ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 11
ยามเฉิน (7.00-8.59 น.) จ้าวหยางหลงกำลังสนทนาบางอย่างกับจางหลี่เจี้ยนทั้งยังลอบมองร่างบางเป็นระยะ หากเป็นไปได้เขาก็มิอยากจากนางให้ไกลหูไกลตาทั้งห่วงและหวง แต่ก็จำเป็นต้องไปสะสางงานที่ค้างไว้ให้เสร็จ ก่อนที่จะยกขบวนสินสอดเพื่อมาสู่ขอและตบแต่งนางเข้าเป็นนายหญิงของพรรค
หลังจากจางโม่ลี่ที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายต้องเดินทางไปทำธุระ นางก็จัดเตรียมอาหารแห้งไว้เผื่ออีกฝ่ายหิวระหว่างเดินทางด้วยความเป็นห่วง
“พี่หลงข้าเตรียมอาหารแห้งไว้ให้ท่านเจ้าค่ะ” โม่ลี่ยื่นห่ออาหารแห้งให้ชายหนุ่มตรงหน้า
“ขอบใจเจ้ามาก…เจ้ามิเจ้าเป็นต้องลำบากเลยลี่เอ๋อร์” หยางหลงรับห่อนั้นมาไว้ในมือส่งยิ้มละมุนให้อีกฝ่าย ที่จริงแล้วเขาเดินทางเพียงสองวันก็ถึงพรรคแล้ว เจ้าพวกน่าตายนั้นมันน่ากระทืบยิ่งนัก นางอยู่ใกล้แค่เพียงปลายจมูก พวกมันกลับใช้เวลาหาตัวนางถึงสามเดือนจ้าวหยางหลงนึกเข่นเขี้ยวในใจ
“ข้าต้องไปแล้วดูแลตัวเองดีๆ นะลี่เอ๋อร์” พลางขยับเข้าใกล้นางเพื่อลอบดมกลิ่นกายที่หอมหวานให้คลายความคิดถึงก่อนจะออกเดินทาง
“เจ้าค่ะพี่หลง”
“ท่านผู้อาวุโส ข้าจะรีบไปรีบกลับ มีอันใดเรียกเงาที่ข้าส่งมาคุ้มครองนางแจ้งข่าวข้าได้ตลอด”จ้าวหยางหลงเอ่ยลาชายหญิงชราทั้งสอง ก่อนจะแผ่วเสียงลงตอนท้าย
“ท่านมิต้องห่วงเรื่องนั้นข้าจะบอกนางเอง และหากมีอะไรเพิ่มเติมข้าจะเรียกพวกเขาทันที”ชายชรารับคำทันที
“เช่นนั้นข้าขอลา”หยางหลงเอ่ยลาคนตรงหน้าก่อนจะมองร่างบางที่ส่งยิ้มมาให้เขา
“เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะพี่หลง” เมื่อชายหนุ่มเดินออกไปแล้ว นางก็ตะโกนพร้อมส่งยิ้มเต็มดวงหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นโบกไปมาให้อีกฝ่าย จ้างหยางหลงได้ยินเช่นนั้นก็หันหลังมาทำท่าทางตามร่างบางถึงจะติดๆ ขัดๆ ไปบ้างแต่ก็ยอมทำ รอยยิ้มที่นางส่งมาทำเอาเขาสายตาพร่ามัวไปเลยทีเดียว ก่อนจะหันหลังกลับเร่งเดินทางต่อไป
“ลี่เอ๋อร์ตากับยายมีเรื่องจะคุยกับเจ้า พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ” สองสามีภรรยามองกันสื่อความหมายก่อนจะเรียกหลานสาวให้เข้าไปด้านในกระท่อม
“มีอะไรหรือเจ้าคะท่านตา” โม่ลี่เอ่ยขึ้นเมื่อทั้งสามนั่งกันเรียบร้อยแล้ว
“ลี่เอ๋อร์ ฟังตากับยายนะหลานรัก อายุอานามของเจ้าก็เลยวัยออกเรือนมานานแล้ว อีกทั้งตากับยายก็ชรานับวันร่างกายจะอ่อนแรงถดถอยไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่งเมื่อใดหากถึงวันที่ไม่มีตากับยายคอยดูแลเจ้าแล้ว เจ้าอาจจะเป็นอันตรายด้วยรูปโฉมของเจ้าจะนำภัยมาสู่ตัวเจ้าเอง ตาอยากให้เจ้าออกเรือน” หลี่เจี้ยนอธิบายให้นางฟังด้วยเหตุผล
