การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 156
ตอนที่ 156
“อย่างแรก นายต้องเข้าใจก่อนว่าฉันไม่ได้ตั้งใจขัดจังหวะการปราศรัยของนายฉันแค่อยากมาดูว่าขยะอย่างนายจะใส่ร้ายป้ายสีอะไรฉัน แค่นั้นเอง….”
คําว่า “ขยะ” ทําให้หัวคิ้วของกวอนโฮย็องกระตุกขึ้นลงอย่างหนัก
ซูฮยอนไม่สนใจการตอบสนองของอีกฝ่าย เขารีบพูดต่อ “อย่างที่สองฉันมาที่นี่เพื่อแยกมิตรและศัตรู
“แยกมิตรและศัตรู?”
“ฉันอยากรู้ว่าระหว่างศัตรูและมิตร ฝ่ายไหนจะมีจํานวนมากกว่ากัน หากจะให้ฉันพูดเจาะลึกลงไปมากกว่านี้…”ซูฮยอนหรี่ดวงตาลง กวาดมองฝูงชนในห้องประชุม
“ฉันอยากรู้ว่าเศษเนื้อร้ายที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันมีมากแค่ไหน….”
คําพูดของซูฮยอนทําให้หลายคนในห้องประชุมสะดุ้งเฮือกพวกเขาเริ่มก้มหน้ามองพื้นพยายามหลบสายตาซูฮยอนให้ได้มากที่สุด
ต่อให้คุณโง่แค่ไหน คุณก็สามารถทําความเข้าใจคําพูดของซูฮยอนได้ ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมเข้าใจเป็นอย่างดีคําว่า “ศัตรูและมิตรและเนื้อร้าย” ที่ซูฮยอนพูดออกมาหมายถึงอะไร..
นักข่าวที่นั่งอยู่ในห้องประชุมก็สามารถเข้าใจความหมายคําพูดซูฮยอนด้วยเช่นกัน ห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบมีแต่เสียงสูดลมหายใจจากกลุ่มนักข่าวเท่านั้นที่ดังออกมา
<<ซูฮยอนบอกว่ามาที่นี่เพื่อแยกมิตรและศัตรู พร้อมทั้งตรวจสอบจํานวนเนื้อร้ายที่กล้าเป็นศัตรูกับเขา…>>
<<หมายความว่า ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับกิลด์ฮาโฮตาล พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูกับซูฮยอนโดยไม่มีข้อยกเว้นต่อให้มีสมาคมคุ้มกะลาหัวก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะซูฮยอนไม่มีทีท่าเกรงกลัวอํานาจสมาคมเลย>>
คําพูดของซูฮยอนเหมือนระเบิดลูกใหญ่ที่โจมตีจิตใจผู้คน
ซูฮยอนบอกเป็นกลายๆว่าเขาจะเป็นมิตรกับคนที่มีความชอบธรรม แต่หากเป็นคนที่มีนิสัยคิดร้ายกับคนอื่นเขาจะลงมือจัดการกับคนผู้นั้นอย่างไม่ลังเล
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการกระทําที่เลวทรามมากมายหยั่งรากลึกอยู่ในสังคม ยกตัวอย่างเช่นการกระทําของกิลด์ฮาโฮตาล
โลกมนุษย์จะก้าวหน้าไปได้ไกลกว่านี้ หากผู้คนบนโลกปฏิบัติตามกฎ ในเมื่อรู้ว่าตัวเองกระทําผิดควรได้รับโทษเช่นเดียวกับอาชญากร
แต่น่าเสียดายที่โลกมนุษย์ขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยใช้แนวทางปลาใหญ่กินปลาเล็ก การทํางานภายในโลกของผู้ตื่นขึ้น ไม่ได้สวยหรูเหมือนเปลือกนอก
เหตุผลที่สํานักงานผู้ตื่นขึ้นไม่อยากปะทะกับสมาคม เพราะไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างสมาคมและสํานักงานเกิดรอยร้าว แม้ทางสมาคมจะแสดงกิริยาหยาบคายต่อสํานักงานแต่สํานักงานก็ทําอะไรมากไม่ได้นอกจากหลับตาลงข้างหนึ่งแล้วปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป
สําหรับสมาคม หากประชาชนเกิดความไม่พอใจในกิลด์ฮาโฮตาล พวกเขาสามารถเตะกิลด์ฮาโฮตาลออกจากสังกัดได้ทว่าทางสมาคมคงไม่มีความกล้าลงโทษผู้กระทําผิดอย่างกิลด์ฮาโฮตาลแน่
นี่แหละความไม่ยุติธรรมของโลกมนุษย์ แต่ก็เข้าใจได้ว่าทําไมถึงเป็นแบบนี้
ทุกประเทศบนโลกมีความเน มลําเหมือนกันหมด กฎหมายใช้กับคนรวยไม่ได้ผล ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้มีอํานาจล้นมือพวกเขาแทบจะลอยตัวจากความผิดได้เลย
ก็เปรียบเสมือนเหรียญที่มีสองด้าน สังคมมนุษย์ก็เช่นกัน
ซูฮยอนที่เงียบไปได้สักพัก เริ่มเปิดปากพูดคุยอีกหน…
“ฉันจะถามอีกครั้ง”
ซูฮยอนพูดด้วยน้ําเสียงแผ่วเบาพร้อมทั้งแสดงสีหน้าขึงขัง
“ใครบ้างที่เป็นศัตรูกับฉัน?”
