ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 10
เช้านี้อวี้ซูฮวาตื่นเช้ากว่าปกติ ก่อนจะสั่งสาวใช้ให้ไปทำงานบางอย่าง เมื่อวานนางนอนวาดฝันถึงแผนการที่วางไว้อย่างอารมณ์ดีทำให้นอนหลับได้อย่างสบายใจ ป่านนี้สตรีแพศยานางนั้นคงจะเสพสุขกับบุรุษกักขฬะพวกนั้นจนมีความสุขจนแทบสำลักเลยกระมัง“เห็นหรือไม่ข้ายังพอมีเมตตา ให้เจ้าได้รู้จักเสพสมร่วมอภิรมย์กับบุรุษเยี่ยงพวกมัน ก่อนที่จะไม่มีหน้าออกมาพบเจอผู้ใด” อวี้ซูฮวาพูดเบาๆ ลอบยิ้มสะใจ ทุกคำพูดและการกระทำไม่พ้นสายตาคู่หนึ่งที่ลอบมองมาด้วยประกายตาชิงชังรังเกียจ
“มาแล้วหรือ ไหนขนมที่ข้าสั่งละ” อวี้ซูฮวาเอ่ยถามคนที่ตนสั่งให้ไปตลาดเพื่อซื้อของกลับมา แต่ในมือกับว่างเปล่ามิได้มีสิ่งใดถือติดมือมาด้วย
“วันนี้ร้านมิได้เปิดเจ้าค่ะฮูหยิน บ่าวเลยมิได้ซื้อขนมกลับมา”เสี่ยวเหมาเอ่ย พลางขมวดคิ้ว“เหตุใดวันนี้คุณหนูจู่ๆ จึงอยากกินขนมของสตรีนางนั้นขึ้นมา ทั้งที่คุณหนูของนางออกจะเกลียดชังสตรีนางนั้นยิ่งนัก” เสี่ยวเหมาคิดในใจแต่มิได้เอ่ยออกไป
“ปิดร้านรึ หึ…” สีหน้าสะใจลอบระบายยิ้ม
“ไม่เป็นไร เจ้าจะไปไหนก็ไปเถอะ ข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อยไม่ต้องตาม”
“แล้วถ้านายท่านถามละเจ้าคะ จะให้ตอบเช่นไร”
“จะตอบเช่นไรก็แล้วแต่เจ้า ข้ากับมันมิได้เกี่ยวข้องอันใดกัน ข้าเกลียดมัน หากมิใช่เพราะมันข้าก็คงไม่เป็นเช่นทุกวันนี้ เดินไปที่ใดก็มีแต่คนหัวเราะข้าว่าเอาบ่าวไพร่มาทำสามี และเจ้าจงจำใส่กะโหลกไว้อย่าได้เอ่ยถึงมันให้ข้าได้ยินอีก” อวี้ซูฮวาตวาดอย่างอารมณ์เสีย
“ตะ…แต่…” อวี้ซูฮวาเดินออกไปโดยไม่รอฟังคำปฏิเสธของเสี่ยวเหมา
“เฮ้อ…ก็เป็นเพราะการกระทำของคุณหนูเองมิใช่รึเจ้าคะ บ่าวก็เตือนแล้วแต่คุณหนูก็มิฟังบ่าว แล้วเป็นเช่นไรเล่า เรื่องก็ไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ ทั้งยังพลาดท่าเสียทีซะเอง” เสี่ยวเหมาพูดแผ่วเบาพลางถอนหายใจ
เมืองหลวงแคว้นหลิว
ภายในจวนสกุลหงซึ่งเป็นตระกูลพ่อค้าอันดับหนึ่งในแคว้นหลิว ตอนนี้มีผู้หนุ่มรูปร่างองอาจหน้าตาหล่อเหลาดำรงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลสืบต่อจากบิดาที่วางมือไป ตรงหน้ามีหญิงวัยกลางคนใบให้ยังคงงดงามแม้จะมีริ้วรอยแห่งกาลเวลาแล้วก็ตาม แต่ทว่าดวงตากับหม่นแสงไร้ซึ่งความหวังปรากฏมีแต่ความเศร้าเสียใจ โดยมีบุรุษวัยกลางคนนั่งเคียงข้างโอบประคองร่างนั้นไว้ในอ้อมแขนอย่างปลอบขวัญ
“ยังไม่เจอน้องอีกหรือเจินเอ๋อร์” หงเหมยหลิวถามบุตรชายคนเดียวเหลืออยู่ วันนั้นโชคดีนักที่บุตรชายมิได้ตามนางและสามีไปด้วยเพราะเกิดป่วยไข้จนต้องให้แม่นมคอยดูแลอยู่ที่จวน มิเช่นนั้นวันนี้คงมิได้พบเห็นบุตรชายของนางอีกคนเป็นแน่