“ไม่ๆ ท่านตาท่านยายออกจะแข็งแรงมิเป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะคอยอยู่ดูแลท่านตาท่านยายจนแก่เฒ่า ท่านตาท่านยายไม่รักข้าแล้วหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงผลักไสข้าไปให้ผู้อื่นเช่นนี้ ฮือ…ฮือ..” จางโม่ลี่ร้องไห้ปิ่มขาดใจด้วยความน้อยใจเสียใจ ส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาทำเอาสองตายายรู้สึกหดหู่ไม่ต่างกัน
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าฟังยายนะลูก ยายกับตารักเจ้ามาก รักเจ้าเหลือเกิน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ทำเอายายอดกลัวมิได้ หากวันนั้นคุณชายจ้าวมาช่วยเจ้ามิทันจะเป็นเช่นไร ยายมิต้องเสียใจไปจนตายหรือ เจ้าไม่สงสารหัวใจของยายแก่คนนี้หรือไรลี่เอ๋อร์” เจียวฉือเดินเข้ามาโอบกอดร่างบางด้วยความรักมือข้างหนึ่งลูบศีรษะของหลานสาวอย่างแผ่วเบาดวงตานางแดงก่ำ
“ตะ…แต่ข้าอยากอยู่กับท่านทั้งสอง ฮึก…ฮึก…”
“มิได้… เจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้หลานรัก เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำเอาตากับยายกลัวๆ เหลือเกินว่าจะสูญเสียเจ้าไปอย่างไม่มีวันกลับ เจ้ามิเคยได้ยินหรือโบราณท่านบอกไว้ว่า จากเป็นดีกว่าจากตาย ” หลี่เจี้ยนยังคงคัดค้านทั้งยกตัวอย่างให้นางฟัง
“ลี่เอ๋อร์ในชีวิตของตากับยายได้มีเจ้าเป็นหลานก็ถือว่าฟ้าดินเมตตาแล้ว แต่จะให้ตากับยายขัดบัญชาสวรรค์แยกคู่ยวนยางออกจากกันตากับยายคงทำมิได้ฟ้าดินจะพิโรธเอา” จางหลี่เจี้ยนบอก
“ท่านตาพูดอันใดเจ้า บัญชาอันใด ยวนยางอันใดหลานมิเข้าใจ” โม่ลี่ยังคงร้องไห้แต่ก็งงกับคำพูดของท่านตา
“ตากำลังพูดเรื่องของเจ้ากับคุณชายจ้าวอย่างไรเล่า” หลังจากที่โม่ลี่ได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัยว่าเกี่ยวอันใดกับพี่หลง
“ตาได้ยินเรื่องที่เจ้าสนทนากันเมื่อวาน และตาก็ได้ยินทั้งหมดหลานปิดตามิได้หรอกลี่เอ๋อร์” หลี่เจี้ยนเห็นท่าทางสงสัยก็ให้คำตอบแก่นาง
“ทะ…ท่านตา” จางโม่ลี่ตกใจเบิกตากว้าง มิคิดว่าท่านตาและท่านยายจะรู้ความลับของนาง ใบหน้านางพลันซีดเผือดดวงตาหวานฉายแวววิตกกังวลทันที
“มิต้องกังวล ยายกับตายังคงรักและเอ็นดูเจ้าเช่นเดิม มิได้หวาดกลัวว่าเจ้าจะเป็นภูตผีปีศาจแม้แต่น้อย” เจียวฉือเห็นหลานสาววิตกกังวลจึงรีบเอ่ยปลอบ
“โฮ…ฮือ…ฮือ…” โม่ลี่โพล่งกอดเอวท่านยายไว้แน่นนางร้องไห้โฮออกมาอย่างมิอายใคร
“เจ้าโกรธยายกับตาหรือไม่ที่ตัดสินใจโดยพลการเช่นนี้โดยมิถามความเห็นจากเจ้า ยายและตาหวังดีกับเจ้าด้วยใจจริง” หลังจากที่นางหยุดร้องไห้เจียวฉือยังคงถามต่อ