อีก…
ฝูงชนในห้องประชุมต่างพากันกลืนน้ําลายลงคอ น้ําเสียงซูฮยอนที่เปล่งออกมา ทําเอาจิตใจของทุกคนเกิดความปั่นป่วน
สถานการณ์เกินกว่าขอบเขตที่กวอนโฮยองเคยคิดไว้มาก ตัวเขาเองก็ตกอยู่ใครความปั่นป่วนไม่ต่างจากคนอื่น
<<สถานการณ์แบบนี้ ฉันต้องคิดก่อนพูด ไม่เช่นนั้นอาจนําภัยมาสู่ตัว>>
ตอนแรกก็อนโฮยองวางแผนเอาไว้ว่า ในการประชุมครั้งนี้ เขาจะพยายามทําให้สมาคมมองซูฮยอนเป็นศัตรูที่ควรกําจัดและรวบรวมความแข็งแกร่งสมาชิกที่สังกัดอยู่ในสมาคมให้มาอยู่ใต้ผืนธงเดียวกัน
เหตุผลที่กวอนโฮย็องเชิญนักข่าวมาในวันนี้ มีด้วยกัน 2 เหตุผล
เหตุผลที่ 1 เขาต้องการให้ทั่วโลกได้เห็นความสามัคคีของสมาคมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เหตุผลที่ 2 เขาต้องการแจ้งให้คนทั่วไปทราบว่าความผิดทั้งหมดและการกระทําที่ไม่คิดหน้าคิดหลังคนผิดคือวอนแจฮุน เพียงคนเดียว แผนการทั้งหมดกิลด์มาสเตอร์เป็นตัวต้นคิดสมาชิกที่สังกัดอยู่ในกิลด์ฮาโฮตาลไม่มีส่วนรู้เห็นและกิลด์ฮาโฮตาลยังคงอยู่บนจุดสูงสุดแม้จะสูญเสียกิลด์มาสเตอร์ไปแล้วก็ตาม
ถ้าวันนี้แผนการเป็นไปได้ด้วยดี นอกจากซูฮยอนจะเป็นศัตรูกับกิลด์ฮาโฮตาลแล้ว เขายังเป็นศัตรูกับทางสมาคมด้วย
แต่การปรากฏตัวของซูฮยอน ทําให้แผนการของกวอนโฮย็องพังหมด
-หากสมาคมเข้าข้างกิลด์ฮาโฮตาล สมาคมจะกลายเป็นศัตรูของซูฮยอนทันที
ความคิดในลักษณะเดียวกันผุดขึ้นในหัวของทุกคนที่อยู่ในห้องประชุม แต่ก็มีความคิดอย่างอื่นปรากฏขึ้นมาด้วยเช่นกัน…
<<พวกเราต้องต่อสู้กับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ํานมอย่างซูฮยอนจริงๆเหรอเนี่ย?>>
<<แม้ว่าหมอนั้นจะเป็นผู้ชนะในสงครามแก่งแย่งอันดับ แต่เขากล้าท้าทายสมาชิกที่สังกัดอยู่ในสมาคมจริงเหรอ? แถมยังตัวคนเดียวอีกต่างหาก…>>
พวกเขาทุกคนยอมรับจากใจว่าการกระทําของซูฮยอน มันน่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง
แต่สําหรับพวกเขาสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่สนุกเลยสักนิด พวกเขาส่วนใหญ่เกรงกลัวซูฮยอนถึงขั้นพูดไม่ออก…
“ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ การที่นายบุกเข้ามาในห้องประชุมของพวกเราโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่านายไม่ให้เกียรติพวกเรา”
“ฟังจากคําพูดที่นายสื่อออกมา นายกําลังจะบอกกับพวกเราว่า นายพร้อมที่จะเป็นศัตรูกับทางสมาคมงั้นเหรอ?”
