จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 163
บทที่ 163: สายฟ้าผู้เกรี้ยวกราด!
“อธิการบดีเซียว ในตอนนี้เขาได้เดินทางมาถึงร้อยห้าสิบคนแล้ว ถ้าหากเขาสามารถทำได้สองร้อยคนจริงๆ เราจำเป็นจะต้องยกทรัพยากรของนักเรียนกว่าสี่พันคนให้เขาทั้งหมดงั้นเหรอ?” โจวเจียงฮวาหัวหน้าสาขาธาตุดินถามออกมา
ในคราแรกไม่มีใครสนใจคำกล่าวของโม่ฝานเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนแต่คิดว่าเขาเป็นคนบ้าเท่านั้น
แต่ในตอนนี้เมื่อโม่ฝานเดินทางมาถึงจำนวนที่ใกล้เข้ามาถึงเป้าหมายเรื่อยๆ ทุกคนโดยรอบต่างแข็งเกร็งอย่างสังหรณ์ใจ
แม้แต่หลัวซ่งและจ้วงหลีเฟิงเป็นนักเวทระดับมัชฌิมและคนอื่นๆเป็นนักเวทระดับปฐมภูมิทั้งสิ้น ไม่ว่าจะส่งคนขึ้นเวทีมาอีกห้าหรือสิบคน ก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาในครั้งนี้ได้!
ทั้งหมดหวนกลับมาคิดเกี่ยวกับหมาป่าเวทอีกครั้ง แม้ว่ามันจะพัฒนาขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ แต่ความเหนื่อยอ่อนจะต้องมีสะสมบ้าง เหตุใดกันมันจึงยืนอยู่ได้นานเช่นนี้!
พวกเขาล้วนแต่มองดูบาดแผลบนร่างกายของหมาป่าเวทอย่างรอบคอบ มันไม่ควรจะยืนหยัดต่อสู้ได้อีกแล้วด้วยซ้ำ แต่ทว่าท่าทีและสายตาของหมาป่าเวทตัวนั้นราวกับว่ามันพร้อมที่จะต่อสู้กับคนอีกนับร้อยได้อย่างสบายๆ!
“พี่ชายถึงเวลาของคุณแล้ว ทรัพยากรทั้งหมดของเราจะถูกพรากไปจนหมดสิ้นถ้าหากว่าเราปล่อยให้คนๆนั้นยืนอยู่บนเวที” ชายหนุ่มคนนึงกล่าวออกมากับชายที่มีใบหน้าหล่อเหลา
“นายคิดเหมือนกับฉัน เฮ้อ… ฉันไม่ได้ต้องการที่จะต่อสู้เลยจริงๆ เอาล่ะ สักนิดหน่อยก็คงจะได้อยู่!” ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนขึ้นจากที่นั่งของตนเองด้วยสายตาที่มั่นอกมั่นใจอย่างมาก
“ที่จริงเหตุการณ์เช่นนี้น่าสนใจอย่างมากเลยล่ะ เด็กหนุ่มที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ เดินเข้าสู่นครเซี่ยงไฮ้ของพวกเราและแสดงพลังได้อย่างโดดเด่นเชียว ฉันน่ะคิดมาตลอดว่าเมืองหลวงแห่งนี้ปกครองโดยตระกูลใหญ่ตงฟาง เฮอะๆ ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะถูกปล้นชื่อเสียงโดยไอ้บ้านนอกคนนี้ได้อย่างง่ายดาย… ไป๋ฉางฟ่งในฐานะที่แกเชื่อมต่อเส้นทางเนบิวล่าได้แล้ว พวกเราจะยอมยกเวทีนี้ให้แกไปเฉิดฉายแล้วกัน” ชายอีกคนที่รูปร่างสง่างามพูดขึ้นมาพร้อมกับลูบไล้แหวนราคาแพงที่นิ้ว