“หลานไม่โกรธ แต่เหตุใดจึงตัดสินใจรวดเร็วเช่นนี้”
“ลี่เอ๋อร์ ตาจะเป็นผู้บอกกับเจ้าเอง” หลี่เจี้ยนเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ
“หลังจากที่ตาบังเอิญได้ยินสิ่งที่พวกเจ้าสนทนากัน ตาก็นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับยายของเจ้าและลงความเห็นว่าสมควรแล้ว ถึงแม้ตาและยายจะเจอเขาไม่นาน แต่ก็พอรู้ว่าเขาคิดกับเจ้าเช่นไร เหตุผลที่เจ้านั้นต้องออกเรือนกับบุรุษผู้นั้นมีเพียงสามข้อ ข้อที่หนึ่งอย่างที่ได้บอกตาและยายคงอยู่ดูแลเจ้าได้มินานก็คงต้องจากเจ้าไปในที่เจ้าตามไปไม่ถึง ข้อสองบุรุษผู้นี้สามารถคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัยได้ ข้อสามข้อสุดท้ายเจ้าไม่คิดหรือว่าเป็นเพราะบัญชาสวรรค์ที่ทำให้พวกเจ้าได้พบกันเช่นนี้ พวกเจ้าต่างมีบางสิ่งเชื่อมโยงหากัน แม้จะอยู่ไกลเพียงใดบุรุษผู้นั้นก็ยังเห็นเจ้าแม้ยามนิทราแล้วจะให้ตาขัดบัญชาสวรรค์หรืออย่างไร” หลี่เจี้ยนรู้สึกกระหายจึงยกชาขึ้นจิบก่อนจะพูดต่อ
“ในสายตาของชายชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวจนผมเปลี่ยนสี ตามิเคยเห็นผู้ใดมีสายตาที่มั่นคงหนักแน่นเช่นเขามาก่อน เชื่อตาเถิดบุรุษผู้นี้จะไม่มีวันทำให้เจ้าเสียใจ” หลี่เจี้ยนนึกไปถึงสายตาตอนที่ชายหนุ่มบอกกล่าวกับตนว่ารักนางทั้งยังเอ่ยคำสัญญาหนักแน่นก็ทำให้ชายแก่อย่างเขาวางใจที่จะส่งหลานสาวที่รักให้เขาเป็นผู้ดูแล
แม้ใบหน้ายังคงมีคราบน้ำตาเกรอะกรังแต่จางโม่ลี่ก็ยังฟังเหตุผลที่ท่านตากล่าวกับนางเงียบๆ ครุ่นคิดตามสวรรค์บัญชารึ หรือนี่จะเป็นชะตาของนางกันคนที่รอนางอยู่คือเขาหรือ หากใช่มันเร็วไปหรือไม่นิสัยใจคอเป็นเช่นไรก็ไม่รู้ ก็ต้องออกเรือนไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยา แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางรับรู้ได้จากเขาคือความคุ้นเคยและความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เข้า ยุคนี้ไม่เหมือนยุคที่นางจากมาที่สามารถเลือกคู่เองได้อย่างอิสระ ยุคนี้ผู้ใหญ่เป็นผู้ตัดสินว่าผู้ใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะถึงจะให้แต่งออกไป หากเป็นลิขิตฟ้าจางโม่ลี่ผู้นี้ก็จะไม่ขัดบัญชาสวรรค์ก่อนจะปลงตกและตัดสินใจ
“เจ้าจะทำตามความหวังดีที่ตาและยายมีให้เจ้าได้หรือไม่” หลังจากหลานสาวเงียบอยู่นานหลี่เจี้ยนจึงตัดสินใจเอ่ยถาม
“ลี่เอ๋อร์แล้วแต่ท่านตาและท่านยายเจ้าค่ะ” โม่ลี่เอ่ยตอบทำเอาบรรดาเงาที่คอยคุ้มครองอดลุ้นตามมิได้ก่อนจะตกใจอีกรอบ
“แต่…ลี่เอ๋อร์มีข้อแม้นะเจ้าคะ”
“หืม?…ข้อแม้อันใด” เจียวฉือเป็นผู้ถามด้วยความสงสัย