กิลด์มาสเตอร์คนหนึ่งที่รู้จักโดยทั่วกันว่าควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่เก่ง จ้องมองไปที่ซูฮยอนด้วยสายตาดุดันฝูงชนที่ไม่กล้าเปิดปากพูดเริ่มเงยหน้าขึ้นที่ละคน เพื่อชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้
“เป็นศัตรูกับทางสมาคมเหรอ…”ซูฮยอนทําท่าครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับ
“อาจจะใช่ ถ้าภายในสมาคมมีเนื้อร้ายอยู่เยอะอ่ะนะ”
“ไอ้เด็กอวดดี….!!”
“นายจะเป็นศัตรูกับพวกเราด้วยตัวคนเดียวเนี่ยนะ? นายคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากพอเหรอ?”
“แกมันหยิ่งยโสจนฉันหมั่นไส้เลยว่ะ นายต้องการทําสงครามกับสมาคมจริงๆใช่ไหม?”
ความสนใจของฝูงชนทั้งหมดมุ่งตรงไปที่กิลด์มาสเตอร์คนหนึ่งที่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับซูฮยอนท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น มีเพียงกวอนโฮย็องคนเดียวที่เผยรอยยิ้มร่าออกมา
<<ใช่!! แบบนี้แหละที่ฉันต้องการ ทําได้ดีมาก>>
การปรากฏตัวของซูฮยอน ส่งผลให้แผนการที่กวอนโฮยองวางเอาไว้จบสิ้น แต่จากสถานการณ์ในห้องประชุมตอนนี้ ยังพอมีความหวังที่แผนการจะดําเนินต่อไปได้ แม้ความหวังจะน้อยนิดก็ตาม
การที่ซูฮยอนบุกเข้ามาให้ห้องประชุมโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ไม่ต่างอะไรกับการกระตุกหนวดเสือ
<<หากรูปการณ์ยังดําเนินต่อไปแบบนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นศัตรูกับกิลด์ของฉันเท่านั้นเขาจะกลายเป็นศัตรูกับสมาคมด้วย>>
ถ้าเหตการณ์เป็นอย่างที่กวอนโฮยองจินตนาการภายในหัว เขามั่นใจว่าการต่อสู้กับซฮยอนพวกเขาสามารถเอาชนะได้ ไม่ว่าซูฮยอนจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่มีทางสังหารสมาชิกทุกคนในสมาคมได้หมด
เผลอๆบางที่ซูฮยอนอาจไม่กล้าเป็นศัตรูกับสมาคมก็ได้ เพราะในปัจจุบันมีดันเจี้ยนแห่งใหม่โผล่ขึ้นมาบนประเทศเกาหลีตลอดเวลา หากกองกําลังโจมตีที่เรียกว่าสมาคมหายไปอาจเกิดปัญหาใหญ่ตามมา
สํานักงานรู้ถึงความจริงข้อนั้นดี จึงเป็นสาเหตุให้พวกเขาทําอะไรกับสมาคมมากไม่ได้
“นายรู้ไหม ฉันโคตรเกลียดองค์กรที่รู้ว่าตัวเองทําผิด แต่ไม่ยอมรับ แถมยังเก็บเงียบไว้”ซูฮยอนลุกขึ้นจากเก้าอี้สายตามองไปที่กวอนโฮยอง
“องค์กรแบบนั้นไม่สมควรมีอยู่บนโลกนี้…”
กิลด์ฮาโฮตาล…
กิลด์มาสเตอร์ก็อนแจฮุนต้องการฆ่าซูฮยอน จึงทําการวางแผนก่อวินาศกรรม หากแผนการของเขาสําเร็จอาจทําให้ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินเกิดการระบาดขึ้นได้
การกระทําโดยพลการของกิลด์ฮาโฮตาลเป็นเรื่องที่ทางสมาคมไม่ควรออกหน้าแก้ต่างให้หากดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินเกิดการระบาดขึ้นโดยสมบูรณ์ภัยพิบัติและความเสียหายที่ประเทศเกาหลีจะได้รับไม่อาจจินตนาการได้
เหตุผลที่ซูฮยอนบุกมาที่นี่ เพื่อยืนยันด้วยตาตัวเองว่าทางสมาคมจะตัดสินใจอย่างไร
ซูฮยอนกล่าวต่อ “การประชุมครั้งนี้ มีกิลด์ฮาโฮตาลเข้าร่วมด้วย ยิ่งไปกว่านั้นน้องชายของก็อนแจฮุนที่กําลังยืนอยู่ตรงหน้า มีโอกาสเป็นประธานคนต่อไปของสมาคม…”
“พล่ามอะไรของแก?”