“ท่านแม่ข้าสัญญาจะเร่งหาตัวนางให้พบ โปรดวางใจข้าจะมิให้ท่านต้องผิดหวัง” หงฮุ่ยเจินเอ่ยหนักแน่น ยี่สิบกว่าปีแล้วที่น้องน้อยหายไปมิรู้ว่าหน้าตาจะเปลี่ยนไปเช่นไรบ้างก็เกินจะคาดเดา เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้บิดามารดาจำเป็นต้องนำตัวนางที่ยังไม่ครบสามหนาวไปซ่อนเพื่อความปลอดภัย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจึงย้อนกลับมารับแต่กลับไม่พบนางเสียแล้ว เขาจำได้ว่าตั้งแต่นั้นมาบิดาก็เร่งตามหาน้องน้อยอย่างบ้าคลั่ง มารดาร้องไห้จนสลบไปสามรอบในวันนั้น
“หลิวเอ๋อร์เจ้าไปพักเถอะ” ผู้เป็นสามีมองนางอย่างห่วงใย ตั้งแต่วันนั้นนางเอาแต่เหม่อลอยกินน้อยพูดน้อยทำให้ร่างกายอ่อนแอลงจนน่าใจหาย
“เจ้าค่ะท่านพี่ เสี่ยวเหยามาพยุงข้าที ข้าจะไปพักสักหน่อย” หงเหมยหลิวเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิทให้มาพยุงตนกลับไปยังเรือนนอน
“เฮ้อ…สวรรค์ไยจึงโหดร้ายกับบุตรีและครอบครัวข้าเยี่ยงนี้” หงฮุ่ยเหยียนต่อว่าฟ้าดินที่ทำให้บุตรีคนเดียวต้องพลัดพรากจากครอบครัว
“ท่านพ่อ ข้าเชื่อว่าน้องน้อยจะมิเป็นอันใด” หงฮุ่ยเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ
“เจินเอ๋อร์สัญญากับพ่อได้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องตามหาน้องสาวของเจ้าให้พบ” ฮุ่ยเหยียนมองบุตรชายที่เป็นความหวังสุดท้าย
“ขอรับ ข้าสัญญา” สองชายหนุ่มต่างวัยสนทนากันสักครู่ก่อนจะแยกย้ายกันไป
หงฮุ่ยเจินเดินออกมาจากห้องเหม่อมองไปยังท้องฟ้า พลางคิดถึงเด็กสาวตัวอวบอ้วนที่สร้างรอยยิ้มและความสุข ตอนนั้นนางยังเดินไม่ค่อยคล่องนักทำให้ล้มจ้ำเบ้าบ่อยๆ แต่ก็ยังพยายามเดินมาหาพี่ชายอย่างเขา แต่ความสุขอยู่ได้ไม่นาน เขาจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี บิดามารดากลับมาด้วยสภาพบาดเจ็บสาหัสทั้งสองมิได้โอบอุ้มน้องน้อยมาด้วย เมื่อมารดาเห็นเขาก็วิ่งเข้ามากอดเข้าแน่น เขาจำได้ว่ามารดาเอาแต่กล่าวว่า “แม่ขอโทษ…แม่ผิดเอง” ซ้ำๆ จนนางสลบไป วันนั้นเขาจึงได้รู้ว่าน้องน้อยของเขาหายตัวไปทำเอาเขาร้องไห้อย่างหนัก “ลี่เอ๋อร์…ป่านนี้เจ้าจะเป็นเช่นไรบ้าง พี่จะตามหาเจ้าให้พบน้องรัก ขอให้สวรรค์โปรดเมตตาครอบครัว และน้องน้อยของข้าด้วยเถิด” ฮุ่ยเจินคิดในใจ
ภายในหมู่บ้านอวี้ฟง
อวี้ซูฮวาเดินมุ่งหน้าไปยังสถานที่เมื่อวานที่พบกับบุรุษกักขฬะพวกนั้น เพื่อฟังข่าวดีแต่เมื่อไปถึงนางกับไม่พบพวกมันก็ให้รู้สึกสะใจ นี่ก็ปลายยามเฉินแล้ว (7.00-8.59 น.) ไม่แคล้วพวกมันคงจะมัวแต่เสพสุขกับร่างของสตรีแพศยาไร้ยางอายนางนั้นเป็นแน่จึงลืมนัดของนาง แต่ไม่เป็นไรยามนี้แล้วพวกมันก็ยังไม่กลับมาแปลว่าแผนการของนางนั้นสำเร็จเรียบร้อยอย่างไม่ต้องสงสัย คิดได้ดังนั้นนางจึงเดินออกมาอย่างอารมณ์ดีโดยไม่รับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมา
ซิ่นหวาหญิงสาวชุดดำหนึ่งในเงาฝีมือดีของจ้าวหยางหลง พรางกายติดตามอวี้ซูฮวาตั้งแต่ที่จวนจนถึงที่แห่งนี้คาดว่าจะเป็นที่นัดพบกับพวกมัน นางใช้เวลาสืบเรื่องราวอยู่สามวัน ทำให้รู้ว่าสตรีอสรพิษน่ารังเกียจนางนี้แอบหลงรักแม่ทัพแห่งแคว้นเฟิง ซ้ำยังใช้วิธีต่ำช้าเยี่ยงคณิกาในหอโคมเขียวเพื่อจับบุรุษหนุ่มยัดเยียดตนเองให้เป็นฮูหยินของเขา แล้วอย่างไรสตรีโง่นางนี้กับทำพลาดเสียเอง จากฮูหยินแม่ทัพกลับกลายเป็นฮูหยินของบ่าวชายในจวนช่างน่าขำให้ความโง่เขลาของนางนัก
อีกทั้งสตรีสารเลวนางนี้กล้าต่อว่านายหญิงกลางท้องตลาดว่าพยายามยั่วยวนท่านแม่ทัพ เป็นสตรีไร้ยางอายให้อับอายผู้คนในวันนั้น ยังดีที่ท่านแม่ทัพผู้นั้นสามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีนายหญิงมาได้ทุกคนในที่นั้นจึงเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุหาใช่การยั่วยวนอันใดไม่
เรื่องก็เกิดขึ้นนานแล้วแต่สตรีนางนี้ก็ยังเจ็บแค้นนายหญิงไม่เลิก พยายามก่อกวนนางตลอดเวลาเมื่อมีโอกาส แต่ที่นางพลาดที่สุดในชีวิตคือการที่นางบังอาจคิดร้ายต่อว่าที่นายหญิงด้วยการว่าจ้างพวกมันมาข่มเหงทำลายศักดิ์ศรีของสตรี เห็นที่บทลงทัณฑ์ของท่านประมุขจะทำให้นางชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน
สามวันแล้วที่จ้าวหยางหลงยังคงพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่กระท่อมแห่งนี้ ดูเหมือนว่าวันนี้จางหลี่เจี้ยนและจางเจียวฉือนั้นคอยจับตาดูเขาตลอดเวลา แต่เขาก็มิได้ทุกข์ร้อนอันใดซ้ำยังมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้นาง ช่วยนางหยิบนู้นจับนี่อย่างเพลิดเพลิน
“คุณชายข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่านสักครู่จะได้หรือไม่” หลี่เจี้ยนหลังจากได้นำเรื่องราวของหลานสาวบุญธรรมเล่าให้ภรรยาที่รักได้ฟัง ทั้งสองจึงตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อปกป้องหลานสาวของตน
“ได้” หยางหลงรับคำสั้นๆ
“เชิญด้านในเถิด” หลี่เจี้ยนผายมือเชิญอีกฝ่ายเข้าไปในกระท่อมเพื่อพูดคุยธุระบางอย่าง
“ฉือเอ๋อร์ เจ้าก็คอยช่วยลี่เอ๋อร์เถิด แต่จงระวังตัวด้วยข้ากลัวว่าพวกมันจะย้อนกลับมาทำร้ายนางอีกครั้ง หากมีอันใดเรียกข้าได้”
“เจ้าค่ะท่านพี่” เจียวฉือรับคำสามีก่อนจะมองหลานสาวของนางอย่างเอ็นดู “ตากับยายหวังว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ จะไม่ทำให้เจ้าเสียใจหลังนะลี่เอ๋อร์” เจียวฉือคิดในใจพลางลูบศีรษะนางอย่างเอ็นดู
ภายในกระท่อมบรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด สองชายต่างวัยกำลังจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งสองอยู่แบบนี้ประมาณหนึ่งเค่อแล้ว (15 นาที) จนชายชราเองทนไม่ไหวจึงเอ่ยธุระกับชายหนุ่มเสียที
“คุณชายจ้าว ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าที่แท้จริงแล้วท่านเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงต้องใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นนี้” หลี่เจี้ยนถามตัวตนของอีกฝ่ายทันที