“ข้าต้องการให้ท่านตาและท่านยายไปอยู่ด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าเขาจริงใจกับหลานก็ต้องพาท่านตาท่านยายไปอยู่ในที่ๆ ข้าพบเจอกับท่านได้ ลี่เอ๋อร์อยากดูแลท่านตาท่านยายไม่อยากทิ้งพวกท่านไว้ที่นี่ มิฉะนั้นข้าจะมิยอมออกเรือนเด็ดขาด” ดวงตาแน่วแน่ของหลานสาวทำเอาทั้งสองตากุมขมับ
“เฮ้อ!!…”สองตายายชราไม่เคยรู้มาก่อนว่านางจะมีมุมนี้ด้วย บทจะดื้อก็ดื้อเอาง่ายๆหนึ่งในบรรดาเงาที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบหายไปทันทีเพื่อเร่งฝีเท้าตามผู้เป็นนายไปเพื่อรายงานสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา
พรรคมังกรทมิฬ
จ้าวหยางหลงเดินเข้าไปภายในห้องโถงใหญ่ ที่ตอนนี้มีบรรดาลูกพรรคมายืนรอเขาเดินขึ้นนั่งบนบัลลังก์ด้วยท่าทีสุขุมเยือกเย็นจนทำเอาบรรดาผู้อาวุโสและบรรดาลูกพรรคถึงกับขนลุกขนชัน
“ซิ่นหวางานที่ข้าสั่งเรียบร้อยหรือไม่”
“เรียบร้อยเจ้าค่ะ”
“ดี” กล่าวจบจ้าวหยางหลงก็กวาดตามองบรรดาอาวุโสและลูกพรรคเพียงครู่
“ข้ามีเรื่องประกาศให้พวกเจ้ารับทราบโดยทั่วกัน อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะมีงานมงคลสมรสระหว่างข้าและว่าที่นายหญิงของพวกเจ้าจงจัดเตรียมงานให้พร้อมอย่าให้เกิดความผิดพลาดเป็นอันขาด”
“ขอรับท่านประมุข” ทุกคนพูดกันอย่างพร้อมเพรียง
“พ่อบ้านม่าน”
“ขอรับท่านประมุข”
“จัดเตรียมสินสมรสให้ยิ่งใหญ่อย่าให้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด แล้วนำรายการมาให้ข้าดูอีกที”
“น้อมรับคำสั่งท่านประมุข โปรดวางใจ”
“ดี แยกย้ายไปได้แล้ว” จ้าวหยางหลงสะบัดมือหนึ่งครั้ง ทุกคนต่างรีบไปจัดเตรียมทุกอย่างตามที่ประมุขสั่ง
“ซิ่นหวาพวกมันทั้งสองอยู่ที่ใด ข้าจะสะสางสักที”
“เชิญท่านประมุขทางนี้เจ้า” ซิ่นหวาผายมือให้ประมุขไปยังกรงขังภายในห้องใต้ดินทันที
ร่างสูงสง่าแผ่กลิ่นกายอันตรายเดินเข้าไปภายในห้องใต้ดินที่ทั้งมืดแคบทั้งมีกลิ่นสาบเหม็นเน่าโชยออกมา จ้าวหยางหลงเดินไปตามทางแคบๆ ที่มีเพียงเชิงเทียนจุดพอให้เห็นทาง สถานที่แห่งนี้มิค่อยได้เปิดใช้การเท่าใดนัก นอกจากเอาไว้เป็นที่ทรมานพวกนักโทษใจกล้าที่บังอาจลอบเข้ามาสืบเรื่องราวภายในพรรค
“หึ…พวกเจ้ายังดูดีใช้ได้นี่” เสียงเย็นเยียบเอ่ย
“ดะ…ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด ข้าผิดไปแล้ว” เสียงอ้อนวอนจากบุรุษแขนด้วนเอ่ยตะกุกตะกัก
“เหตุใดข้าจึงต้องปล่อยเจ้าไป บอกมาสิ” คิ้วหนาเลิกขึ้น
“ข้าเพียงทำตามที่สตรีแพศยานางนี้สั่งเท่านั้น ข้าไม่รู้ว่านางเป็นคนสำคัญของท่าน ได้โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด”ชายกักขฬะเอ่ยพลางเอามืออีกข้างที่อยู่ดีชี้ไปทางอวี้ซูฮวาลืมสิ้นความกลัวใดๆ มัวแต่ตะลึงในความหล่อเหลาผู้มาใหม่ที่มีแสงจากเชิงเทียนส่องให้เห็นใบหน้าครึ่งซีก