ชายวัยกลางคนที่อารมณ์ร้อนถูกคําพูดของซูฮยอนกระตุ้น เขาจึงรีบตอบโต้คําพูดซูฮยอนกลับไปทว่าคําพูดของเขาไม่สามารถสร้างความโกรธให้แก่ซูฮยอนได้เลย แถมยังโดนซูฮยอนพูดจาเหยียดหยันกลับมาอีก
“ถ้าคุณยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่ายื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของฉันจะดีกว่า”
คําพูดของซูฮยอนเปรียบเสมือนการเปิดประตูระบายน้ํา…
“ไอ้เด็กบ้า…!!”
“เด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ํานมอย่างแก ช่างไม่เข้าใจอะไรเลยเสียจริง คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุดในโลก หรือไง ประสบการณ์การมีชีวิตของแกน้อยกว่าฉันด้วยซ้ํา ยังกล้าปากดีต่อหน้าฉันอีกฉันเตือนด้วยความหวังดี แกเก็บปากไว้กินข้าวดีกว่า”
ฝูงชนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะชื่อเสียงความเก่งกาจของซูฮยอนและนั่งหลบอยู่ตรงมุมที่ห่างไกลออกไปเริ่มปลุกพลังเวทย์ในตัวของพวกเขา
สถานการณ์โดยรวมในห้องประชุมตึงเครียดทันตาเห็นฝูงชนมากกว่าครึ่งหนึ่งของห้องปล่อยออร่าความเป็นศัตรูใส่ซูฮยอน
แต่ซูฮยอนดูไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์ตรงหน้าเลย เขาเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยราวกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าตัวเขาจะต้องเจอกับอะไร
“กะแล้วเชียว อย่าที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด”ซูฮยอนพูดกับฝูงชนที่แสดงความเป็นศัตรูใส่เขา
[เนตรที่สาม – ผู้ล่า]
ตาดวงที่ 3 แย้มเปิดขึ้นกลางหน้าผากซูฮยอน มวลสารพลังเวทย์ที่หนาแน่นเข้าปกคลุมทั่วห้องประชุม
ผลของสกิล [เนตรที่สาม – ผู้ล่า] ท่าให้อากาศในห้องประชุมลดต่ําลง การหายใจของฝูงชนเริ่มติดขัด
อุณหภูมิความร้อนภายในห้องที่เกิดจากอารมณ์โกรธเกรี้ยวของฝูงชน ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์ในชั่วพริบตา
<< นี่มันอะไรกัน??>>
<<ทําไมอยู่ดีๆร่างกายของฉันถึงขยับไม่ได้….>>
ร่างกายของพวกเขาเหมือนโดนแช่แข็ง ขยับเขยื้อนไม่ได้ ประหนึ่งลูกหนูตัวน้อยๆกําลังสันกลัวเพราะเผชิญหน้ากับงูยักษ์
ช่วงเวลาที่ซูฮยอนปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของตัวเองออกมา ร่างกายและจิตใจของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างหนัก สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่นแจ้งเตือนพวกเขาว่า การดํารงอยู่ของบุคคลตรงหน้าไม่ใช่ตัวตนที่พวกเขาสามารถเอาชนะได้
ฝูงชนที่ปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวใส่ซูฮยอนค่อยๆหายไปที่ละคน
ซูฮยอนใช้สายตากวาดมองพวกเขาทุกคนอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะพูดต่อว่า..