“ข้าจ้าวหยางหลง ดำรงตำแหน่งประมุขมังกรทมิฬ เหตุที่ต้องปิดบังใบหน้าเพราะข้ามิชื่นชอบสตรีน่ารำคาญ ยกเว้นนางเพียงผู้เดียว” จ้าวหยางหลงเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง
จางหลี่เจี้ยนถึงกับเบิกตากว้างตกใจ ทั้งที่คิดอยู่แล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นถึงประมุขมังกรทมิฬ บุคคลที่ใต้หล้าต่างกลัวเกรงแม้กระทั่งฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้า
“ข้าขอถามได้หรือไม่สตรีนางนั้นใช่หลานสาวบุญธรรมของข้าหรือไม่” จางหลี่เจี้ยนยังคงถามต่อ
“ใช่เป็นนางๆ แต่เพียงผู้เดียว” น้ำเสียงที่ออกเอ่ยมาเต็มไปด้วยความหนักแน่นไม่มีความลังเลเพียงเสี้ยว
“เหตุใดท่านถึงได้ออกจากหุบเขาทมิฬมายังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้” หลี่เจี้ยนยังคงถามต่ออย่างใคร่รู้
“แล้วเหตุใดท่านยังถามข้า ทั้งที่ท่านรู้คำตอบอยู่แล้ว” จ้าวหยางหลงถามกลับทำเอาจางหลี่เจี้ยนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ทะ…ท่าน” หลี่เจี้ยนผงะเล็กน้อยนึกไม่ถึงว่าเขาจะรู้ว่าตนแอบฟังตอนที่ทั้งสองสนทนากัน
“ท่านก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วมิใช่หรือ” จ้าวหยางหลงปรายตามองอีกฝ่ายด้วยท่าทีสงบนิ่ง
จางหลี่เจี้ยนได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ทำใจให้สงบคิดทบทวนเรื่องราวที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ทั้งตนและภรรยาต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกันว่าทั้งสองคงมีบุพเพวาสนาต่อกัน แม้จะอยู่ห่างไกลเพียงสวรรค์ก็ยังให้ทั้งคู่กลับมาพบเจอ ความรู้สึกภายในใจกำลังบอกเขาว่ากำลังต้องสูญเสียหลานสาวไปใช่หรือไม่
“เฮ้อ!!…แล้วท่านจะทำสิ่งใดต่อไป” หลี่เจี้ยนเอ่ยอย่างปลงตก
“ข้าจะตบแต่งนางเป็นนายหญิงเข้าพรรคมังกรทมิฬ”
“มันไม่เร็วไปหรือท่านและนางต่างเพิ่งพบกันเพียงสามวันเท่านั้น”
“ไม่เลย…มันนานเกินไปด้วยซ้ำสำหรับข้า 7 ปีที่ข้าเฝ้ารอคอยนาง 7 ปีที่ข้าทำได้แค่มองนางในความฝันเห็นนางเผชิญเรื่องราวต่างๆ ข้าไม่ตำหนิท่านหากจะบอกว่ามันเร็วไป แต่ข้าอยากให้ท่านรับรู้นางเป็นผู้เดียวที่อยู่ในใจข้า” ระหว่างที่เอ่ยดวงตาของประมุขหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่แสดงออกมาทำให้จางหลี่เจี้ยนรับรู้ว่าอีกฝ่ายมีความจริงใจเพียงใด
“ท่านแน่ใจรึว่าท่านรักนาง มันอาจจะเป็นความเอ็นดูความสงสารที่ท่านมีต่อนางก็เป็นได้”
“ข้าแน่ใจว่าข้ารักนาง หาใช่เพราะความสงสารและเอ็นดูไม่” น้ำเสียงหนักแน่นดั่งขุนเขากล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล ดวงตาสีรัตติกาลมองชายชราไม่คิดหลบตา
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มีเรื่องจะขอร้องท่าน” หลี่เจี้ยนถอนหายใจ
“เชิญว่ามาเถิด”