“ข้ามิเกี่ยว เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้า คุณชายปล่อยข้าไปเถิด ข้ามิรู้เรื่องอันใดต้องเป็นความเข้าใจผิดแน่ๆ” อวี้ซูฮวาตวาดใส่คนที่นางจ้างวาน และหันไปขอความเมตตาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแสร้งบีบน้ำตา
จ้าวหยางหลงนึกสมเพชและรำคาญใจพวกมันทั้งสองนี่แหละหนามนุษย์ ตอนที่วางแผนกระทำความชั่วช้าเลวทรามมิคิดถึงผลที่จะมาตาม แต่ครั้นถูกจับได้ต่างก็โยนความผิดให้อีกฝ่ายอย่างหน้าด้านไร้ยางอายเสียจริง
ในยุทธภพเหล่าบรรดาขุนนางใจทรามทั้ง 5 แคว้นต่างเรียกขานพรรคมังกรทมิฬว่าพรรคมารแล้วอย่างไร พรรคเขามิเคยกระทำการชั่วช้าข่มเหงสตรี เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ หลายครั้งหลายคราที่พวกมันยื่นฎีกาให้ฮ่องเต้ทรงมีคำสั่งออกปราบปรามลบรายชื่อพรรคมังกรทมิฬออกจากยุทธภพ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดั่งที่พวกมันหวังในเมื่อฮ่องเต้ทรงทำเป็นหูหนวกตาบอดทุกอย่างก็เงียบหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นหากบรรดาขุนนางพวกนั้นรู้ว่าฮ่องเต้ทั้ง 5 แคว้นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคงจะกระอักเลือดตายเป็นแน่
“หยุด!!…ซิ่นหวาจงนำตัวพวกมันออกไป ข้าจะเป็นผู้ตัดสินโทษมันเอง” จ้างหยางหลงเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจพาให้พวกมันทั้งคู่สั่นสะท้านด้วยความกลัว
“เจ้าค่ะท่านประมุข”
บัดนี้ ณ. ลานกว้างภายในพรรคอยู่ในบรรยากาศเงียบสงบไร้ซึ่งเสียงลมใบไม้ที่พัดผ่านจนทั่วลานกว้างให้ความรู้สึกหนาวเย็น กลางลานปรากฏหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเลวทรามก้มหน้านั่งคุกเข่าร่างกายสั่นด้วยความกลัว โดยมีบรรดาลูกพรรคเกือบยี่สิบชีวิตยืนล้อมเป็นวงกลม เว้นว่างตรงกลางที่มีประมุขกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ลวดลายประณีตที่แกะสลักจากหยกมรกตเนื้อดี
“ข้ามีคำถามจะถามเจ้า จงตอบแต่ความจริง” น้ำเสียงกดดันเอ่ย
“ขะ…ข้าสัญญาว่าจะพูดความจริงทุกประการ ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด” เมื่อมันพูดจบก็โขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง
“หึ…สตรีนางนั้นจ้างวานเจ้าให้กระทำสิ่งใด”
“นางแพศยาผู้นั้นให้พวกข้าข่มขืนนางผู้นั้น และทำลายโฉมให้นางอยู่มิสู้ตายขะ…ขอรับ ปะ…โปรดเมตตาข้าด้วย ข้าบอกไปหมดแล้ว” มันโขกศีรษะจนมีเลือดรินไหลตามหน้าผากใบหน้า จ้าวหยางหลงมองร่องรอยของการทรมานแต่มันยังไม่สาสมกับที่มันกระทำไว้