“เหรียญย่อมมีสองด้าน โลกเราก็มีคนอยู่ 2 ประเภท นั่นก็คือ คนดี และ คนชั่ว อยู่ที่ว่าคนผู้นั้นเลือกที่จะเป็นในสภาพสังคมปัจจุบันที่เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมากมาย ความสูญเสียอีกนับไม่ถ้วน พวกเราควรพึ่งพาอาศัยกันและกันเพื่อความอยู่รอด ไม่ควรหันคมดาบเข้าหากันแต่ก็มีคนบางประเภทที่โดนความโลภเข้าครอบงําจนทําให้ดวงตามืดบอด…”ซูฮยอนก้าวเท้าเดินไปที่เวที
“และเหมือนในวันนี้ จะมีคนสายตามืดบอดเยอะพอสมควร
ตัดภาพไปที่หน้าเวที…
กวอนโฮย็องตรึงสายตาไว้ที่ตัวซูฮยอน ซึ่งกําลังเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆขาทั้ง 2 ข้างของเขาสันไหวจนยืนทรงตัวแทบไม่ได้ในบรรดาทุกคนที่โดนอํานาจของสกิล [เนตรที่สาม – ผู้ล่า] เข้าโจมตีกวอนโฮย็องเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับผลอํานาจสกิลมากกว่าคนอื่นๆ
“ยะ ยะ อย่าเข้ามา อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!!!”กวอนโฮย็องตะโกนเสียงดัง
ทุกครั้งที่เห็นร่างกายซูฮยอนก้าวไปข้างหน้า กวอนโฮยองจะตอบสนองโดยการก้าวถอยหลังเสมอ
ขณะที่กวอนโฮยองกําลังตกอยู่หัวงแห่งความสิ้นหวัง จู่ๆเขาก็กลายเป็นเสือสิ้นตวัก ฮึดสู้ขึ้นมา
กวอนโฮยองรวบรวมพลังเวทในร่างกาย เพื่อขจัดความกลัวที่กําลังเกาะกินจิตใจของเขาให้หมดอํานาจไป
“ฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าเข้ามาใกล้ฉัน!!”
หอกยาวหลายสิบเล่มปรากฏขึ้นรอบตัวกวอนโฮย็อง หอกทั้งหมดสร้างขึ้นมาจากพลังเวทของเขาความหวาดกลัวบังคับให้เขาหาวิธีป้องกันตัว หากยืนอยู่เฉยๆไม่ทําอะไรเลยคงหนีความตายไม่พ้น
ทันใดนั้นเนตรที่สามกลางหน้าผากซูฮยอนก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า…
กวอนโฮยองที่เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขารีบสั่งการให้หอกพุ่งเข้าโจมตีใส่ซูฮยอนทันที เพราะความหวาดกลัวทําให้เขาตัดสินใจเริ่มเปิดฉากโจมตีซูฮยอนก่อน
กวอนโฮยองเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A แม้สภาพจิตใจของเขาในปัจจุบันจะกระสับกระส่าย แต่การโจมตีที่เพิ่งปล่อยออกไป พุ่งตรงไปหาซูฮยอนอย่างแม่นยํา
[เนตรที่สาม – ลบล้าง]
หอกที่กําลังบินอยู่กลางอากาศ จู่ๆก็อันตรธานหายไป นักข่าวที่หลับตาลงเพราะแรงกดดัน ค่อยๆลืมตาขึ้นที่ ละคน ภาพคมหอกที่หายไปกลางอากาศอย่างกะทันหัน ทําให้นักข่าวเกิดความสับสนมึนงง
กลุ่มคนที่ตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้ามากที่สุดไม่ใช่นักข่าว แต่เป็นผู้ตื่นขึ้นที่นั่งอยู่ในห้องประชุม
สกิลการโจมตีของกวอนโฮยองหายไปอย่างไร้ร่องรอย ปรากฏการณ์เช่นนี้ต้องเป็นฝีมือซูฮยอนไม่ผิดแน่สายตาที่อธิบายไม่ได้ของผู้ตื่นขึ้นจ้องมองไปที่ร่างกายซูฮยอนโดยพร้อมเพรียงกัน
“เกิดอะไรขึ้น หอกที่ลอยอยู่เต็มอากาศหายไปไหนหมด?”
“ต้องเป็นฝีมือซูฮยอนแน่ เขาสามารถยกเลิกสกิลของผู้อื่นได้!!”
