…มิเป็นไรเจ้าค่ะ แต่ท่านอย่าทำเช่นนี้กับสตรีนางใดอีก ท่านอาจจะสนุกเพียงชั่วครู่แต่หลังจากนั้นเล่าเจ้าคะ หากสตรีนางนั้นทำเหมือนที่ข้าทำแล้วเกิดปลิดชีพตนขึ้นมาจริงๆ ท่านจะทำเช่นไร ท่านจะบอกขอโทษนางได้อย่างไรในเมื่อทุกอย่างมันสายไปเสียแล้ว” โม่ลี่ให้ขออภัยคนตรงหน้าทั้งกล่าวเตือน
“ข้าขอโทษ ข้าเข้าใจและจะไม่ทำอีก” หย่งเซิงรับคำหลังจากคิดตามและก็จริงดั่งนางพูด
“ดีเจ้าค่ะ ข้าขอให้ท่านรักษาคำพูดด้วย” รอยยิ้มสดใสกลับมาอีกครั้ง
“พี่หลงข้าอยากกลับบ้านไปหาท่านตาท่านยายเจ้าค่ะ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นเช่นไรบ้าง” โม่ลี่เอ่ยกับจ้าวหยางหลง
“แต่แผลเจ้า”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ ยามนี้ข้าเป็นห่วงท่านตาท่านยายนัก”
“อืม…ได้…ครานี้จะเป็นครั้งสุดท้าย หากครั้งหน้าเจ้ากล้าลักพานางมาจากข้าอีก ข้าบอกได้เลยจะไม่ใช้แค่เผาคลังสมบัติเจ้าเท่านั้น แต่จะเป็นพรรคของเจ้าและชีวิตของเจ้า” น้ำเสียงอ่อนโยนรับคำ แต่ประโยคหลังน้ำเสียงกับเย็นยะเยือกก่อนจะใช้วิชาตัวเบาเร้นกายออกไป
“ดะ…เดี๋ยว!!…”ยังมิทันจะกล่าวอันใดก็มีเสียงหนึ่งดังขัดมาเสียก่อน
“ท่านประมุข ท่านประมุข ยะ…แย่แล้วขอรับ…แฮ่ก…” เสียงเหนื่อยหอบของพ่อบ้านดังขึ้นแทรกทันที
“เกิดอันใดขึ้นตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”เสียงเร่งเร้าถามทันที
“คะ…คลังเก็บสมบัติโดยไฟไหม้หมดเลยขอรับ”
“ห๊ะ!!!….จ้าวหยางหลงไอ้สหายน่าตายกลับมาเดี๋ยวนี้นะ” เสียงคร่ำครวญโวยวายดังฟ้าผ่าดังขึ้นทันที เขารึอุตส่าห์หวังดีช่วยเหลือนางไว้ แต่ดูมันตอบแทนเขาสิมันน่าแค้นใจนัก