“ข้าสองคนตายายแก่ชรามากแล้วมิรู้จะตายวันตายพรุ่งเมื่อใด ทั้งยังมีคนคิดปองร้ายนางอีก ข้าได้แต่เพียงหวังว่าท่านจะเมตตานางดูแลนางแทนคนแก่เช่นพวกข้า ท่านพอจะรับปากข้าได้หรือไม่” หลี่เจี้ยนอดจะเศร้ามิได้ หากพวกมันย้อนกลับมาทำร้ายนางคนแก่ไม่มีประโยชน์เช่นเขาคงจะช่วยนางจากบุรุษสารเลวพวกนั้นมิได้แน่ เพื่อความปลอดภัยนางต้องไปจากที่นี่
“ข้ารับปากท่านจงวางใจเถิด”จ้าวหยางหลงรับปากทันทีก่อนจะเปล่งวาจาที่ทำเอาฟ้าดินต้องสั่นสะเทือน
“ข้าจ้าวหยางหลงจะดูแลนางอย่างดี มิทำให้นางเสียใจเป็นอันขาด นางจะเป็นนายหญิงของพรรคมังกรทมิฬ เป็นฮูหยินของข้าแต่เพียงผู้เดียวและตลอดไป ความตายมิอาจแยกจาก ขอฟ้าดินจงเป็นพยาน” ท้องฟ้าด้านนอกที่เคยสดใสเริ่มถูกบดบังด้วยเมฆดำเกิดเสียงฟ้าผ่าลงมาหนึ่งสายราวกับขานรับเป็นพยานของบุรุษหนุ่มก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
จางหลี่เจี้ยนสะดุ้งทันทีที่เกิดเสียงฟ้าคำรามไปทั่วบริเวณ หลังจากที่ประมุขมังกรทมิฬกล่าววาจาคำสัญญาที่ให้ไว้กับเขาด้วยเสียงหนักแน่น แววตาที่เศร้าหมองกลับเปลี่ยนเป็นยินดีและวางใจที่ตนตัดสินใจไม่ผิด ขนาดฟ้าดินยังร่วมเป็นสักขีพยานเช่นนี้แล้วไยข้ายังต้องเศร้าหมองในเมื่อนางกำลังไปเจอสิ่งที่ดีในวันข้างหน้าด้วยเล่า
“ขอบคุณท่านมาก แล้วท่านคิดจะตบแต่งนางเมื่อใด”
“อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าในระหว่างนี้ข้าจะให้เงาคอยดูแลนาง วันพรุ่งนี้ข้าจำเป็นต้องไปสะสางงานเสียหน่อย”
“อืม” หลี่เจี้ยนรับคำ
“ท่านไปจัดการธุระของท่านเถอะ ข้าต้องคุยเรื่องนี้กับนางเช่นกัน” ทั้งสองเมื่อสนทนาจบก็ต่างแยกย้ายกันออกไป
จ้าวหยางหลงเดินเข้าไปในป่าห่างจากกระท่อมจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครตามมา ก่อนจะหยุดเดินสองมือไพล่หลัง บรรยากาศรอบด้านรู้สึกถึงความกดดันที่ชายหนุ่มแผ่ออกมา จนสัตว์น้อยใหญ่ต่างกระเจิดกระเจิง“ตุ๊บ” เสียงเข่ากระแทกกับพื้นดินดังขึ้น
“ว่ามา” เสียงทรงอำนาจดังขึ้น
“เรียนท่านประมุข หลังจากที่ไปสืบมาสตรีนางนั้นมีความแค้นกับว่าที่นายหญิงเจ้าค่ะ” ซิ่นหวาเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ประมุขได้ฟังอย่างละเอียดมิขาดตกบกพร่อง บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกทำเอาดอกไม้ใบหญ้ามีเกล็ดน้ำแข็งเกาะแรงกดดันที่ถูกแผ่ออกมาทำเอาซิ่นหวาแทบจะหมดสติ นางต้องขบริมฝีปากไว้แน่นมิให้ล้มพับลงกับพื้น หลังจากที่ชายหนุ่มยืนเงียบมานานก็เอ่ยคำสั่งออกมา
“จับตัวนางไปที่พรรค ปล่อยข่าวว่านางลอบหนีไปยังเมืองหลวงเพื่อไปพบแม่ทัพ พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปสะสางพวกมันอีกที”
“บอกผู้ดูแลจัดเตรียมขบวนสินสอดให้ยิ่งใหญ่ หลังจากเสร็จเรื่องให้นำมาให้ข้าตรวจดูอีกที”
“น้อมรับคำสั่ง” ซิ่นหวาได้ยินเช่นนั้นก็รีบตอบรับ และไปทำหน้าที่ทันทีก่อนที่ตนเองจะตายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เพราะแรงกดดันที่ท่านประมุขแผ่ออกมา