“ยกเลิกสกิลผู้อื่น? จะเป็นไปได้ไง? คงไม่หรอกมั้ง…”
“ฉันก็ไม่มั่นใจ แต่คนอย่างกวอนโฮยอง ที่อยากฆ่าซูฮยอนใจจะขาด คงไม่ยกเลิกสกิลของตัวเองหรอกเหตุผลที่สกิลของกวอนโฮยองหายไป น่าจะเป็นเพราะ….”
ความคิดเห็นของผู้คนแตกต่างกันออกไป ตามมุมมองและการวิเคราะห์ของตัวเอง
เป็นหนึ่งในทักษะขั้นพื้นฐานที่ผู้ตื่นขึ้นทุกคนต้องรู้ ทักษะการยกเลิกสกิลถูกสร้างขึ้นมาเพื่อยกเลิกสกิลที่ผู้ใช้ปล่อยออกไป ในหมู่ผู้ตื่นขึ้นด้วยกัน ทักษะการยกเลิกสกิล ไม่ค่อยนิยมใช้เท่าไหร่นัก
หากถามว่าทักษะการยกเลิกสกิลจําเป็นไหม ต้องบอกว่ามีความจําเป็นมาก โดยเฉพาะตอนที่บุกโจมตีดันเจี้ยนเพื่อความปลอดภัยของเพื่อนร่วมกลุ่ม คนในกลุ่มต้องเรียนรู้ทักษะการยกเลิกสกิลทุกคน
แต่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าต่างออกไป ถ้ากวอนโฮยองยกเลิกสกิลด้วยความประสงค์ของตัวเองเขาคงไม่แสดงสีหน้าตกใจขนาดนั้นออกมาแน่…
“จังหวะที่สกิลของกวอนโฮย็องหายไป ฉันสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทจํานวนมาก ปล่อยออกมาจากร่างกายซูฮยอน”จองยุนโฮที่เงียบมาตลอดหลังจากซูฮยอนปรากฏตัวในที่สุดก็เปิดปากพูด
“คนที่ทําให้สกิลของกวอนโฮย์องหายไป ต้องเป็นซูฮยอนไม่ผิดแน่ แต่ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าซูฮยอนยกเลิกสกิลของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไง เป็นไปได้ไหมว่าซูฮยอนมีสกิลพิสดารที่สามารถยกเลิกสกิลคนอื่นได้?”
จองยุนโฮเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เขาครอบครองสกิลหลายประเภทและใช้พวกมันได้อย่างชํานาญสกิลที่เขาครอบครองมีมากมายจนนับไม่ถ้วน จนเขาได้รับฉายาว่า ชายมากความสามารถ
ขนาดคนที่ครอบครองสกิลหลายประเภทอย่างจองยุนโฮ ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าสกิลที่ซูฮยอนใช้คืออะไร
[เนตรที่สาม – ลบล้าง] มีการทํางานคล้ายๆกับทักษะการยกเลิกสกิล แต่มีจุดแตกต่างอยู่เล็กน้อยทักษะการยกเลิกสกิล มีไว้สําหรับยกเลิกสกิลที่ตัวเองปล่อยออกไป แต่ความสามารถของ [เนตรที่สาม – ลบล้าง] คือการทําให้สกิลของคู่ต่อสู้หายไป
หากการใช้ [เนตรที่สาม – ลบล้าง] ในแต่ละรอบไม่กินพลังเวทในร่างกายของผู้ใช้จํานวนมากล่ะก็มันจะเป็นสกิลที่สมบูรณ์แบบจนไม่มีสกิลไหนทัดเทียม
การที่ซูฮยอนครอบครองสกิล [เนตรที่สาม – ลบล้าง] ทําให้เขามีข้อได้เปรียบผู้ตื่นขึ้นคนอื่นถ้าผู้ตื่นขึ้นทุกคนไม่สามารถปล่อยสกิลออกมาได้ พวกเขาคงเกิดความกระสับกระส่ายทําอะไรไม่ถูกหากอยากจัดการซูฮยอนให้ได้สิ่งที่พวกเขาทําได้ มีแค่อย่างเดียว นั้นก็คือการใช้ความสามารถทางกายภาพเท่านั้น
“เฮ้อ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนทําให้ฉันยกมือขึ้นเหนือหัวได้แบบนี้” จองยุนโฮยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นเหนือหัวพร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ฉันขอยอมแพ้ หากพวกนายอยากตายก็เชิญสู้กับสัตว์ประหลาดตัวนั้นต่อไปเถอะ อย่าดึงฉันเข้าไปเกี่ยวด้วย”
“อะไรกัน?”