“แน่นอนว่าฉันก็อยากจะมอบโอกาสนี้ให้แกแหละนะ ซึ่งในเวลานี้ฉันจะให้เวลาแกฝึกฝนอีกสักหน่อยแล้วกัน ถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก แกจะได้ยืนด้วยขาตัวเองได้ ซึ่งในวันข้างหน้าคนที่แกจะต้องเผชิญหน้าด้วยคือสี่ตระกูลใหญ่แห่งเซี่ยงไฮ้!” ไป๋ฉางฟ่งกล่าวออกมาทีเล่นทีจริง
“เฮอะ มันก็มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่โชคดีและสามารเข้าสู่ระดับมัชฌิมได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วยังไงล่ะ? สิ่งที่ประเทศของเรานั้นไม่เคยขาดแคลนเลยก็คืออัจฉริยะ! ในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดเป็นอัจฉริยะ แต่ใครกันล่ะจะสามารถรับประกันได้ว่าในอนาคตพวกเขาจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง?!” เหย่ฉานเหอตอบกลับ
“ฝึกควบคุมเส้นทางเนบิวล่าของแกให้ดีเถอะ ฉันจะไปหยุดเด็กคนนั้นเองและจะทำให้นักเรียนในสถาบันเมิงจู่นี้รู้สักทีว่านี่คือบุญคุณครั้งใหญ่ของตระกูลไป๋ของเรา ซึ่งเป็นผู้นำในสี่ตระกูลใหญ่แห่งนครเซี่ยงไฮ้!” ไป๋ฉางฟ่งหัวเราะออกมาพร้อมกับก้าวสู่เวทีอย่างเย่อหยิ่ง
—
เมื่อเดินมาถึงเวทีประลอง ไป๋ฉางฟ่งจำเป็นจะต้องรอเวลาสักหน่อยเพราะมีอีกยี่สิบคนยืนอยู่ด้านหน้าของเขา
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ตราบใดที่มันยังไม่ถึงห้าสิบคน ยังไงหมาป่าเวทตัวนั้นจะต้องพ่ายแพ้ให้กับไป๋ฉางฟ่งแน่นอน
“เฮ้ พวก… นายมาจากสาขาไหนงั้นเหรอ? ฉันคิดว่าเราควร…”
ไป๋ฉางฟ่งโบกมืออย่างเย่อหยิ่ง พร้อมกับปฏิเสธนักเรียนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มในทันที “ฉันไม่ได้วางแผนจะเข้าร่วมกับใคร เพียงแค่หมาป่าเวทที่อ่อนแอกับนักเวทระดับมัชฌิมครึ่งๆกลางๆอย่างนั้น แค่ฉันคนเดียวก็เพียงพอแล้ว!”
หลังจากกล่าวจบ เขาเพิกเฉยต่อคนเหล่านั้นและเดินสู่เวทีเพียงลำพังอย่างไม่แยแส
—
“บัดซบ ในที่สุดก็มีผู้แข็งแกร่งโผล่มาสักที!”
“อีกยี่สิบกว่าคนเท่านั้นจะถึงสองร้อยแล้ว ด้วยวิธีการเช่นนี้…ฉันว่าพวกเราจะต้องผ่านพ้นไปได้แน่นอน เอ๊ะ แต่ว่าชายคนนี้ทำไมดูคุ้นตาเหลือเกิน เหมือนจะเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อนสักแห่งใช่ไหม?” หัวหน้าทีมผู้ท้าชิงอีกกลุ่มกล่าวขึ้นมาอย่างสงสัย
“เขาคือไป๋ฉางฟ่ง มาจากตระกูลไป๋!”
“ว้าว ความหวังของพวกเราปรากฏแล้ว! เขาคือไป๋ฉางฟ่ง!”