“ซิ่นสือ ซิ่นลู่ จับมันถอดกางเกงและตัดของมันโยนเป็นอาหารสัตว์ แล่เนื้อมันช้าๆ ทีละแผ่นแล้วโยนลงในบ่ออสรพิษค่อยๆ ทำ อย่าให้มันรีบตายเสียก่อน” น้ำเสียงโหดเหี้ยมเอาชายหนุ่มกักขฬะตาเบิกกว้างหน้าซีดเผือดตัวสั่นเทา มันกำลังจะอ้าปากกล่าวบางอย่างแต่มีบางสิ่งอุดปากมันเสียก่อน ซิ่นสือและซิ่นลู่รีบนำตัวมันออกไปทันที
ในตอนนี้เหลือแต่เพียงหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่แทบจะล้มพับไปกองกับพื้นเมื่อได้ยินบทลงโทษที่แสนจะโหดเหี้ยม แล้วนางจะโดนกระทำเยี่ยงไร สตรีแพศยานั้นรู้จักกับบุรุษตรงหน้าหรือก็ไม่ เพราะนางไม่เคยเห็นคนผู้นี้ในหมู่บ้านมาก่อน เมื่อคิดได้ดังนั้นนางจึงกระทำการโง่เง่าออกมา
“ขะ…ข้ามิได้ทำอันใด ข้าถูกมันใส่ร้ายโปรดให้ความเมตตากับข้าด้วย” อวี้ซูฮวายังคงปฏิเสธทั้งแสร้งเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างน่าไม่อาย
“เมตตารึ หึ…ข้าจะเมตตาสตรีเช่นเจ้าให้มากๆ ดีหรือไม่” จ้าวหยางหลงเหยียดยิ้มในใจกับความไร้ยางอายของสตรีสารเลวตรงหน้า
“จริงรึเจ้าค่ะ”
“จริงแต่เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ เหตุใดจึงคิดทำร้ายนาง” เสียงเรียบยังคงถามต่อ เขาอยากรู้ว่านางจะกล่าวอันใด
“ตามความจริงข้ามิได้คิดจะทำอันใดร้ายแรงกับนางไม่ ข้าแค่ให้พวกมันข่มขู่นิดๆ หน่อยๆ มิได้ให้กระทำการเลวร้ายอันใด ขอให้ท่านโปรดเข้าใจ” อวี้ซูฮวาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีขึ้น
“เล่ามา” จ้าวหยางหลงเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“จะ…เจ้าค่ะ แต่เดิมข้าและท่านแม่ทัพใหญ่รู้สึกชอบพอกันตั้งแต่แรกเห็นทั้งยังสัญญากับข้าจะรีบมาสู่ขอตบแต่งข้าเป็นฮูหยิน แต่เมื่อสตรีแพศยานางนั้นเกิดต้องตาต้องใจท่านแม่ทัพนางก็ใช้มารยายั่วยวนท่านแม่ทัพกลางตลาดเยี่ยงสตรีโคมเขียวเป็นที่น่ารังเกียจกับผู้ที่พบเห็น บุรุษในหมู่บ้านต่างกันพาหลงใหลนาง อีกทั้งข้ายังเคยได้ยินมาว่านางแอบไปมีความสัมพันธ์กับบุรุษภายในหมู่บ้าน ข้ามิอาจทนได้หากบุรุษที่ดีอย่างท่านแม่ทัพจะตกบ่วงเสน่ห์ของนางไปอีกคน ข้าจึงจ้างพวกมันไปข่มขู่หวังให้นางหยุดการกระทำนั้น ความจริงทั้งหมดก็มีแค่นี้เจ้าค่ะ” อวี้ซูฮวาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าที่แสร้งเจ็บปวดที่ถูกแย่งคนรักไป แต่ไม่ใช่กับประมุขที่สีหน้ามืดครึ้มลงเรื่อยๆ
จ้าวหยางหลงนั่งฟังเงียบๆ สองมือกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดโปกปูด พลางจดบัญชีแค้นในใจ แพศยา ยั่วยวน สตรีโคมเขียว และอารมณ์แทบจะขาดผึงเมื่อสตรีอสรพิษกล้าบอกว่านางทำตัวเป็นสตรีแพศยาไร้ยางอายลักลอบมีสัมพันธ์กับบุรุษในหมู่บ้าน เห็นทีบทลงทัณฑ์ที่เขาคิดไว้คงไม่สาสมแล้วกระมัง