“คุณจองยุนโฮอย่าพึ่งด่วนตัดสินใจสิครับ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้…”
ผู้ตื่นขึ้นจํานวนหนึ่งพยายามโน้มน้าวจองยุนโฮ แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบัน การโน้มน้าวคงไม่มีประโยชน์เพราะการต่อสู้หน้าเวทีเหมือนจะเริ่มได้บทสรุป
ซูฮยอนเดินเข้าใกล้กวอนโฮยองมากขึ้นเรื่อยๆ กวอนโฮยองถอยหลังหนี จนแผ่นหลังของเขาชิดกําแพง
เมื่อรู้ว่าหมดทางหนี เขาโจมตีซูฮยอนด้วยสกิลทุกอย่างที่มี
น่าเสียดายที่ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม ทุกสกิลที่กวอนโฮยองปล่อยออกไป หายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
“เจ้าบ้า อย่าเข้ามาใกล้ฉัน ออกไป!!…”
ความรู้สึกไร้พลังที่เขาไม่ได้สัมผัสมานาน หลังจากได้รับพลังผู้ตื่นขึ้น พุ่งโจมตีจิตใจของเขาดั่งคลื่นลูกยักษ์
ไม่นานระยะห่างระหว่างพวกเขาก็สั้นลง เมื่อสายตาของทั้งคู่สบกันความไร้พลังแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกล้ว…
ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นผลมาจาก [เนตรที่สาม – ผู้ล่า] แต่มันเป็นสัญชาตญาณความหวาดกลัวขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เมื่อรู้ว่าความตายกําลังคืบคลานเข้ามา
“ไม่.. อย่าฆ่าฉัน ไว้ชีวิตฉันเถอะ คนผิดตัวจริงคือพี่ชายของฉัน ไม่ใช่ฉัน…”
“อีก….”
ซูฮยอนเข้าประชิดตัวกวอนโฮย็องแล้วเอื้อมมือคว้าลําคออีกฝ่าย ดวงตาของกวอนโฮยองเบิกโพลงมือทั้ง 2 ข้างของกวอนโฮย็องพยายามทุบข้อมือซูฮยอนที่คว้าลําคอ แต่เรี่ยวแรงของเขาเริ่มทดถอยลงเรื่อยๆ เพราะขาดอากาศหายใจ
“รู้ไหม แผนการที่นายวางไว้ใช้กับฉัน ไม่ต่างอะไรกับการกระทําของพี่ชายนายเลย”
<<ฉันกําลังจะตายงั้นเหรอ…>>
หนังตาของกวอนโฮย็องเริ่มปิดลงอย่างช้าๆ ความคิดภายในคิดถึงแต่เรื่องที่ตัวเองใกล้จะตายเพียงอย่างเดียว…
ตุบ!!
“แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก”
ซูฮยอนคลายมือออกจากลําคอของกวอนโฮยอง ทําให้ร่างกายของกวอนโฮยองล้มลงไปนอนกับพื้น
“ฉันจะไม่ฆ่านายให้ตายทันที แต่ฉันจะปล่อยให้นายมีชีวิตอยู่อย่างทรมาน เพื่อชดใช้ความผิดที่เคยก่อไว้ในอดีตทั้งหมด”
ทุบ ทุบ ทุบ
กวอนโฮยองลูบลําคอของตัวเองและรีบยันตัวลุกขึ้นวิ่งออกจากห้องประชุมโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ซฮยอนเลิกสนใจกวอนโฮย็อง เขาก้าวเท้าเดินไปบริเวณด้านหน้าเวที
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป…”
ฝูงชนที่อยู่ในห้องประชุมจ้องมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าต่อไปโดยไร้เสียงพูดคุย ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วห้องสายตาของทุกคนเพ่งมองไปที่ซูฮยอน สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
“กิลด์ฮาโฮตาลจําเป็นต้องยุติบทบาทกับทางสมาคม”
ตําแหน่งที่ซูฮยอนยืนอยู่ปัจจุบัน คือหลังโพเดียมที่กวอนโฮย็องเคยใช้กล่าวปราศรัย เขากวาดตามองฝูงชนที่ยังเหลืออยู่ในห้องประชุมอย่างละเอียด ก่อนที่จะถามพวกเขาว่า…
“มีใครจะคัดค้านไหม?”