ในฉับพลันอธิการบดีเซียวและหัวหน้าสาขาอื่นๆต่างได้สบตากับไป๋ฉางฟ่ง หญิงสาวคนหนึ่งเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนพร้อมกล่าวว่า “ฉันคิดว่าหลานชายของฉันจะจัดการได้…”
ตระกูลไป่ได้ออกมาเคลื่อนไหวแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าความยุ่งเหยิงน่าจะจบลงในเวลานี้แน่นอน
“ทรัพยากรที่สถาบันได้มอบให้กับนักเรียนใหม่นั้นไม่ได้น่าสนใจสักเท่าไหร่หรอก เพียงแต่สมบัติในตระกูลไป๋ก็มากพอที่จะแบ่งปันให้ลูกหลานได้อย่างทั่วถึง แต่เหตุผลที่เขาออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นเพราะการถูกแย่งชิงความสนใจไปจนหมดสิ้นโดยเด็กหนุ่มบ้านนอกคนนั้นยังไงล่ะ!” หญิงสาวคนนั้นยังคงกล่าวต่อถึงเหตุผล
—
ด้านบนเวทีประลอง ไป๋ฉางฟ่งยืนอยู่กลางเวทีอย่างมั่นอกมั่นใจ
เขาปรากฏตัวเหมือนกับหลัวซ่งที่เดินเข้ามาจัดการนักเรียนสาขาอัญเชิญทั้งสามคนทิ้งไปอย่างไร้ร่องรอยความปราณี ซึ่งในตอนนี้ทั้งคู่ได้กระทำเหมือนกัน พวกเขาเดินเข้ามาบนเวทีนี้อย่างลำพังและต้องการจะจัดการอสูรอัญเชิญเหล่านี้ด้วยตนเอง!
“แกคือโม่ฝานงั้นเหรอ?” ไป๋ฉางฟ่งกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้า เขามองไปที่โม่ฝานก่อนที่จะกล่าวต่อ “น่าสนใจมาก ก่อนอื่นต้องยอมรับเลยว่าแกเป็นนักเรียนใหม่ที่เก่งกาจเอาการ อย่างไรก็ตามแกก็คงจะรู้ดีว่าเมื่อเราทะลุผ่านระดับแรกมาได้แล้ว นักเวทระดับปฐมภูมินั้นกำจัดได้เพียงแค่แมลงเท่านั้น… คนกว่าสองร้อยคนที่เดินขึ้นมาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่แกจะภาคภูมิใจอะไรหรอกถ้าหากกำจัดพวกเขาออกไปได้ มันเป็นเพียงการรังแกคนไม่มีทางสู้เท่านั้น”
โม่ฝานจับจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีที่สนใจ เขารู้สึกว่าเขาจำเป็นจะต้องต่อสู้กับคนๆนี้ด้วยตนเอง เมื่อพิจารณาถึงความมั่นใจและเย่อหยิ่งของเขาแล้ว โม่ฝานรู้สึกว่าเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าจ้วงหลีเฟิงด้วยซ้ำ
“แกค่อนข้างฉลาดมากเลยนะที่ใช้ความได้เปรียบของนักเวทระดับมัชฌิมเพื่อที่จะกอบโกยทรัพยากรของนักเรียนใหม่ทั้งหมดนี้ มันก็คงจะเป็นเรื่องดีถ้าหากไม่มีใครสักคนลุกขึ้นมาแสดงความไม่พอใจ แต่แกก็คงไม่คิดหรอกใช่ไหมว่าในกลุ่มนักเรียนใหม่นั้นยังมีศิษย์ของตระกูลใหญ่รวมอยู่ในนั้นด้วย? ไอ้บัดซบ!”