ดวงตาประกายคมกล้าดุจเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ด้วยเพลิงโทสะที่ยากจะระงับ บรรดาลูกพรรคต่างพากับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มิมีผู้ใดกล้าส่งเสียงให้เป็นที่ระคายหู ซิ่นหวาที่ได้ยินสตรีนางนี้พูดถึงกับเหยียดยิ้มอำมหิต
“จบแล้วรึ” น้ำเสียงเรียบดุดันเอ่ยถาม
“จะ…เจ้าค่ะ” อวี้ซูฮวาถึงกับขนลุกซู่กับน้ำเสียงที่ชายหนุ่มพูดออกมา “นางผิดพลาดอันได้กัน” อวี้ซูฮวาคิดในใจ
“หึหึ…สงสัยรึ ข้าจะบอกเจ้าสตรีที่เจ้าพูดถึงคือคนที่จะมาเป็นว่าที่นายหญิงของพรรคมังกรทมิฬอย่างไรเล่า สตรีไร้ยางอายทั้งแพศยาขี้อิจฉาเช่นเจ้าคงคิดไม่ถึง ดีข้าจะได้สะสางให้มันจบๆ ไปซะที” จ้าวหยางหลงไขความข้องใจที่นางแสดงออกมาทางสายตา
“ห๊ะ มะ…ไม่จริง ข้าผิดไปด้วยอภัยให้ข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ” อวี้ซูฮวาผงะลงไปกองกับพื้น คลานเข่าลนลานเข้าไปหาชายหนุ่มแต่ก็โดนซิ่นหวาขวางไว้
“ซิ่นหวาตัดลิ้นเลาะฟันนางออกให้หมด และเย็บปากสกปรกของนางที่กล้าให้ร้ายนาง ทำลายโฉมนางซะ จงจำไว้ค่อยๆทรมานนางช้าๆ และที่สำคัญอย่าให้นางตาย แล้วเอานางไปส่งที่หมู่บ้าน ข้าจะให้มันรู้สึกถึงคำว่าอยู่มิสู้ตาย” เสียงเหี้ยมเกรียมเอ่ยจบ บรรดาลูกพรรคถึงกับเหงื่อตกท่านประมุขมิเคยทำร้ายผู้ที่อ่อนแออย่างสตรี แต่สตรีตรงหน้าเป็นข้อยกเว้น นางเป็นสตรีคนแรกที่ท่านประมุขลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้
“น้อมรับคำสั่งท่านประมุข” ซิ่นหวาจัดการลงมือทันทีสายตาอำมหิตพาให้บรรดาเงาที่ลอบมองถึงกลับขนลุก ใครๆ ก็รู้ว่าซิ่นหวานางถนัดทรมานผู้คนนัก
จ้าวหยางหลงลุกออกไปทันทีหลังจากที่พูดจบ เสียงร้อยโหยหวนของสตรีนางนั้นดังขึ้นแต่เพียงไม่นานทุกอย่างก็เงียบกริบ เขามิได้เป็นคนโหดเหี้ยมแต่อย่างใด แต่สตรีนางนี้มิคิดที่หยุดและสารภาพความจริงมาแต่กับให้ร้ายนางอย่างมิน่าให้อภัย เขาจึงต้องลงมือให้เด็ดขาดเสียที
พรรคดับจันทรา
ภายในห้องโถงกว้างขวางมีบุรุษรูปงามแต่ทว่ากับดูเจ้าชู้เสเพลกำลังนั่งบนบัลลังก์ในตำแหน่งประมุขพรรคกำลังฟังลูกน้องรายงานบางสิ่งอย่างสนอกสนใจ ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาคมแสนเจ้าเล่ห์กำลังคิดแผนการบางอย่าง
“เจ้าแน่ใจนะว่าข้อมูลที่ได้มาไม่ผิด”
“ขอรับท่านประมุข เรื่องนี้จงหู่ไปได้ยินมาด้วยความบังเอิญ”
“ฮ่าฮ่า…ไม่น่าเชื่อว่าศิลาน้ำแข็งเยี่ยงนั้นจะมีวันนี้ได้ เห็นทีข้าคงมีเรื่องสนุกๆ ทำเสียที ฮ่าฮ่า…” นัยน์ตาคมเจ้าเล่ห์วาววาบไปทั้งดวงตาก่อนจะเร้นกายหายไปราวสายลม