ไป๋ฉางฟ่งเปิดเผยใบหน้าที่เกรี้ยวกราดพร้อมกับก่นด่าโม่ฝานอย่างดุร้าย เขาลบภาพใบหน้าชายหนุ่มผู้อ่อนโยนเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น
อย่างไรก็ตามเขาหยุดปากของตนเองทันทีในขณะที่เห็นว่าโม่ฝานวาดเส้นทางเนบิวล่าที่ใต้ฝ่าเท้าของตนเองแล้ว แสงประกายสีม่วงเล่นปลาบไปทั่วบริเวณอย่างเกรี้ยวกราด ถ้าหากไม่ใช่เพราะสัมผัสวิญญาณของเขาตรวจสอบได้ถึงพลังงานสายฟ้ารอบตัวของเขา ไป๋ฉางฟ่งนั้นไม่มีทางรู้ตัวเลยว่าโม่ฝานได้เริ่มการต่อสู้ขึ้นแล้วเพราะว่าโม่ฝานนั้นใช้ร่างกายของหมาป่าเวทบดบังทัศนวิสัยของเขาจนหมดสิ้น!
“แกจะหุบปากได้หรือยัง?” โม่ฝานคำรามออกมา
“!!!!!” ใบหน้าของไป่ฉางฟ่งบิดเบี้ยวพร้อมกับคำพูดที่ตีบตันอยู่ในลำคอ
เส้นทางเนบิวล่าได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยสมบูรณ์แล้ว ดูได้อย่างชัดเจนที่ใต้เท้าของโม่ฝานปรากฏเป็นประกายสีม่วงวิ่งแล่นไปมาอย่างอิสระและเด็ดเดี่ยว การโคจรของพวกมันสร้างเสียงคำรามสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณอย่างกึกก้อง บรรยากาศทั้งหมดแปรปรวนและอึมครึมอย่างเกรี้ยวกราดเพราะอสนีบาตกำลังจะก่อตัวขึ้น!
ผ่านไปชั่วอึดใจ โม่ฝานชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ!
ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆทั้งสิ้น สายฟ้าระดับมัชฌิมนั้นเป็นการสังหารเงียบที่แท้จริง เสียงคำรามที่ดังสนั่นของมันนั้นกึกก้องและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสังหารเงียบโดยเฉพาะ ในขณะที่โม่ฝานชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า เมฆดำทมิฬปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของไป๋ฉางฟ่ง!
เพียงเวลาแค่ไม่นาน เมฆดำกระจายไปทั่วสนามพร้อมกับเริ่มคำรามอย่างบ้าคลั่ง ความโกหาหลกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนาทีนี้!
เปรี๊ยง~~~~~~~!!!!!
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นทำให้แก้วหูของทุกคนเจ็บปวดอย่างรุนแรง นักเรียนที่นั่งชมการประลองเหล่านี้ล้วนแต่ยกมือขึ้นมากุมศีรษะด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก
ตรงหน้าของโม่ฝาน สายฟ้าสีม่วงที่ปราดเปรียวและเกรี้ยวกราดพุ่งลงมาจากฟากฟ้าพร้อมทั้งพุ่งตรงไปหาไป๋ฉางฟ่งราวกับมังกรที่ทะยานเข้าหาเหยื่อ
ความรุนแรงที่มันพุ่งพล่านลงมาอย่างโหมกระหน่ำเข้าสู่ร่างกายของไป๋ฉางฟ่งในทันที ก่อนที่สายฟ้าจะผ่าฟาดลงมา พื้นรอบๆของไป๋ฉางฟ่งถูกฉีกขาดออกจากกันด้วยแรงกดอากาศมหาศาล!
พลังงานแข็งแกร่งมากแม้แต่อาจารย์กู่ฮั่นผู้ที่ทำหน้าที่คอยพิทักษ์นักเรียนบนสนามประลอง เขายังได้แต่ยืนขมวดคิ้วอยู่ตรงนั้นด้วยความกังวลเต็มจิตใจ
ด้วยความสัตย์จริงทั้งหมด แม้ว่าเขาจะไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลาก็ตามจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ อีกทั้งในตอนนี้เขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าไป๋ฉางฟ่งนั้นจะสามารถต้านทานอสนีบาตพิโรธจากโม่ฝานในครั้งนี้ได้หรือไม่…